บทที่ 24: สำนึก

1939 Words
เสียงย่ำฝีเท้าของยาคอปที่วิ่งลัดเลาะไปตามแนวชายป่า เด็กหนุ่มกำลังมองดูเข็มทิศที่ผู้เป็นอามอบให้ ก่อนที่พวกเขาจะจากกันตลอดกาล ทิศที่เขากำลังมุ่งหน้าไปในตอนนี้คือทิศตะวันตก ด้วยประสบการณ์สมัยที่อยู่ในกลุ่มเยาวชนของโรงเรียน ทำให้ยาคอปนั้นดูทิศผ่านเข็มทิศเป็น หลังจากแยกกับฟรังค์ที่ตรงชานเมือง เวลาก็ผ่านไปถึง 3 ชั่วโมงแล้ว และนี่ก็เป็นเวลาใกล้จะพลบค่ำแล้ว เด็กหนุ่มจำเป็นที่จะต้องหาที่พักโดยเร็วที่สุด “ฮือ…ผมจะทำยังไงดี…” ยาคอปทิ้งตัวลงนั่งอย่างหมดแรงและเริ่มร้องไห้ออกมาอีกครั้ง เพราะการรบที่ผ่านมานั้นกินพลังกายของเขาไปจนหมด อีกทั้งยังไม่ได้รับอาหารและการพักผ่อนอย่างเพียงพอ “แม่ครับ…พ่อครับ…ช่วยผมด้วย…” เด็กหนุ่มร้องไห้หาพ่อกับแม่ของตัวเอง โดยหวังอยู่ในใจลึกๆ ว่าพวกท่านจะปรากฏตัวขึ้นมาจากอากาศธาตุ เหมือนกับตอนที่เขาเรียกพวกท่านสมัยที่ยังเป็นเด็ก แต่ไม่ว่าจะร้องจนสุดเสียง ร้องจนเสียงแหบแห้ง พวกท่านก็ไม่ปรากฏตัวขึ้นมา นั่นทำให้ยาคอปรู้สึกหดหู่จนถึงขีดสุด เพราะมันทำให้เขาตระหนักถึงความเป็นจริงว่า ในตอนนี้เขาไม่เหลือใครเลย ไม่เหลือแม้แต่คนเดียว ยาคอปได้ยินเสียงน้ำไหลอยู่ไกลๆ ท่ามกลางความเงียบสงบของชายป่า นั่นทำให้เด็กหนุ่มรีบกระวีกระวาดไปตามเสียงนั้นในทันที เพราะในตอนนี้เขากระหายน้ำเป็นอย่างมาก ตะเกียกตะกายไปได้ราวๆ 5 นาที ยาคอปก็ได้พบกับลำธารเล็กๆ สายหนึ่งที่ไหลผ่านทะลุป่าออกมา เขาไม่รอช้าแม้แต่วินาทีเดียว รีบก้มหน้าดื่มน้ำเข้าไปด้วยความกระหายที่มาจนถึงขีดสุดของความอดทน “…” หลังจากดื่มน้ำจนพอใจแล้ว ยาคอปก็สลบไปด้วยความอ่อนล้า ท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามอัสดง . ‘‘‘ตูม!’’’ เสียงระเบิดที่ดังแว่วมาจากที่ไกลๆ ติดต่อกันถึงสามนัด มันทำให้ยาคอปสะดุ้งตัวสุดแรงเกิด เด็กหนุ่มแหงนมองดูรอบตัวที่มืดสนิทอยู่สักพัก ก่อนจะเงยหน้ามองท้องฟ้ายามราตรี ท้องฟ้าแสนสวยที่เขาไม่ได้เห็นมันมานานแล้ว ครั้งสุดท้ายที่เขาได้มองดูมันก็คือตอนที่โทมัสกับเฟลิเซียยังมีชีวิตอยู่ ในตอนนั้นยาคอปรู้สึกว่าท้องฟ้ามันสวยเอามากๆ และเด็กหนุ่มชอบมองดูหมู่ดาวที่ระยิบระยับอยู่บนท้องฟ้า เพราะเขารู้สึกว่ามันอ่อนโยนเหมือนกับผู้เป็นแม่ที่อยู่ข้างๆ และทุกครั้งมันจะจบลงที่เขาหลับคาอ้อมกอดของผู้เป็นพ่อ จนตื่นมาอีกทีเขาก็นอนอยู่บนเตียงของตัวเองในตอนเช้าเสียแล้ว แต่มาในตอนนี้ ยาคอปไม่เหลือใครเลย ไม่มีใครที่จะมาดูพวกมันพร้อมกับเขา มันจึงกลายเป็นว่าเด็กหนุ่มพาลเกลียดการที่ต้องมามองท้องฟ้านี้ตัวคนเดียวไปทั้งแบบนั้น เสียงที่ได้ยินอยู่ไกลๆ นั้นคือเสียงปืนและเสียงระเบิดที่มาจากการต่อสู้ แม้จะอยู่ห่างไกลจากตำแหน่งของพวกมัน แต่เสียงมันก็ยังดังไกลมาถึงตรงที่เขายืนอยู่ ยาคอปเดินออกไปมองกรุงเบอร์ลินจากบริเวณชายป่า เมืองที่ครั้งหนึ่งเคยงดงามและศิวิไลซ์แห่งหนึ่งในยุโรป และเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรอันยิ่งใหญ่มาหลายยุคหลายสมัย บัดนี้ เมืองนั้นกำลังถูกลดทอนความงดงามลงด้วยไฟของสงคราม เพราะความทะเยอทะยานของคนบางกลุ่ม ‘ถ้าผมรอดชีวิตจากตรงนี้ไปได้ ผมสาบาน ผมจะไม่ข้องแวะเกี่ยวกับสงครามและการทำลายล้างชีวิตและทรัพย์สินของผู้คนอีก’ ยาคอปยืนปฏิญาณกับตัวเอง ในขณะที่มองท้องฟ้าเหนือกรุงเบอร์ลินที่กลายเป็นสีแดงฉานจากเปลวไฟของสงคราม และมีกระสุนปืนต่อสู้อากาศยานยิงเป็นสาย บ่งบอกว่าการต่อสู้ภายในเมืองนั้นกำลังทวีความรุนแรงและความคลั่งขึ้นไปอีกระดับ จนยากเกินกว่าที่มนุษย์จะจินตนาการออก ค่ำคืนนั้น ยาคอปได้สร้างที่พักอย่างง่ายขึ้นมาด้วยความรู้สมัยที่ตัวของเขายังคงเป็นสมาชิกเยาวชนผู้ภักดีต่อพรรคนาซีของโรงเรียน แต่ยาคอปนั้นนอนไม่ค่อยหลับ เนื่องจากทุกครั้งที่มีเสียงระเบิด ตัวของเด็กหนุ่มจะสะดุ้งอย่างรุนแรง จนอาจจะเรียกได้ว่าตัวของเขาเกิดอาการหลอนเสียงของสงครามเหมือนกับที่โทมัสเป็นแล้วก็เป็นได้ อีกทั้งท้องที่กำลังครวญครางขออาหารนั้นก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขานอนไม่หลับ เพราะอาหารมื้อสุดท้ายที่เขาได้ทานนั้น มันคือถั่วกระป๋องกับขนมปังอันน้อยนิด ก่อนที่จะถูกทหารโซเวียตตีที่มั่นแตก . ค่ำคืนอันแสนทรมานได้ผ่านพ้นไป ยาคอปดื่มน้ำให้มากที่สุดเท่าที่จะดื่มได้ และเดินสะโหลสะเหลไปตามทิศตะวันตกตามที่มันบอกในเข็มทิศ พอได้อยู่คนเดียวนานๆ ก็เริ่มกลายเป็นความเคยชิน เด็กหนุ่มรู้สึกว่าได้เรียบเรียงความคิดอะไรหลายๆ อย่างให้เป็นระบบระเบียบมากขึ้น ความเป็นจริงคือ ความเศร้าที่คนในครอบครัวจากไปจนหมดยังคงอยู่กับเขา แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่สามารถทำอะไรกับอดีตที่ผ่านไปแล้วได้ ดังนั้นยาคอปจึงปล่อยให้ตัวเองคิดถึงวันวานให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ในขณะที่ตัวเองกำลังเดินไปข้างหน้า เพราะเขาได้สัญญากับฟรังค์แล้วว่าจะใช้ชีวิตที่ทุกคนต่างสละชีวิตเพื่อให้เขามีชีวิตอยู่นี้ให้คุ้มค่า และจะบอกกับคนรุ่นหลังๆ ต่อไปด้วยว่า สถานที่ที่เรียกว่าสงครามนั้นมันโหดร้ายแค่ไหน ‘จำเอาไว้นะ มนุษย์ทุกคนมีแสงแดดอันแสนอ่อนโยนของตัวเองเสมอ’ ฟรังค์เคยพูดแบบนั้นเอาไว้กับเขา แต่ตัวของยาคอปในตอนนี้ไม่เข้าใจว่าแสงแดดอันแสนอ่อนโยนที่ว่านั้นหมายถึงอะไร และมีหน้าตาเป็นแบบไหน แต่เด็กหนุ่มจะขอลองเชื่อในคำพูดนั้นอย่างสุดหัวใจ ‘ในอดีตเราเคยทำผิดต่อผู้คนมากมาย มีคนนับสิบชีวิตต้องตายเพราะเรา เพียงเพราะเราอยากได้คำชมที่ดูหมิ่นความเป็นมนุษย์อันไร้สาระพวกนั้น…’ ยาคอปก้มดูมือของตัวเอง พร้อมกับจินตนาการว่ามือของตัวเองนั้นเปื้อนเลือดของชาวยิวนับสิบชีวิต ชาวยิวที่ต้องตายเพราะความไร้เดียงสาของตัวเองในอดีต ซากศพที่นอนเรียงรายอยู่ที่เท้าของเขา แม้จะชดใช้และไถ่บาปด้วยชีวิตของเขา เด็กหนุ่มก็ยังไม่รู้เลยว่ามันจะเพียงพอหรือไม่ ‘ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงมหิทธานุภาพ ถ้าหากในอนาคตพระองค์กำหนดให้มีการไถ่บาปใดที่จะทำให้ข้าพระองค์ชดใช้ความผิดบาปของข้าพระองค์ในอดีตได้ ข้าพระองค์ขอสาบานต่อพระองค์ด้วยเกียรติและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่ข้าพระองค์มีอยู่ ข้าพระองค์จะทำมันโดยไร้เงื่อนไขใดๆ’ ยาคอปคุกเข่าและสวดวิงวอนต่อพระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้าที่ครั้งหนึ่งเขาเคยหันหลังให้ และหันไปนับถือปีศาจในคราบของมนุษย์ จนกระทั่งในวันนี้ เด็กหนุ่มได้ตาสว่างแล้วว่า ไม่มีผู้ใดในโลกหล้านี้จะเพียบพร้อมและมีพระเมตตาเท่าพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงมหิทธานุภาพอีกแล้ว พระองค์ชี้นำพาเขาให้หลุดพ้นจากความมืดบอดจากความไม่รู้ ประทานพรอันศักดิ์สิทธิ์ในการชี้นำทางที่ทำให้เขามีกำลังใจในการใช้ชีวิตต่อไป ท่ามกลางความโศกเศร้าแด่การจากไปของผู้คนอันเป็นที่รัก แม้ว่าเขาจะหันหลังให้พระองค์ แต่พระองค์ไม่เคยหันหลังให้แก่เขาเลยแม้แต่วินาทีเดียว ยาคอปจึงคิดว่าการปฏิญาณตนต่อพระผู้เป็นเจ้า เพื่อให้พระองค์เห็นถึงความจริงใจที่จะไถ่บาปที่ได้สังหารเพื่อนมนุษย์ไปเพราะความไม่รู้ สิ่งนี้น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ในตอนนี้ ‘ข้าพระองค์ใคร่รู้ว่าแผนการที่พระองค์เตรียมไว้สำหรับข้าพระองค์ แสงแดดอันแสนอ่อนโยนในชีวิตของข้าพระองค์นั้นมีความหมายว่าเช่นไร’ ยาคอปคิดอยู่ในใจในขณะที่เดินลากกิ่งไม้ไปตามพื้นดินในบริเวณแนวชายป่า และเหมือนว่าพระผู้เป็นเจ้าจะทราบถึงความคิดของเขา… เพราะในขณะที่เดินอยู่นั้นเอง ยาคอปก็ได้ยินเสียงคนคุยกัน เด็กหนุ่มจึงรีบโผเข้าไปในพุ่มไม้ใกล้ๆ ในทันที เพื่อดูว่าเป็นใคร เมื่อเงี่ยหูฟังดีๆ ยาคอปก็พบว่ามันไม่ใช่ภาษาเยอรมัน ภาษาบ้านเกิดของเขา และไม่ใช่ภาษาสลาฟแบบที่เขาเคยได้ยินทหารโซเวียตตะโกนคุยกันในตอนที่ปะทะกันในเบอร์ลิน แต่มันคือภาษาอังกฤษ!!!!! “เฮ้! ฉันว่าฉันได้ยินเสียงแปลกๆ มาจากพุ่มไม้นั่นนะ…” ทหารสหรัฐที่เดินนำหน้าเพื่อนอีก 6 คนพูดขึ้น พวกเขากำลังเดินออกมาลาดตระเวนที่ชายป่าใกล้ค่ายตามปกติ เพราะในบางทีอาจจะมีกองทัพเยอรมันที่กำลังเคลื่อนพลมาหาพวกเขาอยู่ก็เป็นได้ ซึ่งจะมามอบตัวหรือมาโจมตีก็ไม่อาจทราบได้ ทหารสหรัฐที่เป็นผู้นำกลุ่มพยักหน้าให้กับอีกสองคน เป็นสัญญาณว่าให้พวกเขาเดินไปตรวจสอบ โดยคนที่เหลือจะคอยระวังหลังให้อยู่ตรงนี้ ทหารสหรัฐสองคนกระชับปืนไว้ในมือ เตรียมยิงออกไปในทันทีถ้าหากว่ามันเป็นข้าศึกที่มีอาวุธอยู่ในมือ “นั่นใคร!! ออกมาเดี๋ยวนี้” หนึ่งในสองคนนั้นดูเหมือนจะพูดภาษาเยอรมันได้จึงตะโกนออกไป “…” ยาคอปจึงเดินออกจากที่ซ่อนไปพบกับพวกเขา แต่สภาพของเขานั้นเละสุดๆ มีคราบฝุ่นเกาะตามตัว เสื้อผ้าที่ขาดวิ่น ผ้าพันแผลที่เปื้อนเลือดและดินผสมกัน และที่สำคัญท่าทางของเขานั้นอิดโรยสุดๆ เพราะอาการหิวและความเหนื่อยล้าที่สะสมมายาวนาน “เด็ก?” “เด็กมาทำอะไรในป่าแห่งนี้วะ?!” ทั้งสองคนหันหน้ามองกันแบบงงๆ ป่าแถบชานเมืองแบบนี้จะมีเด็กหลงมาได้ยังไงกัน? ไม่ว่าจะคิดยังไงก็ไม่สมเหตุสมผล และไม่สามารถหาแนวคิดอื่นๆ มารองรับได้เลย แต่เรื่องความสงสัยนั้นต้องเอาไว้ก่อน… “หัวหน้า เรามีเด็กหนึ่งคนครับ ท่าทางอิดโรยมากเลยด้วย” หนึ่งในสองทหารสหรัฐรีบวิ่งออกมารายงานผู้เป็นหัวหน้า “ไปพาตัวออกมา!” หัวหน้ากลุ่มออกคำสั่ง ไม่นานนักพวกเขาก็อุ้มยาคอปออกมาพบกับกลุ่มใหญ่ ซึ่งในตอนนี้เด็กหนุ่มได้สลบไปแล้ว เพราะความอ่อนล้าที่สะสมมาอย่างยาวนาน “พากลับไปที่ค่าย!” หัวหน้ากลุ่มออกคำสั่ง ก่อนที่จะยกเลิกการเดินลาดตระเวนในวันนี้ไปทั้งหมด เพราะในตอนนี้ การช่วยชีวิตเด็กน้อยคนนี้สำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด ยาคอป ฮอฟมัน เด็กหนุ่มผู้ที่สูญเสียคนในครอบครัวไปจากภัยสงคราม ในตอนนี้ได้ตกอยู่ในความดูแลของกองทัพสหรัฐแล้ว และเขาปลอดภัยดี…
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD