วันที่ 25 ธันวาคม 1936 ยาคอปก็มีอายุครบ 6 ปีพอดิบพอดี เขาได้เข้าเรียนในโรงเรียนใกล้บ้าน และนอกจากนั้นเขายังได้ฝันใฝ่ที่จะได้เข้าร่วมกับองค์กรยุวชนฮิตเลอร์ (Hitlerjugend) เมื่ออายุครบ 14 ปี
องค์กรยุวชนฮิตเลอร์คือองค์กรที่พรรคนาซีจัดตั้งขึ้นมาเพื่อให้เยาวชนทั่วทั้งประเทศเข้ามาทำกิจกรรมตามเป้าหมายของทางพรรค โดยจะรับสมัครจากเยาวชนอายุ 14-18 ปี จากทั้งทั่วประเทศ
หรือถ้าหากอายุยังไม่ถึงเกณฑ์ก็ยังคงมี ‘องค์กรด็อยท์เชิสยุงฟ็อลค์’ (Deutsches Jungvolks-DJV) ที่รับสมัครเยาวชนอายุ 8-14 ปี จากทั่วทั้งประเทศ เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเป็นสมาชิกขององค์กรยุวชนฮิตเลอร์ ซึ่งมีการปลูกฝังความคิดแบบในอุดมคติของพรรคนาซีอย่างเข้มข้นให้แก่เยาวชนที่เข้าร่วมองค์กรนี้
แรกเริ่มเป็นเพียงความสมัครใจในการสมัครเข้า แต่เมื่อไม่นานมานี้ ถือเป็นการบังคับตามกฎหมาย ที่ถ้าหากผู้ปกครองคนไหนแสดงท่าทีไม่เห็นด้วย หรือหลีกเลี่ยงไม่ให้บุตรหลานของตัวเองเข้าร่วมกับสององค์กรนี้ จะถือว่ามีความผิดตามกฎหมาย และเป็นปรปักษ์ต่อระบอบการปกครองตามแนวทางของพรรคนาซี
ซึ่งโดยส่วนมากผู้ปกครองก็มักจะให้ลูกหลานของตัวเองเข้าร่วมด้วยความยินดี แต่กับครอบครัวฮอฟมันแล้วนั้น หากยาคอปอายุครบตามเกณฑ์เมื่อไหร่ พวกเขาจำใจที่จะต้องปล่อยให้ลูกชายเพียงคนเข้าร่วมกับองค์กรนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้
เพราะหากพวกเขาแสดงท่าทีขัดขืนหรือเป็นปรปักษ์แม้แต่นิดเดียว สองสามีภรรยาสกุลฮอฟมันรู้ดีว่ามันหมายถึงหายนะที่จะเกิดกับครอบครัวของพวกเขา โดยที่ไม่มีทางหนีพ้นได้เลย
เฟลิเซียที่ค่อนข้างที่จะเป็นกังวลในการที่ยาคอปจะเข้าร่วมกับองค์กรยุวชนฮิตเลอร์ในอนาคต เธอกลัวว่ามันจะทำให้ลูกชายของเธอมีความคิดบิดเบี้ยวจนไม่อาจจะกู่กลับมาให้เป็นปกติได้
โทมัสทำได้แต่พูดปลอบใจผู้เป็นภรรยา และพยายามบอกกับเธอว่า
“บางทีในความบิดเบี้ยวของสังคมแบบนี้ มันก็อาจจะทำให้ตัวของยาคอปมีอนาคตที่ดีก็ได้นะ”
เนื่องจากลูกชายของพวกเขาค่อนข้างจะหัวดี และมีภาวะความเป็นผู้นำสูง บางทีในอนาคตอาจจะได้รับเลือกให้เข้าไปเรียนในโรงเรียนอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler Schule-AHS) และนั่นหมายถึงการที่อนาคตของยาคอปจะได้ดิบได้ดีอย่างแน่นอน
และแม้ว่าโทมัสจะพูดแบบนั้น แต่ทุกครั้งตัวของเขากับเฟลิเซียก็จะทำได้แค่เพียงถอนหายใจยาวๆ ออกมาพร้อมๆ กัน เพราะการที่ได้เข้าไปเรียนในโรงเรียนดังกล่าว นั่นหมายถึง ความคิดของลูกชายของพวกเขาจะบิดเบี้ยวจนเกินเยียวยาแล้วอย่างแน่นอน
.
เดือนเมษายน ปีคริสต์ศักราช 1937
“แม่ฮะ! สัปดาห์หน้าที่จะถึงนี้ โรงเรียนของผมจะพาไปเข้าค่ายทำกิจกรรมที่เมืองโคโลญ ผมขอไปได้ไหมฮะ?”
ในระหว่างที่ครอบคัวฮอฟมันกำลังทานมื้อค่ำกันตามปกติอยู่นั้น ยาคอปก็ได้พูดขออนุญาตไปทำกิจกรรมกับองค์กรที่เขาเป็นสมาชิกอยู่
“…”
เฟลิเซียชะงักไปเล็กน้อย พลางทำสีหน้าลำบากใจ เพราะตัวของยาคอปอายุยังน้อย เธอจึงกังวลว่ายาคอปจะช่วยเหลือตัวเองได้ดีพอหรือเปล่า หากต้องไปไกลจากตัวของเธอ
และที่สำคัญ เธอไม่อยากให้ยาคอปเข้าไปพัวพันกับอุดมการณ์อันบิดเบี้ยวแบบนั้นมากเท่าไหร่นัก
“คุณครูบอกว่ามันเป็นค่ายที่ใหญ่มากเลยนะฮะ มีเพื่อนจากหลายโรงเรียน และมีเจ้าหน้าที่จากพรรคนาซีมาอบรมเองเลยนะฮะแม่”
ยาคอปพูดพลางอ้ามือออกกว้างๆ ตามประสาของเด็กน้อยที่พยายามโน้มน้าวผู้เป็นแม่ให้เห็นดีเห็นงามด้วย
“…”
เฟลิเซียหันไปหาโทมัส ราวกับกำลังมองหาความช่วยเหลือและขอความเห็นจากเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้
โทมัสวางมีดกับส้อมลงบนจาน ผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะใช้ผ้าเช็ดปากและพูดออกมาเกี่ยวกับเรื่องนี้
“เอาสิลูก พ่ออนุญาต หาเพื่อนจากค่ายนี้ให้ได้เยอะๆ เลยนะ”
โทมัสพูดอนุญาตให้ลูกชายไปเข้าค่ายอบรมในครั้งนี้ได้
“เย้!! ขอบคุณฮะ คุณพ่อ!”
ยาคอปแสดงท่าทีตื่นเต้นและลิงโลด เมื่อได้รับคำอนุญาตจากผู้เป็นพ่อให้ไปทำกิจกรรมที่เขามองว่ามันเป็นสิ่งที่ดีงาม
และเมื่อสามีของเธอว่ามาแบบนั้นแล้ว เฟลิเซียก็คงไม่สามารถขัดขวางอะไรได้ เธอจึงหันมาพูดกับลูกชายตัวเอง
“โอเคจ้ะ! แล้วลูกไปกี่วัน? แม่จะได้เตรียมเสื้อผ้าให้ถูก”
“3 วัน 2 คืนฮะ!!”
ยาคอปตอบคำถามของเฟลิเซีย
“สัญญากับแม่ก่อนนะ ว่าจะไม่ทำตัวเหลวแหลกเป็นภาระคนอื่น และตั้งใจทำกิจกรรม”
เฟลิเซียพูดถึงข้อแม้ของตัวเอง
“ได้ฮะ!”
ยาคอปดีใจมาก ในตอนนี้อะไรเขาก็ยอมทำเพื่อที่จะให้ได้ไปเข้าค่ายอบรมในครั้งนี้
“โอเคจ้ะ! ทีนี้ก็เก็บจานแล้วไปทำการบ้านได้แล้วนะ พรุ่งนี้ลูกยังต้องไปโรงเรียนอยู่ไม่ใช่เหรอ?”
เฟลิเซียพูดกับลูกชายของตัวเอง
“ได้ฮะ!”
ยาคอปหยิบจานและกระโดดลงจากเก้าอี้ หลังจากนั้นเด็กน้อยก็เดินเตาะแตะขึ้นไปบนบันไดขนาดเล็กในห้องครัว เพื่อเอาจานไปวางไว้ในอ่างล้างจาน ก่อนที่จะวิ่งขึ้นไปบนห้องของตัวเองอย่างร่าเริง
“…”
โทมัสยังคงนิ่งเงียบไม่พูดอะไรออกมา ราวกับว่าเขากำลังใช้ความคิดอย่างหนักอยู่
“คุณคิดว่าอนาคตของย็อค (Joc-ชื่อเล่นของยาคอป) จะไปในทิศทางไหนกันคะ?”
เฟลิเซียรินกาแฟให้กับผู้เป็นสามีพร้อมกับถามเขาในเรื่องที่เธอเป็นกังวลอยู่ ณ ตอนนี้
“ไม่รู้สิ…ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ผมมักจะพูดอยู่เสมอว่าเขาอาจจะได้เข้าเรียนที่ AHS เมื่อตอนที่โตขึ้น แต่ถ้ามันแลกมากับชุดความคิดของเขาที่จะต้องบิดเบี้ยวไปตลอดชีวิต ผมเองก็ไม่สามารถยอมรับให้มันเกิดขึ้นได้หรอกนะ เฟลิเซีย”
โทมัสถอนหายใจ พร้อมกับระบายความในใจของตัวเองออกมา
“ฉันจะพยายามสอนในสิ่งที่ถูกต้องให้เขานะคะ แต่ไม่รู้มันจะช่วยได้มากน้อยแค่ไหนเหมือนกัน”
เฟลิเซียพูดกับโทมัส
เธอจำเป็นที่จะต้องสอนในสิ่งที่ถูกต้องให้กับลูกชายของตัวเอง ทั้งนี้ก็เพื่อตัวของเขาเอง และในฐานะคุณครู เฟลิเซียรู้สึกสงสารเด็กน้อยคนอื่นๆ ที่อยู่ในวัยรุ่นราวคราวเดียวกับลูกชายของตน ที่อาจจะมีพ่อแม่ที่มีความคิดแบบสุดโต่งในแบบที่พรรคนาซีต้องการ
หญิงสาวรู้ว่าเธอไม่อาจจะช่วยเหลือเด็กๆ ทุกคนรอบตัวได้ ถ้าหากพรรคนาซียังคงครองอำนาจ และปกครองทุกอย่างในเยอรมนีด้วยความหวาดกลัว
เพราะถ้าหากเธอผลีผลามสอนสิ่งที่ถูกต้อง แต่มันถูกมองว่าเป็นปรปักษ์กับระบอบการปกครองของพรรคนาซี ตัวของเธอมีโอกาสที่จะถูกหน่วยตำรวจลับเกสตาโป (Gestapo) ของพรรคนาซีอุ้มหายไปโดยไร้ร่องรอย
“คุณเองก็ระวังย็อคไปแจ้งหน่วยเกสตาโปด้วยล่ะ”
โทมัสเตือนเฟลิเซีย
เพราะมีหลายกรณีที่ผู้ปกครองบางคนสอนในสิ่งที่ถูกต้องให้ แต่กลับถูกบุตรหลานของตัวเองนำเรื่องดังกล่าวไปแจ้งแก่พวกเกสตาโป จนถูกเรียกเข้าไปพบ หรือถูกส่งเข้าไปนอนในคุกเลยก็มี
ถ้าหากเฟลิเซียต้องเป็นแบบนั้น ตัวของโทมัสเองก็คงจะต้องลำบากไปด้วยอย่างแน่นอน เนื่องจากมันจะกระทบต่อตำแหน่งหน้าที่การงานในกองทัพของเขา
และท้ายที่สุด มันคงจะจบลงด้วยหายนะของครอบครัวฮอฟมัน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งในสภาพสังคมแบบนี้ นั่นอาจจะเป็นจุดจบของพวกเขาก็เป็นได้
“ฉันจะระวังนะคะ…ว่าแต่น้องชายสองคนของคุณเป็นยังไงบ้างคะ? เห็นมาอวดฉันตอนคริสต์มาสว่าได้เข้าร่วมกับหน่วยชุทซ์ชตัฟเฟิลนี่คะ พอจะได้ข่าวคราวเพิ่มเติมไหมคะ?”
เฟลิเซียถามโทมัส
“หือ? แวร์เนอร์ น่ะเหรอ? เจ้าบ้านั่นไปสมัครเข้าร่วมกับพวกชุทซ์ชตัฟเฟิล เมื่อต้นปีที่แล้ว (1936) และได้รับการบรรจุเข้าไปในกองพลยานเกราะเอสเอสที่ 1 ‘ไลบ์ชตันดาร์เทอร์ เอสเอส อดอล์ฟ ฮิตเลอร์’ (1.SS Panzer Division Leibstandarte SS Adolf Hitler) เมื่อช่วงต้นปีนี้ (1937) นี่เอง”
โทมัสพูดถึงเรื่องน้องชายคนแรกอย่าง แวร์เนอร์ ฮอฟมัน
ในตอนที่เขารู้ว่าน้องชายจะเข้าร่วมกับองค์กรชุทซ์ชตัฟเฟิล ตัวของโทมัสถึงกับเลือดขึ้นหน้าโกรธจัด เพราะตัวของเขาค่อนข้างที่จะถือเรื่องประเพณีนิยมแบบทหารปรัสเซียแต่ครั้งก่อนเก่า
การที่จะสมัครเข้าร่วมกองกำลังชุทซ์ชตัฟเฟิลแบบนี้ ถือเป็นการลดเกียรติของทหารของกองทัพเยอรมัน และเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้อย่างเด็ดขาดสำหรับครอบครัวฮอฟมันที่สืบเชื้อสายทหารมาแต่โบราณ
แต่ความบาดหมางนั้นก็ถูกแม่ของพวกเขา ฟรีดา ฮอฟมัน เข้ามาบรรเทา จนบรรยากาศภายในครอบครัวนั้นคลายความตึงเครียดลง และโทมัสก็ปล่อยให้แวร์เนอร์ทำตามที่ตัวเองอยากทำ
จนกระทั่งเขาได้รับการบรรจุลงในกองพลยานเกราะที่เป็นเหมือนกับองครักษ์ของฮิตเลอร์เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา
“แล้ว กึนเทอร์ ล่ะคะ? เท่าที่ฉันรู้ล่าสุด ตอนที่เจอกันเมื่อคริสต์มาสปีที่แล้ว เหมือนว่าจะบอกฉันว่าจะไปรับการคัดเลือกไปร่วมกับกองกำลังบางอย่างด้วยนี่คะ…”
เฟลิเซียพูดพลางนึกถึงน้องชายคนที่สองของโทมัส กึนเทอร์ ฮอฟมัน ที่พอช่วงคริสต์มาส เวลาพวกเขาเดินทางกลับไปบ้านของโทมัสที่แฟรงก์เฟิร์ต
กึนเทอร์มักจะมาพร้อมของขวัญชิ้นโตที่จะมอบให้กับหลานชายอย่างยาคอปอยู่เสมอ และเป็นคนที่สนิทกับยาคอปมากที่สุดอีกด้วย
“กึนเทอร์น่ะเหรอ เขาได้รับการคัดเลือกให้เป็นหน่วยเกสตาโปประจำสำนักงานใหญ่ของเกสตาโปที่กรุงเบอร์ลินนะ เขาเขียนจดหมายมาหาผมอยู่เมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง”
โทมัสพูดพร้อมกับยกกาแฟดื่ม
“ตายจริง…”
เฟลิเซียอุทานออกมาด้วยความตกใจ เพราะน้องชายของโทมัสที่ดูท่าทางใจดีคนนั้น ดันกลายไปเป็นหนึ่งในสมาชิกของกองกำลังที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดของพรรคนาซีเสียอย่างนั้น
“ผมล่ะกังวลจริงๆ เลยนะที่รัก”
โทมัสพูดออกมา พร้อมกับถอนหายใจหนักๆ ทีหนึ่ง
“ทำไมเหรอคะ?”
เฟลิเซียเอียงคอถามผู้เป็นสามีพร้อมกับกุมมือของเขาเอาไว้
“กองพันของผมถูกสั่งให้เตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอน่ะสิ…คุณก็รู้ว่าเมื่อช่วงมีนาคมปีที่แล้ว (1936) หน่วยของโยฮันพึ่งได้รับคำสั่งให้รุกเข้าไปในเขตไรน์แลนด์ (การยึดครองไรน์แลนด์-มีนาคม 1936) ที่พวกเราเคยทำข้อตกลงกับพวกสัมพันธมิตรในมหาสงครามเอาไว้…ผมกังวลว่าฮิตเลอร์จะนำภัยสงครามมาสู่เยอรมนีอีกครั้งน่ะสิ”
โทมัสระบายความในใจของตัวเองออกมา
เยอรมนีบอบช้ำจากมหาสงครามมามากพอแล้ว พอประเทศกำลังจะพลิกฟื้นตัว ก็ดันปรากฏกลุ่มคนที่มีหัวรุนแรงนิยมในการเหยียดเชื้อชาติขึ้นมากุมอำนาจเสียอย่างนั้น
แม้จะไม่ชอบใจ แต่โทมัสก็ยอมรับว่าเศรษฐกิจของประเทศดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมากโข ผู้คนที่ตกงานหลายคนเริ่มมีงานทำเป็นหลักเป็นแหล่งมากขึ้น โดยเฉพาะเหล่าทหารอาชีพที่ได้ยศและตำแหน่งของตัวเองคืนกลับมา
แต่ข้อเสียร้ายแรงคือชาวเยอรมันเชื้อสายยิวที่น่าสงสารนั้นกลับถูกเลือกปฏิบัติ ถูกไล่ออกจากงานที่ทำ ถูกริบหรือทำลายทรัพย์สิน และถูกเหยียดหยามเพียงเพราะเชื้อชาติตัวเองแตกต่างจากคนอื่นๆ
ทั้งๆ ที่ในมหาสงครามครั้งแรกนั้น พวกเขาเองก็รับใช้ชาติและสละชีพอย่างสมเกียรติเคียงคู่กับชาวเยอรมันคนอื่นๆ ในสนามรบแท้ๆ
มันไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย…
“ไม่เป็นไรนะคะคุณ…บางทีคุณอาจจะคิดมากไปเองก็ได้นะคะ”
เฟลิเซียปลอบโยนผู้เป็นสามี
ใช่ว่าเธอจะไม่กลัว เธอเองก็กลัวเหมือนกับผู้เป็นสามี สงครามนั้นมีแต่ความโหดร้ายและการฆ่าฟันอันไร้ที่สิ้นสุด
แม้แต่ผู้เป็นพ่อของเฟลิเซีย อดัมส์ วัลเทอร์ ทหารผ่านศึกที่มากประสบการณ์ของกองพันทหารภูเขาวือร์ตเต็มแบร์กในมหาสงคราม เขายังต้องสูญเสียขาทั้งสองข้างไปในการรบครั้งนั้น
เขาจึงพยายามพร่ำสอนเธออยู่เสมอถึงความสูญเสียและความโหดร้ายของสงคราม
จนทำให้เฟลิเซียตัดสินใจที่จะเป็นครูสอนวิชาประวัติศาสตร์ เพื่อสั่งสอนเหล่าเยาวชนทั้งหลายให้ตระหนักถึงความสูญเสียและความโหดร้ายของสงคราม
แต่ทุกอย่างที่เธอฝันเอาไว้ก็พังทลายลงในช่วงเวลาไม่กี่ปี เมื่อพรรคนาซีก้าวขึ้นมามีอำนาจเหนือเยอรมนี…
“ผมหวังว่ามันจะเป็นแบบนั้นนะ…ถ้าเกิดสงครามขึ้นมาจริงๆ ผมไม่เคยกลัวเลยที่จะก้าวเท้าเข้าร่วมมัน หากมันเป็นไปเพื่อการปกป้องประเทศ แต่ถ้าหากมันเป็นสงครามเพื่อการรุกรานประเทศอื่นล่ะ ผมจะรู้สึกยินดีกับมันจริงๆ เหรอ? แล้วถ้าหากว่าผมตายในสงครามล่ะ คุณกับลูกจะอยู่ยังไง?”
โทมัสถอนหายใจยาวๆ ออกมา
ถ้าเกิดว่าสงครามมันปะทุขึ้นมาจริงๆ เขาไม่เคยเกรงกลัวที่จะกระโจนเข้าร่วมในสนามรบ แต่สิ่งที่เขากังวลคือ หากเขาพลาดท่าถูกสังหารในสนามรบ เฟลิเซียกับยาคอปจะใช้ชีวิตอยู่ยังไง
โทมัสเข้าใจถึงความเจ็บปวดที่ต้องสูญเสียคนที่รักไปจากผลพวงของสงครามดี เพราะคุณอาของเขา อาเธอร์ ฮอฟมัน ก็โดนพวกฝรั่งเศสสังหารในมหาสงครามในสมรภูมิตะวันตก ทิ้งให้ครอบครัวของพวกเขาต้องโศกเศร้าเสียใจเอาไว้เบื้องหลัง
มันน่าเศร้าตรงที่ว่า แม้แต่ศพของอาเธอร์ก็ไม่ได้หวนกลับมาให้ครอบครัวฮอฟมันได้ฝังหรือทำพิธีศพตามประเพณีเลยด้วยซ้ำ
เพราะอย่างนั้นแล้ว โทมัสจึงกังวลเป็นอย่างมาก หากว่าเกิดสงครามขึ้นมาจริงๆ
“ไม่เป็นอะไรนะคะคุณ ถ้ามีการผลัดเปลี่ยนรัฐบาล ทุกอย่างน่าจะดีขึ้นนะคะ”
เฟลิเซียพูดปลอบใจผู้เป็นสามี
“ผมหวังว่ามันจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้นะ ยิ่งเร็วได้ยิ่งดีเลย…ภาวนาต่อพระเจ้าเลยล่ะ…”
โทมัสพูดพลางกุมมือภรรยาสุดที่รักของตัวเองเอาไว้
“ท่านต้องรับฟังเราอย่างแน่นอนค่ะ”
เฟลิเซียเชื่อแบบนั้น เพราะมันเป็นเพียงหนทางเดียวที่เธอจะทำได้ในช่วงเวลาที่ดำมืดเช่นนี้
ในระหว่างที่สองสามีภรรยาฮอฟมันกำลังเป็นกังวลถึงอนาคตทั้งของลูกชายของตัวเอง และประเทศชาติอยู่นั้น
บุคคลที่ดูจะไม่ได้รับรู้เรื่องราวรอบตัวและความกังวลใจนี้เลยอย่าง ยาคอป ลูกชายของพวกเขาที่นั่งอยู่ในห้องของตัวเองที่ชั้นสองของบ้าน
เด็กน้อยกำลังนั่งทำการบ้านพร้อมกับจินตนาการถึงความสนุกที่จะได้รับจากการไปเข้าค่ายอบรมที่จะมาถึงในไม่ช้านี้เพียงเท่านั้น