ปีคริสต์ศักราช 1930 Dortmund, Provinz Westfalen, Weimarer Republik (Germany after World War 1)
“อุแว้! อุแว้! อุแว้!”
เสียงร้องไห้จ้าของเด็กทารกเพศชายที่ดังไปทั่วทั้งห้องนอนที่ถูกดัดแปลงให้กลายเป็นห้องทำคลอด
แพทย์และพยาบาลที่ทำคลอดต่างมีสีหน้าที่ยินดีให้กับการเกิดใหม่ของชีวิตน้อยๆ อีกหนึ่งชีวิต และที่สำคัญผู้เป็นแม่ของทารกน้อยเองก็ปลอดภัยดี ไม่ได้มีอาการข้างเคียงที่น่าเป็นกังวลแต่อย่างใด
‘ปัง!’
เสียงผลีผลามเปิดประตูเข้ามาของชายหนุ่มคนหนึ่งนั้นดึงความสนใจของพยาบาลที่กำลังอุ้มทารกน้อยอยู่
เขาเป็นชายหนุ่มรูปงามที่ตัวสูงใหญ่ ใบหน้าเรียวกระชับเข้ารูป มีผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้ากลมโตดูลึกลับและน่ายำเกรง สวมชุดนายทหารของกองทัพไรช์แวร์ (กองทัพของสาธารณรัฐไวมาร์)
เขาพึ่งได้รับข่าวจากลูกน้องในหน่วยว่าภรรยาของเขากำลังจะคลอด จึงรีบเดินทางกลับจากกรมทหารที่ทำงานอยู่ และดูเหมือนว่าเขาจะกลับมาได้ทันเวลาอย่างพอดิบพอดี
“อ๊ะ! สวัสดีค่ะท่านร้อยโท ยินดีด้วยนะคะ ท่านได้บุตรชายค่ะ”
พยาบาลสาวเดินถือทารกน้อยเข้าไปหาผู้เป็นพ่อ
“แล้วภรรยาผมล่ะ! เธอปลอดภัยดีไหม?”
โทมัส ฮอฟมัน นายทหารยศร้อยโทแห่งกองทัพไรช์แวร์กระหืดกระหอบถามไถ่พยาบาลสาวถึงอาการของภรรยาของตน
นายทหารหนุ่มรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อยเพราะระยะทางจากกรมทหารที่เขาทำงานอยู่กับบ้านของเขานั้นค่อนข้างจะไกลกัน แต่ด้วยความร้อนใจทำให้เขาไม่สามารถรอรถรางแบบที่ควรจะเป็นได้ เขาจึงตัดสินใจวิ่งเป็นระยะทางร่วม 5 กิโลเมตร เพื่อกลับมายังบ้านให้ไวที่สุด
“ท่านเฟลิเซียปลอดภัยดีค่ะ เธอแค่สลบไปเพราะความเหนื่อยล้าจากการคลอดเท่านั้น ยินดีด้วยนะคะท่าน”
พยาบาลสาวแจ้งข่าวดีอีกอย่างให้กับโทมัสได้รับรู้ว่า เฟลิเซีย ฮอฟมัน หรือภรรยาของเขายังปลอดภัยหายห่วง ไม่มีอะไรที่ต้องเป็นกังวล
“ขอบคุณพระเจ้า!!”
โทมัสถอนหายใจด้วยความโล่งอก พร้อมกับรับตัวบุตรชายมาจากอ้อมแขนของพยาบาลสาว
ความเหนื่อยจากการวิ่งนั้นหายเป็นปลิดทิ้ง เมื่อรู้ว่าภรรยาของเขาปลอดภัย และการที่ได้เห็นบุตรชายของตนเองที่พึ่งจะลืมตาดูโลกเมื่อไม่กี่นาทีก่อน ทำให้ความเป็นพ่อคนของเขาปะทุออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ และปลื้มปิติที่บุตรชายของตนนั้นคลอดออกมาได้อย่างปลอดภัย
“คิดชื่อของบุตรชายของท่านไว้หรือยังคะ?”
พยาบาลสาวถามโทมัสที่กำลังอุ้มบุตรชายของตนเอาไว้อยู่
“อื้ม! คิดไว้แล้วล่ะ ยาคอป…ยาคอป ฮอฟมัน”
โทมัสตอบคำถามของพยาบาลสาว
“ฟังดูเป็นชื่อที่ดีนะคะท่าน”
พยาบาลสาวพยักหน้าเห็นด้วย
“ใช่ไหมล่ะ! เขาจะต้องเติบโตมาได้อย่างแข็งแรงแน่นอน”
โทมัสยิ้มกว้างๆ
ไม่มีอะไรจะน่ายินดีไปกว่านี้แล้ว เพราะครอบครัวของเขาได้รับข่าวดีหลายๆ เรื่องพร้อมกันในเวลาไล่เลี่ยกัน
เขาได้บุตรชายในวันคริสต์มาสและภรรยาก็ปลอดภัยดี น้องชายคนแรกของเขาก็พึ่งจะสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเมื่อสองสัปดาห์ก่อนที่เมืองโคโลญ น้องชายคนสุดท้องของเขาก็พึ่งจะได้รับการบรรจุเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำกรุงเบอร์ลินเมื่อเดือนก่อน
จะมีอะไรที่ดีไปกว่านี้อีกล่ะ?
“ท่านเฟลิเซียคงต้องพักฟื้นร่างกายอีกสักหน่อย ระหว่างนี้ห้ามให้ท่านทำงานหรือยกของหนักๆ นะครับ ท่านร้อยโท”
แพทย์ที่พึ่งตรวจอาการของเฟลิเซียเสร็จเดินเข้ามาร่วมวงกับทั้งสองคนด้วย
“อื้ม! ขอบคุณนะครับ คุณหมอ”
โทมัสพยักหน้ารับฟังแต่โดยดี
“บุตรชายของท่านคงเติบโตมาได้อย่างสง่างามแบบท่านอย่างแน่นอนเลยค่ะ ฉันค่อนข้างมั่นใจนะคะ”
พยาบาลสาวพูด เพราะเพียงแค่คลอดออกมาได้ไม่กี่นาที ทารกน้อยก็ดูจะมีเบ้าหน้าที่หล่อเหลากว่าทารกคนอื่นๆ อยู่ไม่ใช่น้อย
เธอจึงมั่นใจว่าเขาจะต้องโตมาเป็นเด็กที่มีรูปร่างหล่อเหลา เหมือนกับนายทหารที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธออย่างแน่นอน
“อื้ม! ผมหวังว่าจะให้เป็นแบบนั้นนะ”
โทมัสยิ้มกว้างๆ พร้อมกับใช้นิ้วเขี่ยแก้มของบุตรชาย ก่อนที่มือน้อยๆ นั้นจะกุมนิ้วมือของเขาเอาไว้แน่น ราวกับรับรู้ได้ว่า นี่คือนิ้วของผู้เป็นพ่อ
.
วันเวลาผันผ่านไป ท่ามกลางความยุ่งเหยิงด้านการเมืองภายในของสาธารณรัฐไวมาร์ ขั้วอำนาจต่างๆ สะสมกำลังกันเพื่อชิงดีชิงเด่นกันในด้านการเมือง ความขัดแย้งนั้นรุนแรงมากเสียจนการลอบสังหารและการโจมตีฝ่ายตรงข้ามนั้นคือเรื่อง ‘ปกติ’
แต่ละพรรคการเมืองจึงมีการสร้างกองกำลังส่วนตัวของตัวเองขึ้นมา เพื่อป้องกันเหตุร้ายที่จะเกิดขึ้น อาทิเช่น ‘สันนิบาตนักรบแนวร่วมแดง’ (ร็อตเทอร์คัพฟ์แฟร์บุนด์-RFB) ของฝ่ายคอมมิวนิสต์เยอรมัน หรือ ‘ชตวร์มอัพไทลุง’ (Sturmabteilung-SA) ของฝ่ายกรรมกรชาตินิยมสังคมเยอรมัน หรือ พรรคนาซี
และนั่นยิ่งทำให้สถานการณ์ภายในทุกอย่างเลวร้ายลงไปอีก
ในปีคริสตศักราช 1933 สาธารณรัฐไวมาร์ก็ได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ ที่ประธานาธิบดีเพาล์ ฟอน ฮินเดนบวร์กเป็นผู้แต่งตั้ง และเขาคนนั้นมีชื่อว่า ‘อดอล์ฟ ฮิตเลอร์’ จากพรรคกรรมกรชาติสังคมนิยมเยอรมัน ผู้ที่เคยถูกจองจำในคุกข้อหากบฏต่อประเทศชาติ (เหตุการณ์กบฏโรงเบียร์ ปีคริสต์ศักราช 1923)
และหลังจากนั้นสาธารณรัฐไวมาร์ (เยอรมนี) ก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป…
ที่ดอร์ทมุนด์เอง ร้อยโท โทมัส ฮอฟมัน นายทหารแห่งกองทัพไรช์แวร์ และภรรยา สามารถสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลบางอย่างในเหตุการณ์นี้
เพราะนับตั้งแต่พวกเขาได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ การเหยียดเชื้อชาตินั้นก็ดูจะพบเห็นได้ทั่วไปภายในเยอรมนี โดยเฉพาะชนชาติที่ถูกกล่าวหาและโดนโจมตีอย่างหนักอย่าง ‘ชาวยิว’
แม้ว่าโทมัสและเฟลิเซียจะเคยฟังคำปราศรัยของฮิตเลอร์แล้ว แต่พวกเขาก็ไม่เคยเห็นด้วยกับคำปราศรัยที่ดูจะจงเกลียดจงชังเชื้อชาติอื่นที่นอกจาก ‘ชาวอารยัน’ ในอุดมคติของพรรคนาซี
และนอกจากนั้น พรรคนาซีค่อนข้างที่จะเชื่อ ‘ตำนานการถูกแทงข้างหลัง’ เมื่อตัวเองเถลิงอำนาจขึ้นมาแล้ว จึงมีการประโคมแนวคิดนี้อย่างยิ่งใหญ่
และผู้ที่ตกเป็นเป้าหมายในแนวคิดนี้ก็คงจะไม่พ้น ‘ชาวยิว’ และ ‘ฝ่ายที่นิยมฝักใฝ่ในลัทธิคอมมิวนิสต์’
ซึ่งโทมัสนั้นไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้อย่างยิ่งยวด แต่ก็ไม่สามารถออกตัวอย่างโจ่งแจ้งได้ เพราะพ่อของเขา ไฮเทอร์ ฮอฟมัน อดีตทหารผ่านศึกในมหาสงครามของเยอรมันนั้นค่อนข้างจะเห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าว
และทุกครั้งที่โทมัสพบกับพ่อของตัวเอง ท่านจะต้องพร่ำพูดเรื่องนี้จนเขารู้สึกรำคาญในบางครั้ง
นอกจากนั้น ภายในกองทัพไรช์แวร์ที่โทมัสประจำการอยู่ก็เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เช่นกัน
เมื่อวันที่ 7 เมษายน 1933 พรรคนาซีได้ออกกฎหมายฟื้นฟูราชการวิชาชีพ (Law for the Restoration of the Professional Civil Service) ที่กีดกันไม่ให้ชาวเยอรมันเชื้อสายยิวประกอบอาชีพที่เกี่ยวข้องกับระบบราชการ อาทิเช่นครู, อาจารย์, นักกฎหมาย, ผู้พิพากษาและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
พรรคนาซียังได้บอกอีกด้วยว่านี่เป็นเพียง ‘ก้าวแรกที่จะทำให้สังคมสะอาดขึ้นและปราศจากพวกยิว’
กฎหมายนี้สร้างความปั่นป่วนให้กับสายการบังคับบัญชาของกองทัพเป็นอย่างมาก เกิดความสับสนขึ้นในหมู่ทหารอาชีพ เมื่อผู้บังคับบัญชาหรือผู้ใต้บังคับบัญชาของพวกเขาหายไป
หน่วยของโทมัสเองก็มีทหารและนายทหารหลายนายต้องออกจากราชการแบบกะทันหัน เพียงเพราะว่าตัวเองมีเชื้อสายยิว และโทมัสก็ไม่เคยได้ข่าวคราวของพวกเขาอีกเลย
ความระส่ำระสายในกองทัพนั้นคงอยู่ได้ไม่นาน เมื่อมีการบรรจุกำลังพลใหม่เข้ามาประจำการแทนส่วนที่ถูกปลดออกไป และพวกเขามีความเป็น ‘อารยัน’ สูงตามแบบฉบับของพรรคนาซี
หากมีทหารบางนายที่ไม่ค่อยพอใจกับการกระทำแบบนี้ และเมื่อแสดงความไม่พอใจนั้นออกมาอย่างโจ่งแจ้ง ในวันต่อมาพวกเขาจะถูกหน่วยชตวร์มอัพไทลุงที่มีหูมีตาอยู่ทั่วอุ้มหายไปดื้อๆ โดยที่ไม่สนยศและตำแหน่ง หรือแม้แต่สถานที่
บางครั้งก็มีการจับกุมผู้ที่เห็นต่างหรือไม่พอใจกับการกระทำดังกล่าว ทั้งๆ ที่เจ้าตัวยังนั่งทำงานอยู่ในกรมทหารเลยก็มี
นอกจากเรื่องภายในกองทัพที่สับสนวุ่นวายแล้ว หน่วยงานอื่นเองก็เกิดความวุ่นวายเช่นกัน เพราะได้รับคำสั่งในลักษณะเดียวกันกับที่กองทัพได้รับ นั่นคือ ‘ให้ปลดบุคลากรที่มีเชื้อสายยิวออกจากตำแหน่ง’ และแทนที่ด้วยบุคลากรที่พรรคนาซีเห็นแล้วว่าเหมาะสม
เฟลิเซียที่เป็นคุณครูในโรงเรียนประถมละแวกบ้านเองก็เห็นถึงผลกระทบครั้งใหญ่หลวงนี้เหมือนกันกับสามี
เพราะบุคลากรที่มาใหม่นั้น พวกเขาค่อนข้างที่จะมีความคิดเห็นแบบสุดโต่ง และได้ทำการอบรมสั่งสอนพวกเด็กๆ ในสิ่งที่คุณครูหลายคนเองก็ยังลงความเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่แปลกแยกและผิดหลักมโนสำนึกของมนุษย์
แต่ก็ไม่มีครูคนไหนสามารถปริปากพร่ำบ่นอะไรในเรื่องนี้ได้เลยแม้แต่คนเดียว เพราะพวกเขาทั้งหมดอยู่ภายใต้การควบคุมขององค์กรครูนาซี (Nazi Teacher’s Organization) ที่ถูกก่อตั้งมาเพื่อควบคุมครูทั่วประเทศเยอรมนีให้ดำเนินการเรียนการสอนไปในทิศทางที่พรรคนาซีต้องการ
หากมีผู้ใดกล้าปริปากเห็นแย้งหรือขัดขืนต่อแนวคิดรูปแบบใหม่ที่ต้องการปลูกฝัง ถ้าโชคดีหน่อยก็แค่โดนตักเตือน หรืออย่างร้ายที่สุดก็โดนไล่ออกและไม่ได้ข่าวคราวเกี่ยวกับพวกเขาอีกเลย
นอกจากนั้นอีกคนที่ได้รับผลกระทบในเรื่องนี้ก็คือ ‘แม่นมของยาคอป’ ที่ในตอนนี้กำลังอยู่ในวัยกำลังน่ารักน่าชัง เธอบังเอิญมีเชื้อสายยิว เพราะอย่างนั้นแล้ว เธอจึงถูกกีดกันออกจากครอบครัวฮอฟมัน โดยไม่มีทางให้เลือก และกลายเป็นคนตกงานในที่สุด
นั่นทำให้เฟลิเซียต้องหอบเอายาคอปไปทำงานด้วยนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
โทมัสกับเฟลิเซียเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายในสังคม นอกเหนือจากสถานที่ทำงาน นั่นคือมีการเหยียดเชื้อชาติชาวเยอรมันเชื้อสายยิวจากคนในสังคมอย่างโจ่งแจ้ง และทำลายข้าวของที่เป็นทรัพย์สมบัติของชาวยิวอย่างอุกอาจ
หากเจ้าของทรัพย์ไปแจ้งความเพื่อตามหาผู้กระทำผิดแล้ว นอกจากเจ้าหน้าที่ตำรวจจะไม่สนใจแล้ว บางครั้งยังมีการปรับสินไหมแก่เจ้าของทรัพย์อีกด้วย หรือบางทีก็อาจจะถูกส่งไปนอนในคุกโดยที่ไม่ได้มีความผิดอะไร
.
“นี่มันบ้ามากเลยนะคะคุณ!!”
เฟลิเซียพูดออกมาอย่างเหลืออด หลังจากมื้ออาหารค่ำจบลง
“ผมรู้สึกว่าทุกอย่างมันพึ่งจะเริ่มต้นเท่านั้นเอง”
โทมัสยกกาแฟขึ้นมาดื่ม
“มันไม่ยุติธรรมเลย พวกเขาก็เป็นคนเหมือนกับเรา ทำไมจะต้องมาถูกเลือกปฏิบัติแบบนี้ด้วย!!”
เฟลิเซียบ่นยกใหญ่
“ตราบใดที่พรรคนาซียังครองอำนาจอยู่ ผมว่าเรื่องพวกนี้ก็ไม่จบลงง่ายๆ หรอก”
โทมัสถอนหายใจออกมาช้าๆ พลางมองไปนอกหน้าต่าง
เขาภาวนาไม่ให้ทุกอย่างเลวร้ายลงไปกว่านี้ เพราะเขาไม่อยากที่จะให้ลูกชายที่กำลังนั่งเล่นของเล่นอยู่ใกล้ๆ ต้องเติบโตขึ้นมาในสังคมที่บิดเบี้ยวแบบนี้
แต่คำภาวนาของโทมัสก็ไม่เคยเป็นจริง…
เพราะอีกหนึ่งปีต่อมา ในวันที่ 2 สิงหาคม 1934 ประธานาธิบดีเพาล์ ฟอน ฮินเดินบวร์ค ก็ได้ถึงแก่อสัญกรรมลง และบัดนี้ไม่มีผู้ที่จะคอยขวางกั้นอำนาจอันอยุติธรรมที่เป็นของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ และ พรรคนาซีอีกต่อไปแล้ว
และก็เป็นไปตามคาด…
หลังจากนั้นไม่นาน อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ก็ได้ยุบรวมอำนาจทุกอย่างเอาไว้ที่ตัวเองและสถาปนาตัวเองเป็น “ฟือเรอร์” (Führer) หรือ “ท่านผู้นำ” ของประเทศเยอรมนี
.
เดือนมีนาคม ปีคริสต์ศักราช 1935 Köln, Germany
วันนี้โทมัสมางานรวมรุ่นโรงเรียนนายร้อยทหารบกที่เขาจบมา ซึ่งพวกเขานัดกันที่บาร์แห่งหนึ่งในเมืองโคโลญ
“เฮ้! โทมัส! ทางนี้!”
พอเขาเดินเปิดประตูเข้าบาร์มา เสียงเพื่อนคนหนึ่งของโทมัสก็ตะโกนเรียกเขาในทันที
“ไง! โยฮัน ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
โทมัสทักทายเพื่อนของตัวเอง
“นั่งลงเถอะ วันนี้มีเรื่องให้พวกเราคุยกันเพียบเลยล่ะ”
โยฮัน บาร์เดิน เพื่อนของโทมัสพูด ก่อนจะกระดกแก้วเบียร์ดื่ม
“เรื่องอะไรเหรอ?”
โทมัสที่สั่งอาหารกับเบียร์เสร็จแล้วถามขึ้น
“นี่แกไม่รู้จริงดิ!”
แอร์วิน กุสทัฟ เพื่อนของโทมัสอีกคนพูดขึ้น
“เรื่องอะไรล่ะ?”
โทมัสถาม
“ก็ท่านผู้นำของพวกเราประกาศจะระดมกำลังพลครั้งใหญ่ที่สุด นับตั้งแต่พวกเราแพ้ในมหาสงครามยังไงล่ะ…”
พอลลัส ชมิตซ์ เพื่อนอีกคนในกลุ่มของโทมัสพูดขึ้น
พอลลัสเป็นคนที่ลาออกจากกองทัพบก และไปสมัครเข้าร่วมกับหน่วยงานที่ทางพรรคนาซีตั้งขึ้นมาแทนพวกหน่วยชตวร์มอัพไทลุงที่ถูกกวาดล้างไปเมื่อเดือนมิถุนายนปีก่อน อย่างกองกำลัง “ชุทซ์ชตัฟเฟิล” (Shutzstaffel-SS) เพื่ออนาคตทางหน้าที่การงานที่มั่นคงและไกลกว่าที่เป็นอยู่
เนื่องจากพอลลัสสังกัดอยู่ในหน่วยอัลเกอไมเนอเอสเอส (Allgemeine-SS) หรือ ‘กองกำลังเอสเอสทั่วไป’ เพราะอย่างนั้นแล้ว เขาจึงรู้หลายๆ อย่างที่จะเกิดขึ้นก่อนเพื่อนในรุ่นเสมอๆ
“ข่าวนี้เชื่อได้มากน้อยแค่ไหน?”
โทมัสถาม
“ร้อยเปอร์เซ็นต์”
พอลลัสตอบเสียงเรียบ
“…”
โทมัสเงียบไปเมื่อได้รับคำตอบแบบนั้น เพราะเขารู้ดีว่าพอลลัสเป็นคนเถรตรงและไม่เคยโกหกใคร
ในฐานะของทหารอาชีพแล้ว โทมัสรู้สึกยินดีที่ได้ยินข่าวแบบนั้น เพราะเขาเองก็ค่อนข้างจะเจ็บใจอยู่ไม่น้อยที่ถูกพวกฝ่ายสัมพันธมิตรในมหาสงครามเอารัดเอาเปรียบกองทัพของเยอรมันอยู่ฝ่ายเดียว เมื่อพวกมันกลายเป็นผู้ชนะสงคราม
แต่ในขณะเดียวเขาก็วิตกกังวลว่านี่จะเป็นการแสดงท่าทียั่วยุต่อพวกสัมพันธมิตรและดึงให้สงครามกลับมายังประเทศเยอรมนีหรือเปล่า
“ใช่ไหมล่ะ! แบบนี้มันต้องฉลอง! กองทัพเยอรมันจะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งแล้ว!!”
แอร์วินที่เมาแอ๋แล้วตะโกนขึ้นมา ก่อนจะล้มคอพับหมดสติไป
เนื่องจากบาร์นี้ถูกเพื่อนๆ ในรุ่นของโทมัสเหมาเอาไว้แล้ว จึงไม่ต้องกังวลว่าจะไปรบกวนโต๊ะอื่นหรือเปล่า เพราะมองไปทางไหนก็คนคุ้นหน้าคุ้นตากันทั้งนั้น
“นอกจากนี้ยังมีการประกาศตั้งกองกำลังใหม่ด้วยนะ”
พอลลัสพูดขึ้นมาอีก
“กองกำลังอะไรล่ะ?”
โทมัสถามด้วยความอยากรู้
“พวกเบื้องบนเรียกมันว่า ‘กองพลยานเกราะ’ ล่ะนะ”
พอลลัสตอบเสียงเรียบนิ่ง
“นี่แหละของดีเลยนะจะบอกให้!! พวกเราจะได้รบร่วมกับยานเกราะเป็นครั้งแรก จะมีอะไรอุ่นใจไปกว่าการที่ยืนอยู่ในสนามรบแล้วมีปืนใหญ่ๆ ของยานเกราะคอยยิงสนับสนุนแบบใกล้ชิดอีกล่ะ”
โยฮันพูดขึ้น
ชายหนุ่มทุบโต๊ะอย่างแรงด้วยความดีใจ เพราะแต่ไหนแต่ไรมา ครอบครัวของเขานั้นเป็นครอบครัวทหารเก่าเมื่อครั้งสมัยที่เยอรมนียังเป็นอาณาจักรปรัสเซียอยู่
ปู่ของโยฮันเคยรบในสงครามฟรังโก-ปรัสเซียน พ่อของเขาเองก็ได้ร่วมรบในมหาสงคราม และกลายมาเป็นทหารผ่านศึกด้วยเช่นกัน และด้วยเหตุนี้เอง โยฮันจึงมองว่าสงครามเปรียบเสมือนสถานที่สำหรับแสวงหาเกียรติยศเสียมากกว่า
ที่สำคัญ โยฮันเชื่ออย่างสุดใจในตำนานการแทงข้างหลังที่พรรคนาซีใช้เป็นจุดหนึ่งในการโจมตีชาวยิวและพวกบอลเชวิค
และเพราะอย่างนั้นแล้ว โยฮันจึงเกลียดคนพวกนี้มาก หรือจะเรียกได้ว่า ตัวของโยฮันคล้อยตามแนวทางของพรรคนาซีไปโดยสมบูรณ์แล้วก็ไม่ผิดนัก
“นายพูดอย่างกับว่ากำลังจะมีสงครามเร็วๆ นี้เลยนะ โยฮัน”
โทมัสพูดกับเพื่อน
“ก็แหม…คิดดูสิโทมัส!! มีการประกาศระดมกำลังพลขนาดใหญ่ จัดตั้งกองกำลังใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน จะมีอะไรซะอีกล่ะ! นอกจากการประกาศสงครามกับไอ้พวกอังกฤษกับฝรั่งเศสงี่เง่าพวกนั้น”
โยฮันพูดด้วยสีหน้าที่แดงก่ำ
“นายเมาแล้วล่ะโยฮัน”
โทมัสพูดกับเพื่อน
ถึงแม้โทมัสจะเป็นทหารอาชีพและรู้สึกยินดีที่กองทัพกำลังจะมีการปรับกำลังกันใหม่ในเร็วๆ นี้ แต่ตัวของเขานั้นมองว่าควรมีกองทัพไว้เพียงเพื่อป้องกันดินแดน ไม่ใช่เพื่อการรุกรานประเทศรอบข้าง
แต่เขาไม่สามารถออกความเห็นอะไรที่มันขัดแย้งกับกระแสของสังคม ณ เวลานี้ได้ เพราะหากเขาทำแบบนั้น นั่นหมายถึงหายนะที่จะเกิดขึ้นกับครอบครัวของเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“คำสั่งจากส่วนกลางน่าจะกระจายไปถึงหน่วยของพวกนายแต่ละคนในเร็วๆ นี้นี่แหละ”
พอลลัสพูดพลางจิ้มไส้กรอกเข้าปากด้วยท่าทีที่สง่างาม
“…”
โทมัสเงียบไปเพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไร เขาทำได้แค่เพียงนั่งดื่มเบียร์และทานอาหารที่สั่งมาอย่างเงียบๆ เท่านั้น
และก็เป็นอย่างที่พอลลัสบอก ไม่นานหลังจากนั้น เยอรมนีภายใต้การนำของฮิตเลอร์ก็ประกาศระดมพลครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่พ่ายแพ้ในมหาสงคราม
มีการระดมพลจากทั้งสามเหล่าทัพ และปรับปรุงระบบสายการบังคับบัญชาครั้งยิ่งใหญ่ เร่งการผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์สงคราม อัตราการเติบโตของกองทัพนั้นสูงขึ้นจนแม้แต่ทหารอาชีพอย่างโทมัสยังใจหาย โดยจากที่มีกำลังพลเพียงไม่กี่หมื่นนายสู่หลักแสนนายภายในเวลาเพียงไม่ถึงเดือน
ทุกสิ่งที่อย่างที่เกิดขึ้นในประเทศเยอรมนี นับตั้งแต่ฮิตเลอร์และพรรคนาซีเถลิงอำนาจ เริ่มตั้งแต่การเหยียดเชื้อชาติที่เริ่มจากการเรียนในห้อง การออกกฎหมายเพื่อปลดบุคลากรในสาขาอาชีพต่างๆ และแทนที่ด้วยคนที่ทางพรรคนาซีเห็นว่าเหมาะสม รวมไปถึงการระดมพลครั้งใหญ่และจัดตั้งกองกำลังใหม่ๆ
โทมัสกับเฟลิเซียลงความเห็นร่วมกันว่า หากไม่ใช่พวกโง่เง่าจนเกินเยียวยา ก็คงจะรับรู้ได้ว่า
“เยอรมนีกำลังจะทำสงครามครั้งใหม่”
และ
“หายนะกำลังจะตามมา”
สองสามีภรรยาสกุลฮอฟมันได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้เกิดสงครามขึ้นซ้ำรอยเดิมอีก และภาวนาให้ลูกชายเพียงคนเดียวของพวกเขาเติบโตขึ้นมาในแบบที่ควรจะเป็น แม้จะรู้ว่าแทบเป็นไปไม่ได้เลยในสภาวะที่สังคมบิดเบี้ยวอย่างถึงที่สุดแบบนี้ก็ตามที
แต่พวกเขาก็เลือกที่จะเชื่อและภาวนาแบบนั้น…