10 ปีก่อนเนื้อเรื่อง Dear My love, Springtime is coming Dortmund, Nordrhein-Westfalen, Germany
รถยนต์คันหนึ่งแล่นมาจอดที่หน้าบ้านหลังหนึ่งในย่านชานเมืองของเมืองดอร์ทมุนด์
ภายในรถนั้นประกอบไปด้วยผู้เป็นพ่อที่เป็นคนขับรถ ผู้เป็นแม่ที่นั่งอยู่ด้านข้างคนขับ และลูกสาววัยกำลังน่ารักน่าชังทั้งสองคนที่นั่งอยู่เบาะหลัง
“เอาล่ะเด็กๆ พวกเรามาถึงบ้านคุณปู่กันแล้ว”
โยนาธาน ฮอฟมัน หรือผู้เป็นพ่อหันมาพูดกับลูกสาวทั้งสองที่นั่งอยู่เบาะหลังของรถยนต์ด้วยรอยยิ้ม
“อย่าลืมทักทายคุณปู่กับคุณย่าด้วยนะจ๊ะเด็กๆ”
มารีอา ฮอฟมัน หรือผู้เป็นแม่กำชับลูกสาวทั้งสองคน เพราะพวกเธอค่อนข้างจะขี้ลืมนิดหน่อย
เนื่องจากทุกๆ ครั้งที่เดินทางกลับมาเยี่ยมคุณปู่และคุณย่าของพวกเธอ เด็กน้อยทั้งสองคนจะพุ่งเป้าไปที่ขนมที่ผู้เป็นย่ามักจะอบเอาไว้รอเสียมากกว่า
“ค่า~”
“ค่า~”
คลาเรีย ฮอฟมัน และ อันนา ฮอฟมัน สองพี่น้องตัวแสบประจำตระกูลฮอฟมันขานรับกันอย่างหน้ารื่นชื่นบาน
พวกเขาทั้งสี่คนเดินทางกลับมายังบ้านเกิดของโยนาธานแบบนี้ในทุกๆ ปี เพราะต้องการร่วมฉลองในเทศกาลสำคัญของชาวเยอรมันและผู้นับถือศาสนาคริสต์ทั่วโลกอย่าง ‘เทศกาลคริสต์มาส’ และพ่วงไปด้วยวันขึ้นปีใหม่
อีกทั้งนอกจากนี้ วันที่ 25 ธันวาคม ยังเป็นวันคล้ายวันเกิดของผู้เป็นพ่อของโยนาธานด้วย
ครอบครัวฮอฟมันจึงร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลที่พ่วงด้วยวันคล้ายวันเกิดของบุคคลสำคัญของครอบครัวนี้กันอย่างใหญ่โต แม้ว่าผู้เป็นปู่จะไม่ค่อยชอบการฉลองที่มันใหญ่โตมากก็ตามที
“คุณย่าคะ! หนูมาแล้ว~”
“หนูด้วยค่ะคุณย่า!!”
อันนาเป็นคนแรกที่กระโจนลงจากรถและพุ่งเข้าไปในบ้าน ตามมาด้วยคลาเรียผู้เป็นพี่สาว
ส่วนพ่อกับแม่ของพวกเธอกำลังยกกระเป๋าเดินทางลงมาจากหลังรถ และเตรียมจะไปทักทายพ่อกับแม่ของโยนาธาน
“ให้ตายสิ ลูกสาวของพวกเรายังซนเป็นลิงเหมือนเดิมเลยนะคุณ ผมไม่รู้จะแก้ปัญหานี้ยังไงดีแล้วเนี่ย”
โยนาธานบ่นกับมารีอาเกี่ยวกับนิสัยของพวกเด็กๆ เพราะปีนี้คลาเรียก็อายุ 12 ปี ส่วนอันนาก็ 7 ปีแล้ว แต่สองพี่น้องนั้นยังคงซุกซนกันราวกับลิงตัวน้อยๆ อย่างไรอย่างนั้น
โยนาธานอยากให้พวกเธอสุขุมและมีความเป็นกุลสตรีบ้าง แต่แม้ว่าเขาจะพยายามพร่ำสอนสองพี่น้องที่อยู่ในวัยนี้มากเท่าไหร่ มันก็เหมือนกับว่าคำสอนของเขาจะเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาของพวกเธออย่างไรอย่างนั้น
นิสัยของพวกเธอนั้นได้มาจากมารีอาชนิดแทบจะร้อยเปอร์เซ็นต์ จนโยนาธานถึงกับกลุ้มใจอยู่ลึกๆ
“ไม่เอาน่าคุณคะ เด็กๆ ก็แบบนี้แหละ ดีแล้วไง นี่เป็นสัญญาณที่ดีที่บอกว่าพวกเราเลี้ยงเด็กๆ ทั้งสองคนให้เติบโตมาแบบแข็งแรงยังไงล่ะคะที่รัก”
มารีอาลูบหลังปลอบสามีของตัวเอง
“เอาเถอะ ถ้าคุณว่าอย่างนั้นน่ะนะ”
โยนาธานถอนหายใจ พร้อมกับยกกระเป๋าไปที่หน้าประตูบ้าน
ชายหนุ่มเดินไปกดกริ่งที่หน้าบ้าน พร้อมกับตะโกนเรียกผู้เป็นแม่ของตัวเอง
“แม่ครับ!! ผมกลับมาแล้วครับ”
มีเสียงหัวเราะคิกคักของสองพี่น้องดังออกมาจากในบ้าน ก่อนที่จะปรากฏร่างของคนสามคน
สองคนที่อยู่ซ้ายขวานั้นคือคลาเรียและอันนาที่กำลังคาบคุกกี้เอาไว้ในปาก และถูกจูงมือโดยหญิงสูงวัยคนหนึ่งอยู่
ตัวของเธอมีผมสีน้ำตาลบลอนด์ยาวสลวย ไม่ได้เป็นสีขาวเหมือนหญิงสูงวัยทั่วไป บนใบหน้านั้นมีรอยเหี่ยวย่นตามกาลเวลาที่ร่วงโรย นัยน์ตาสีฟ้ากลมโตฉายแววสนุกสนานที่แฝงไปด้วยความอบอุ่นอยู่เต็มเปี่ยม เธออยู่ในชุดสบายๆ ผิดกับอากาศด้านนอกที่หนาวจับขั้วหัวใจในช่วงฤดูหนาว
“ยินดีต้อนรับจ้ะ ลูกชายแม่”
มากาเรเทอ ฮอฟมัน หรือผู้มีศักดิ์เป็นแม่ของโยนาธาน และย่าของคลาเรียกับอันนาผละมือออกจากเด็กน้อยทั้งสอง ก่อนจะสวมกอดโยนาธานเอาไว้อย่างอ่อนโยน
“สวัสดีครับแม่”
โยนาธานกอดเธออย่างคิดถึงสุดหัวใจ
“สวัสดีค่ะ คุณมากาเรเทอ”
มารีอายิ้มทักทายมากาเรเทอเช่นกัน ก่อนที่เธอจะถูกสวมกอดเอาไว้เบาๆ
“ยินดีต้อนรับจ้ะ แม่หนูมารีอา แม่บอกกี่ครั้งแล้ว ว่าให้หนูเรียกแม่ว่าแม่ได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ เราใช้นามสกุลเดียวกันแล้วนะ”
มากาเรเทอพูดยิ้มๆ
รอยยิ้มอันอ่อนโยนของมากาเรเทอนั้น ทำให้มารีอาหวนนึกไปถึง กีเซอล่า เบลลินซิโอนี่ แม่ของเธอที่อาศัยอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ เพราะรอยยิ้มนั้นราวกับว่ามันปัดเป่าความทุกข์ใจทุกอย่างไปจนหมดสิ้น
“แต่ว่า…”
“เถอะนะ~ แม่ไม่ถือหรอก”
มากาเรเทอลูบหลังมารีอาเบาๆ พร้อมกับยิ้มกว้างๆ
มารีอาที่เจอลูกตื้อของมากาเรเทอเข้าไป หญิงสาวเองก็ถึงกับไปไม่เป็นเหมือนกัน เพราะตอนที่เธอคบหาดูใจกับโยนาธาน เขาเองก็มักจะใช้ลูกตื้อนี้กับเธอ จนต้องใจอ่อนทุกครั้งอยู่ร่ำไป
“ก็ได้ค่ะ…คุณแม่…”
มารีอายอมเรียกมากาเรเทอว่า ‘แม่’ ในที่สุด
“อื้มๆ แบบนี้แหละดีแล้ว ดีจริงๆ ที่ได้หนูมาเป็นลูกสะใภ้”
มากาเรเทอพูดยิ้มๆ
“ค่ะ คุณแม่ ว่าแต่…คลาเรีย อันนา ทักทายคุณย่าหรือยังลูก”
มารีอาหันไปถามลูกสาวทั้งสองคนที่มัวแต่กินคุกกี้ในมือ โดยที่พวกเธอไม่ได้สนใจแม้แต่น้อยว่ารอบข้างกำลังทำอะไรกันอยู่
“อ๊ะ! หนูลืม!”
“หนูด้วย!”
คลาเรียกลืนคุกกี้ลงคอไปจนหมด ตามมาด้วยอันนาที่ทานช้ากว่า
“โถ่ ทั้งสองคนแม่ก็ย้ำแล้วไม่ใช่เหรอ…”
มารีอาถอนหายใจ พลางส่ายศีรษะเบาๆ
เด็กน้อยทั้งสองคนพอได้เห็นคุกกี้ของมากาเรเทอแล้วจะลืมทุกอย่างไปจนหมด ลืมแม้กระทั่งว่าจะต้องทักทายคุณย่าของตัวเองตามมารยาทที่ผู้เป็นแม่กำชับเอาไว้
“ฮะๆๆ ไม่เป็นไรหรอกนะลูกสาวแม่ เด็กๆ คงจะตื่นเต้นกับคุกกี้มากไปหน่อยแค่นั้นเอง”
มากาเรเทอหัวเราะเบาๆ พร้อมกับลูบศีรษะเด็กน้อยทั้งสองที่ยืนยิ้มกว้างๆ อยู่ข้างๆ
หญิงชรามองหลานสาวทั้งสองคนแล้ว พลางนึกถึงตัวเองในอดีต ในสมัยที่ตัวของเธอยังเป็นเด็กน้อยวัยไร้เดียงสา ที่เหมือนกับหลานสาวของตัวเองในตอนนี้
หลานสาวทั้งสองคนช่างเหมือนกับตัวของเธอราวกับถอดแบบพิมพ์กันมา โดยเฉพาะหลานสาวคนเล็กอย่างอันนา ที่ถอดมาทั้งลักษณะรูปร่างภายนอก หน้าตา และนิสัยใจคอ ยกเว้นก็แต่เพียงสีผมเท่านั้น
มากาเรเทอค่อนข้างจะมั่นใจว่าอันนาเหมือนกับเธอจนชนิดที่ว่าหากจับตัวเธอในวัยเด็กมายืนคู่กับหลานสาวคนนี้ ทุกคนจะต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันอย่างแน่นอนว่าพวกเธอคือฝาแฝดกัน
“สวัสดีค่ะ คุณย่า”
“สวัสดีค่ะ คุณย่า”
เด็กสาวทั้งสองคนยิ้มกว้างๆ
“จ้า~ หลานรักของย่า~”
มากาเรเทอย่อตัวลงไปกอดหลานสาวทั้งสองด้วยความรักใคร่
“แม่ครับ แล้วพ่อล่ะครับ?”
โยนาธานถามหาผู้เป็นพ่อ เพราะตั้งแต่มาถึงเขายังไม่เห็นวี่แววเลยแม้แต่น้อย
“นี่มากาเรเทอ เอะอะอะไรกันตั้งแต่เช้าเลย?”
ยังไม่ทันที่มากาเรเทอจะได้ตอบคำถาม น้ำเสียงที่ดูขึงขังแต่ทว่าแฝงไปด้วยความอ่อนโยนก็ดังออกมาจากข้างในบ้าน
ก่อนที่เจ้าของเสียงจะปรากฏตัวออกมาให้ทั้งห้าคนได้เห็น
ชายชราผู้มีผมสีบลอนด์เช่นเดียวกับโยนาธาน บนใบหน้ามีริ้วรอยแห่งกาลเวลาที่ร่วงโรยไป นัยน์ตาสีฟ้ากลมโตดูลึกลับน่าค้นหา เขาอยู่ในชุดสบายๆ เช่นเดียวกับภรรยา
“ตายจริง…ตื่นแล้วเหรอคะคุณ? นี่ฉันกับเด็กๆ คงไม่ได้ทำให้คุณตื่นใช่ไหม?”
มากาเรเทอผละตัวออกจากทั้งสี่คน ก่อนจะตรงไปหาผู้เป็นสามี เธอยื่นมือไปลูบแก้มเขาอย่างแผ่วเบา เพื่อเรียกสติหลังตื่นนอนของคนตรงหน้าให้กลับมาโดยไว
“ไม่หรอก นี่มันก็ 10 โมงเช้าแล้ว ผมควรตื่นได้แล้วล่ะ”
ยาคอป ฮอฟมัน ผู้มีศักดิ์เป็นพ่อของโยนาธาน และปู่ของคลาเรียกับอันนาพูดกับภรรยาที่อยู่ด้วยกันมาเกินครึ่งชีวิต
“สวัสดีครับพ่อ”
โยนาธานตรงเข้าไปสวมกอดพ่อของตัวเอง
“อืม ยินดีต้อนรับเจ้าลูกชาย”
ยาคอปกอดตอบกลับไป
“สวัสดีค่ะ คุณยาคอป”
มารีอาทักทายยาคอปบ้าง
“อื้ม! สวัสดีแม่หนู”
ยาคอปพยักหน้าให้อย่างอ่อนโยน
“สวัสดีค่ะ คุณปู่!”
“สวัสดีค่า~”
คลาเรียกับอันนาทักทายปู่ของพวกเธอ
“โอ้! ไงหลานๆ ของปู่ เตรียมถุงเท้ากันมาหรือเปล่า? คืนนี้คุณซานต้าจะมาหาแล้วนะ”
ยาคอปย่อตัวลงไปคุยกับหลานสาวทั้งสองคน
“…”
“…”
เมื่อนึกขึ้นได้ สีหน้าของทั้งคู่ดูคล้ายกับคนจะร้องไห้ เพราะพวกเธอลืมหยิบถุงเท้าคู่โปรดที่เตรียมไว้สำหรับให้คุณซานต้าใส่ของขวัญโดยเฉพาะมาด้วย และนั่นหมายถึง พวกเธอจะไม่ได้ของขวัญในคืนวันคริสต์มาส!!
มากาเรเทอที่เห็นแบบนั้นจึงปลอบพวกเด็กๆ ว่า
“ไม่เป็นไรนะจ๊ะ ย่าเตรียมถุงเท้าเอาไว้ให้แล้ว คุณซานต้าจะต้องมาหาพวกหนูอย่างแน่นอนจ้ะ”
“จริงเหรอคะ!!”
อันนาโพล่งออกมาอย่างลืมตัว
“จริงสิจ๊ะ ย่าไม่เคยโกหกใครหรอกนะ”
มากาเรเทอลูบศีรษะของอันนาเบาๆ พร้อมกับส่งยิ้มจางๆ ให้หลานสาวไปด้วย
“เย้!! หนูรักคุณย่าที่สุดเลย”
อันนากระโดดกอดมากาเรเทอจนตัวของเธอเซไปเล็กน้อย
“ฮะๆ จริงๆ เลย ยัยหลานสาวตัวแสบของย่า”
มากาเรเทอยิ้มกว้างๆ ให้กับการกระทำของหลานสาว แม้ว่าทางโยนาธานเตรียมจะดุอันนา เพราะถ้าหากทำให้มากาเรเทอล้มไปอาจจะเป็นอันตรายได้ แต่ก็ถูกผู้เป็นแม่ห้ามเอาไว้เสียก่อน
“จะยืนคุยตรงนี้มันคงไม่เหมาะ เข้าไปข้างในก่อนดีไหม?”
ยาคอปเสนอความเห็นกับทุกๆ คน เพราะอากาศข้างนอกนั้นหนาวเย็นจนติดลบ การยืนคุยโดยไม่สวมใส่อุปกรณ์ป้องกันเลยจะทำให้เขากับมากาเรเทอล้มป่วยเอาได้
“เอาสิคะ ฉันจะไปเตรียมอาหารกลางวันต่อด้วย นี่ก็ใกล้จะเที่ยงแล้วด้วย พวกเด็กๆ เดินทางมาไกล น่าจะหิวกันแล้ว”
มากาเรเทอพูดกับยาคอป
“มีอะไรให้หนูช่วยไหมคะคุณแม่?”
มารีอาเสนอตัวจะช่วยมากาเรเทอ เพราะถ้าเป็นการทำอาหาร เธอค่อนข้างมั่นใจอยู่หลายส่วน เนื่องจากเธอเป็นหัวหน้าเชฟของโรงแรมห้าดาวขนาดใหญ่ในเมืองฮัมบูร์ก
ฝีมือการทำอาหารของมารีอา โยนาธานรวมถึงลูกๆ ถึงกับเรียกเธอว่า ‘แม่ครัวมหัศจรรย์’
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ หนูเป็นแขก แม่จะให้แขกมาทำอาหารได้ยังไงกันล่ะจ๊ะ”
มากาเรเทอยิ้มน้อยๆ
“แต่ว่า…”
มารีอากำลังจะแย้ง
“เถอะนะจ๊ะ แม่จัดการเอง”
มากาเรเทอพูดพร้อมกับยิ้มให้ ซึ่งมารีอาแพ้ทางอะไรแบบนี้ที่สุด และท้ายที่สุดแล้ว เธอก็ต้องไปนั่งรวมกลุ่มกับทุกคน ปล่อยให้งานในครัวเป็นหน้าที่ของมากาเรเทอแต่เพียงผู้เดียว
มื้ออาหารกลางวันนั้นค่อนข้างจะหรูหราเป็นพิเศษ เนื่องจากมันเป็นวันเกิดของยาคอปด้วย บนโต๊ะจึงมีอาหารหลากหลายเมนูซึ่งบางเมนูมารีอาถึงกับเอ่ยปากชมว่ามันอร่อยจนสมควรที่จะได้รับรางวัลเลยทีเดียว แต่มากาเรเทอก็ยิ้มและตอบกลับมาว่า
“มันไม่ใช่อะไรที่สุดยอดขนาดนั้นหรอกนะลูก”
แต่ถึงอย่างนั้นมารีอาก็ตั้งใจว่าจะขอสูตรการทำจากมากาเรเทอในภายหลัง เพื่อนำไปปรุงให้สามีและลูกๆ ทานในโอกาสถัดๆ ไป
นอกจากมื้ออาหารจะพิเศษแล้ว มากาเรเทอยังบอกว่าการเฉลิมฉลองคริสต์มาสจะถูกเลื่อนไปเป็นมื้อเย็นแทน และมื้อนั้นจะยิ่งใหญ่กว่านี้เป็นสิบเท่า และแน่นอนว่ามันมี ‘พายแอปเปิล’ ด้วย
ทุกคนจึงตั้งตารอคอยอย่างใจจดใจจ่อ ไม่เว้นแม้แต่ผู้เป็นสามีอย่างยาคอป เพราะทุกคนในครอบครัวฮอฟมันรู้ดีว่าพายแอปเปิลที่ตัวของมากาเรเทอทำนั้นอร่อยขนาดไหน
โดยเฉพาะยาคอป ที่เรียกได้ว่าตัวของเขานั้นรักในรสชาติพายแอปเปิลฝีมือของมากาเรเทออย่างถอนตัวไม่ขึ้น
มันอร่อยจนแม้แต่มารีอาที่เคยพยายามแกะสูตรมัน แต่ก็พบว่ามันอร่อยได้ไม่เท่าที่มากาเรเทอทำ พอเธอถามถึงเคล็ดลับการทำ แม่สามีก็มักจะยิ้มและบอกว่า
“รสชาติแห่งความสุขของทุกคนน่ะนะมารีอา ในการที่เราจะทำมันออกมาได้ เราต้องใส่ความรักลงไปในนั้นด้วยนะ ยิ่งใส่ได้เยอะยิ่งดีเลยล่ะ”
ตอนนั้นมารีอาจึงได้แต่งุนงง เพราะเธอไม่เข้าใจว่าการทำอาหารด้วยการใส่ความรักนั้นหมายความว่าอย่างไร แต่ก็ไม่ละความพยายามที่จะทำความเข้าใจไปด้วย
จนในระยะหลังๆ เธอเริ่มทำมันได้ดีขึ้นแล้ว จนโยนาธานชมว่าฝีมือของเธอเริ่มเข้าใกล้แม่ของเขาเรื่อยๆ แล้ว
มื้อกลางวันนั้นจึงเต็มไปด้วยความสุข เพราะทุกๆ คนในบ้านคาดหวังที่จะได้ทานพายแอปเปิลที่นานๆ ครั้งจะได้ทานสักหน
.
หลังจากมื้ออาหารกลางวันจบลง มากาเรเทอก็ได้ไปเตรียมแป้งและส่วนผสมที่จำเป็นสำหรับการทำพายแอปเปิล เมนูโปรดของทุกคน โดยเฉพาะสามีของเธอเอง
หลังจากเตรียมทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอก็มานั่งถักไหมพรมที่โซฟาในห้องนั่งเล่น พร้อมกับมารีอาและหลานๆ ที่กำลังพากันนั่งระบายสีสมุดวาดรูปกันอยู่
ส่วนยาคอปก็กำลังนั่งถามไถ่สารทุกข์สุขดิบของลูกชายอยู่ที่โต๊ะรับประทานอาหารในห้องครัว พร้อมกับดื่มกาแฟไปด้วย
“คุณย่าคะ คุณย่า! คุณย่าเจอคุณปู่ได้ยังไงเหรอคะ?”
อยู่ๆ อันนาที่เกิดเบื่อการวาดรูประบายสี ก็โพล่งถามมากาเรเทอขึ้นมา
“เรื่องมันยาวนะจ๊ะ อันนาอยากฟังเหรอ?”
มากาเรเทอหยุดถักไหมพรม ก่อนจะถามหลานสาวที่มายืนเกาะขาของเธออยู่
“หนูอยากฟังค่ะ!”
อันนาพูดพร้อมกับยิ้มกว้างๆ
“หนูด้วย!”
คลาเรียเงยหน้าขึ้นมาจากสมุดระบายสี ก่อนจะเดินเตาะแตะมาเกาะขาผู้เป็นย่าอีกคน
“ให้ปู่เขาเป็นคนเล่าดีกว่านะจ๊ะ ย่าเองก็พึ่งมาเจอปู่ตอนที่โตแล้วเหมือนกัน เรื่องของคุณปู่สนุกกว่าเยอะเลย”
มากาเรเทอลูบศีรษะของหลานสาวทั้งสอง
“มีอะไรที่ผมพลาดไปหรือเปล่า?”
ยาคอปเดินมาถามมากาเรเทอ
“หลานๆ อยากจะฟังเรื่องราวของคุณสมัยเด็กน่ะค่ะที่รัก”
มากาเรเทอตอบยาคอป
“…”
ยาคอปเงียบไปสักครู่ ก่อนจะทิ้งตัวลงบนโซฟาข้างๆ ภรรยา
โยนาธานที่ล้างแก้วเสร็จก็เดินตามมาทัน ในตอนที่พ่อของเขากำลังจะเล่าเรื่องในสมัยเด็กของตัวเองออกมาอย่างพอดิบพอดี
ตั้งแต่เกิดมา โยนาธานไม่เคยรู้อดีตพ่อของตัวเองเลยแม้แต่นิดเดียว พอถามผู้เป็นแม่ เธอก็มักจะยิ้มและบอกว่ามันคือ ‘ความลับ’ อยู่เสมอๆ
เขาจึงรู้แค่เพียงว่า พ่อของเขาเป็นเด็กที่ครอบครัวของแม่เขารับเลี้ยงเพราะกำพร้ามาจากไฟสงครามก็เท่านั้น
แต่ก็น่าแปลกที่เขานั้นยังเคยพบกับผู้เป็นปู่และย่าอยู่ ดังนั้นตัวของโยนาธานจึงไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อของเขาถึงถูกเรียกว่าเด็กกำพร้า
ครั้งนี้จึงเป็นโอกาสดีที่เขาจะได้ฟังเรื่องราวของผู้เป็นพ่อ ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็ก
ดังนั้น โยนาธานจึงทิ้งตัวนั่งลงข้างมารีอาและลูกๆ พร้อมกับรอคอยที่จะฟังเรื่องราวของผู้เป็นพ่ออย่างใจจดใจจ่อ
“เอาล่ะนะ…ตั้งใจฟังดีๆ ล่ะ ปู่จะเล่าแค่ครั้งเดียวนะ เข้าใจไหม?”
ยาคอปกำชับกับลูกชายและหลานๆ
“ครับพ่อ!”
“ค่ะ!”
“ค่ะ!”
“ค่ะ!“
ทั้งสี่คนรับคำอย่างพร้อมเพรียงกัน
ก่อนที่ยาคอปจะเริ่มเล่าประวัติอันดำมืดของตัวเองในอดีต โดยเริ่มต้นเรื่องเล่าด้วยคำว่า
“เรื่องมันมีอยู่ว่า…”