ในสภาวะที่สงครามปะทุเช่นนี้ สถานการณ์ภายในประเทศเยอรมนีภายใต้การกำกับของพรรคนาซีนั้นยังคงเป็นปกติเหมือนแบบที่เคยเป็นมานับตั้งแต่พวกเขาขึ้นมาสู่อำนาจ
จะมีก็เพียงแต่อาหารการกินที่จำกัดจำเขี่ยมากขึ้น ทางรัฐบาลป่าวประกาศแก่ประชาชนทุกคนภายในประเทศว่าจำเป็นที่จะต้องเสียสละเพื่อทหารที่ทำการรบอยู่ในแนวหน้า
ตั๋วอาหารของสองแม่ลูกครอบครัวฮอฟมันนั้นดูจะดีกว่าคนทั่วไปอยู่นิดหน่อย เนื่องจากพวกเขาเป็นครอบครัวของนายทหาร
เฟลิเซียมักจะซื้ออาหารกระป๋องมาตุนเอาไว้ เป็นการล่วงหน้า เพราะหลายครั้งเหลือเกินที่อาหารบางอย่างนั้นขาดตลาด จนบางทีกว่าจะหาได้ก็ล่วงเลยเวลาเข้าไปนานเป็นสัปดาห์
แม้ว่างานหลักของเธออย่างการเป็นครูในโรงเรียนละแวกบ้านจะหนักเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่เธอก็ยังต้องแบ่งเวลามาจัดการสิ่งต่างๆ ภายในบ้านให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็นการกวาดหรือถูบ้าน การจ่ายตลาด การทำอาหารเลี้ยงลูกชาย หรืองานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
ทั้งนี้เป็นเพราะค่านิยมของพรรคนาซีที่ปลูกฝังและกำหนดแนวทางว่าผู้หญิงทุกคนจะต้องทำหน้าที่ภายในบ้านและคอยสนับสนุนผู้ชายที่ทำการรบอยู่ในสนามรบแนวหน้า
.
ส่วนทางด้านโทมัสที่ปฏิบัติภารกิจรักษาการณ์พื้นที่ยึดครองอยู่ในเนเธอร์แลนด์นั้น หน่วยของเขาต้องเผชิญกับการต่อต้านจากกองกำลังใต้ดินที่คอยซ่องสุมกำลังเข้าโจมตียุทโธปกรณ์และยุทธภัณฑ์ต่างๆ ของกองทัพ
นับตั้งแต่เดินทางมาประจำการที่เนเธอร์แลนด์ หน่วยของโทมัสสูญเสียทหารไปหลายนายจากการปะทะ 3 ครั้ง
“ท่านครับ วันนี้เขตเมืองทางทิศตะวันตกมีการวางระเบิดโกดังที่เก็บยุทธปัจจัยครับท่าน”
สิบเอกชิลเลอร์รายงานให้โทมัสฟัง ในขณะที่เขากำลังโกนหนวด
“มีความสูญเสียอะไรบ้างไหม?”
โทมัสถาม
“มีทหารสองนายเสียชีวิตจากการถูกลูกหลงจากระเบิดครับ ส่วนอีกสี่นายได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการปะทะกับกลุ่มต่อต้านครับ”
ชิลเลอร์รายงานให้โทมัสฟัง
“จับพวกกลุ่มต่อต้านได้ไหม?”
โทมัสถามในขณะที่จุ่มมีดโกนลงในน้ำอุ่น
“จับได้สองคนครับ ทั้งคู่เป็นคนในพื้นที่ครับ”
ชิลเลอร์เปิดกระดาษอ่านรายงานให้โทมัสฟัง
“เข้าใจแล้ว ฉันจะไปรายงานผู้พันเอง ฉันเดาว่าผู้พันชตีเฟ่นน่าจะมีเรื่องที่อยากคุยกับเจ้าพวกนี้เยอะเลยล่ะ...เดี๋ยวช่วงสายฉันจะออกไปตรวจดูที่เกิดเหตุสักหน่อย ไปเตรียมตัวด้วยล่ะ”
โทมัสพูด
ถึงแม้ภายนอกโทมัสจะดูใจดีและอ่อนโยน แต่นั่นสำหรับคนที่เป็นมิตรกับเขาเท่านั้น หากตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขาแล้วละก็...แม้แต่ความปรานีเขาก็จะไม่มีให้แม้แต่นิดเดียว
กรณีกับกลุ่มต่อต้านพวกนี้ก็เช่นกัน ในเมื่อพวกเขาหันคมเขี้ยวใส่ โทมัสก็ไม่ลังเลที่จะโต้ตอบกลับไปอย่างรุนแรงเช่นกัน
ท้ายที่สุดแล้ว โทมัสนั้นรู้ดีว่าปลายสุดทางของพวกกลุ่มต่อต้านนี้จะไปสิ้นสุดลงที่ไหน หากไม่โดนจับแขวนคอ ก็คงจะถูกยิงเป้าต่อหน้าประชาชนในพื้นที่เป็นแน่
“ทราบแล้วครับท่าน”
ชิลเลอร์วันทยหัตถ์รับทราบคำสั่ง ก่อนที่จะเดินออกไปจากที่พักของโทมัส
‘สงครามบ้านี่เมื่อไหร่จะจบลงนะ...’
โทมัสคิดในใจ พลางใช้ผ้าเช็ดคราบสกปรกที่เหลืออยู่บนใบหน้า
ในช่วงสาย โทมัสออกไปยังโกดังที่ถูกลอบวางระเบิดเพื่อตรวจดูความเสียหาย หลังจากนั้นจึงออกไปเดินตรวจตราความเรียบร้อยในตัวเมืองร่วมกับทหารในบังคับบัญชาตามปกติ
ในระหว่างที่เดินตรวจตราอยู่นั้น โทมัสได้แวะซื้อโปสต์การ์ดสองอันที่ร้านประจำ เพื่อที่เขาจะได้ส่งกลับไปให้ภรรยาและลูกชายที่เยอรมนี
เนื้อหาส่วนมากที่เขาเขียนส่งไปนั้นจะเป็นการบอกให้ลูกชายหาเพื่อนให้ได้เยอะๆ เสียมากกว่าที่จะบอกเล่าเรื่องราวของที่นี่ เพราะเขาไม่อยากให้ลูกชายต้องมารับรู้ถึงความโหดร้ายของสงคราม
และอีกอย่างหนึ่งคือโทมัสกลัวว่ามันจะเป็นการทำให้ลูกชายของเขาเตลิดไปไกลกว่าเดิมจนกู่ไม่กลับ
พอโทมัสกลับมาถึงที่ตั้งของหน่วย ทหารในบังคับบัญชาของเขาก็ได้นำจดหมายมาให้กับโทมัส หน้าซองระบุว่ามาจากเฟลิเซีย ภรรยาของเขานั่นเอง
โทมัสเปิดอ่านมันด้วยความดีใจ เพราะการเขียนจดหมายถือเป็นการบรรเทาความคิดถึงบ้านและคนที่อยู่ที่บ้านของโทมัสได้เป็นอย่างดี อีกอย่างหนึ่งคือมันทำให้เขาทราบถึงความเป็นไปของลูกชายผ่านการโต้ตอบกันทางจดหมายระหว่างตัวเขากับภรรยา
เฟลิเซียบอกกับโทมัสผ่านทางจดหมายว่าตัวของยาคอปนั้นค่อนข้างจะเข้าได้ดีกับเพื่อนทุกคนในห้องเรียน ด้วยเหตุที่เขามีวุฒิภาวะที่เป็นผู้นำสูงกว่าคนอื่นๆ นั่นทำให้เขากลายเป็นที่รักของคุณครูและเพื่อนๆ ทุกคน
เมื่อโทมัสได้อ่านจดหมายจากภรรยาก็เบาใจไปเปลาะหนึ่ง แต่สิ่งที่เขากังวลคือ ก่อนที่เขาจะจากบ้านมา ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเขานั้นมีความคิดที่ดูจะสุดโต่งจนเกินไป และดูเหมือนว่าจะไม่มีทางเยียวยามันได้เลย
โทมัสทำได้แค่เฝ้าภาวนาว่า สักวันหนึ่งในอนาคตหลังจากที่พรรคนาซีลงจากอำนาจไปแล้ว ลูกชายของเขาจะกลับมามีแนวคิดในแบบที่คนปกติเป็นกัน
นายทหารหนุ่มนั่งหมุนปากกาสักพัก ก่อนจะเริ่มเขียนจดหมายตอบกลับภรรยาของเขา
“ถึงเฟลิเซีย,
ที่นี่ค่อนข้างสงบเลยล่ะ แม้จะไม่เต็มร้อย แต่มันก็เรียกได้ว่าสงบกว่าพื้นที่อื่นๆ ที่กองทัพอยู่ล่ะนะ ผมและลูกน้องปลอดภัยดีไม่ต้องกังวล ที่ผมกลัวมีแค่อย่างเดียวคือ อาหารที่นี่อร่อยไม่เท่าฝีมือของคุณเท่านั้นเอง ผมน่าจะได้กลับบ้านกลางปีหน้านู่นเลย รักษาตัวดีๆ นะ ฝากบอกย็อคด้วยว่าผมคิดถึงเขามาก
ด้วยรัก
โทมัส”
พอเขียนจบ เขาก็ปิดผนึกจดหมาย เขียนที่อยู่ปลายทางบนซองจดหมาย ก่อนจะส่งให้ชิลเลอร์ที่บังเอิญเดินผ่านมาพอดี
“ชิลเลอร์ ฝากส่งจดหมายนี้ให้ผมหน่อย”
โทมัสยื่นจดหมายให้ชิลเลอร์
“ทราบแล้วครับท่าน”
ชิลเลอร์วันทยหัตถ์ ก่อนจะรับจดหมายไป
‘หวังว่าพวกคุณคงจะสบายดีกันนะ’
โทมัสคิดถึงภรรยาและลูกอยู่ในใจ
.
ส่วนทางด้านยาคอปนั้น เขากำลังจะอายุครบ 10 ปีในเดือนหน้า แต่เนื่องจากอยู่ในสภาวะของสงคราม นั่นทำให้เขาไม่สามารถไปที่บ้านของปู่กับย่าได้ และคุณอาทั้งสองของเขาเองก็ไม่ว่างเนื่องจากติดภารกิจส่วนตัว
ส่วนเรื่องที่โรงเรียนนั้น มิฮาอิลนำเรื่องที่เขาคิดว่าน่าภาคภูมิใจมาอวดเพื่อนๆ ทั้งสองคนอย่างยาคอปกับอัลเฟรด
“นี่พวกนายรู้ไหม พี่ชายของฉันกำลังจะได้ไปรบในแอฟริกาเหนือด้วยล่ะ!!”
มิฮาอิลพูดขึ้นในระหว่างที่ทานอาหารกลางวันกันอยู่
“จริงเหรอ? น่าอิจฉาจังเลย!!”
อัลเฟรดพูดขึ้น เขารู้สึกอิจฉาจากก้นบึ้งของหัวใจ เพราะพ่อของเขาเป็นเพียงช่างไม้ และเขาไม่มีพี่ชาย มีเพียงพี่สาวคนหนึ่ง ซึ่งตอนนี้เธอทำงานเป็นคุณครูในโรงเรียนเดียวกับแม่ของยาคอป
“ใช่ไหมล่ะ! พี่ชายของฉันน่ะ กำลังจะได้ไปรบภายใต้การบังคับบัญชาของพลเอกอาวุโสรอมเมิลเชียวนะ!!”
มิฮาอิลพูดด้วยความภาคภูมิใจ
มีใครในเยอรมนีตอนนี้ไม่รู้จักพลเอกอาวุโสรอมเมิลบ้าง? ท่านเป็นนายทหารที่เท่และน่าภาคภูมิใจของกองทัพเยอรมัน ท่านมอบความปราชัยให้แก่กองทัพข้าศึกหลายต่อหลายครั้งในหลายสมรภูมิ
การได้ไปรบในหน่วยหรือภายใต้การบังคับบัญชาของท่านถือเป็นความภาคภูมิใจที่สุดของคนเยอรมันที่สมัครเป็นทหารแล้ว
“ส่วนพ่อของฉันไปรบในเนเธอร์แลนด์”
ยาคอปพูดอวดบ้าง
แต่เด็กน้อยไม่รู้เลยว่าพ่อเขากำลังรบกับอะไร เพราะทุกครั้งที่ถามผู้เป็นแม่ เธอมักจะปฏิเสธที่จะตอบคำถามเขาเสมอ ในบางครั้งแม้จะขอให้ผู้เป็นแม่เขียนจดหมายไปถามผู้เป็นพ่อ แต่เธอก็มักจะตอบกลับมาว่า
“มันเป็นความลับของกองทัพนะย็อค ลูกอยากทำให้พ่อเขาเดือดร้อนเหรอ? และแม่เคยบอกไปแล้วนะลูก ว่าสงครามไม่ใช่สิ่งที่น่าพิสมัย”
จนยาคอปไม่สามารถที่จะไปต่อได้ แม้ในบางครั้งเขาจะพยายามเขียนจดหมายไปหาผู้เป็นพ่อเองก็ตาม แต่เนื่องจากเขาไม่รู้ตำแหน่งปลายทางของจดหมาย เขาจึงไม่สามารถส่งพวกมันไปได้
ทั้งๆ ที่เขาอยากจะนำวีรกรรมของผู้เป็นพ่อมาป่าวประกาศให้ทุกคนรู้ว่าพ่อของเขานั้นเจ๋งแค่ไหน แต่ก็ไม่สามารถทำได้ดั่งใจนึก คงทำได้เพียงแต่ปรารถนาอยู่ในใจว่า
‘ถ้าเราโตขึ้น เราจะออกรบเหมือนกับพ่อของเรา เพื่อความรุ่งโรจน์ของเยอรมนีและเพื่อท่านผู้นำ’
เพราะยาคอปคิดว่าการเป็นทหารนั้นเท่ ดูน่าเคารพ และน่าเกรงขามที่สุด
“ทั้งสองคนน่าอิจฉาจังเลย...”
อัลเฟรดพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ
“ไม่เอาน่าอัลเฟรด พ่อของนายก็เท่เหมือนกันนั่นแหละ”
มิฮาอิลพยายามพูดปลอบเพื่อน
“ใช่ๆ ช่างไม้ก็เท่จะตาย ได้ทำงานเพื่อเยอรมนี ได้ก่อสร้างสิ่งต่างๆ ต่อจากนี้พ่อของนายคงรวยมากเลยล่ะ เมื่อเรายึดทั้งทวีปยุโรปได้แล้ว”
ยาคอปพูดกับเพื่อน
“อือ...ฉันอยากให้พ่อฉันเท่กว่านี้จัง”
อัลเฟรดพูดอย่างเศร้าสร้อย เพราะในความคิดของเขา ช่างไม้นั้นไม่เท่เอาเสียเลย วันๆ เอาแต่ขลุกตัวอยู่กับไม้และฝุ่นผงต่างๆ มีหน้าที่ไม่กี่อย่างที่พอจะทำมาหาเลี้ยงชีพได้
ช่างแตกต่างจากทหารและตำรวจเหมือนกับที่พ่อของเพื่อนๆ ทั้งสองคนเป็นอย่างลิบลับ
“ช่างเรื่องนั้นเถอะ ว่าแต่พวกนายทั้งสองคนทำการบ้านของคุณครูคริสตอฟหรือยัง?”
ยาคอปเปลี่ยนเรื่องคุยกับเพื่อนๆ
“เหวอ! ลืมซะสนิทเลย!!”
“ฉันด้วย แย่แล้ว!! คุณครูคริสตอฟดุแน่ๆ เลย!!”
มิฮาอิลและอัลเฟรดตะโกนเสียงหลงโดยพร้อมเพรียงกัน
“ให้มันได้อย่างนี้สิเพื่อนฉัน...”
ยาคอปบ่นพึมพำ เพราะตัวเขานั้นไม่เคยเกียจคร้านในด้านการเรียนเลย เพราะอย่างนั้นแล้วเขาจึงทำการบ้านเสร็จก่อนส่งในทุกๆ ครั้ง ผิดกับเพื่อนสนิททั้งสองคนของเขาที่มักจะถูกดุอยู่บ่อยครั้งเรื่องความสะเพร่า
.
ตกเย็นนั้น พอยาคอปกลับมาบ้านก็พบว่าแม่ของเขาได้ทำพายแอปเปิลของโปรดเอาไว้คอยท่า นั่นทำให้เด็กน้อยดีใจเป็นอย่างมาก แต่ตัวเขาก็รู้ดีว่าในวันรุ่งขึ้นจะต้องทานถั่วกระป๋องต้มกับขนมปังรสหยาบอย่างเลี่ยงไม่ได้
เพราะการจะทำพายแอปเปิลสักครั้งในตอนนี้ เป็นเรื่องที่ยุ่งยากและลำบากพอสมควร เนื่องจากจะต้องแลกกับตั๋วอาหารที่รัฐบาลแจกให้แทบจะทั้งสัปดาห์
“ไปล้างมือแล้วค่อยมาทานอาหารนะลูก”
เฟลิเซียพูดกับลูกชาย
“ฮะแม่!!”
ยาคอปรับคำ ก่อนจะวิ่งไปเก็บกระเป๋าที่ด้านบนบ้าน และไปจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย ก่อนจะเดินมาหยิบพายแอปเปิลทานอย่างเอร็ดอร่อย
ชีวิตประจำวันที่แสนเรียบง่ายนี้กำลังดำเนินไปอย่างไม่มีจุดหมายว่ามันจะจบลงเมื่อใด สองแม่ลูกใช้ชีวิตกันอย่างปกติสุขแบบที่ทำมาตั้งแต่ในอดีต ผู้เป็นพ่อแม้จะเผชิญกับการต่อต้านจากกองกำลังใต้ดิน แต่ก็ยังนับว่าสงบสุขกว่าพื้นที่อื่นๆ ที่กองทัพเยอรมันยึดครอง
สุดท้ายแล้ว ครอบครัวฮอฟมันก็กลับมาพร้อมหน้ากันอีกครั้ง เมื่อโทมัสเดินทางกลับบ้านในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 1941 ท่ามกลางข่าวลืออันหนาหูในกองทัพว่ากองทัพเยอรมันกำลังตระเตรียมการใหญ่อยู่