บทที่ 6: ชีวิตประจำวันของครอบครัวฮอฟมัน

2081 Words
ในสภาวะที่สงครามปะทุเช่นนี้ สถานการณ์ภายในประเทศเยอรมนีภายใต้การกำกับของพรรคนาซีนั้นยังคงเป็นปกติเหมือนแบบที่เคยเป็นมานับตั้งแต่พวกเขาขึ้นมาสู่อำนาจ จะมีก็เพียงแต่อาหารการกินที่จำกัดจำเขี่ยมากขึ้น ทางรัฐบาลป่าวประกาศแก่ประชาชนทุกคนภายในประเทศว่าจำเป็นที่จะต้องเสียสละเพื่อทหารที่ทำการรบอยู่ในแนวหน้า ตั๋วอาหารของสองแม่ลูกครอบครัวฮอฟมันนั้นดูจะดีกว่าคนทั่วไปอยู่นิดหน่อย เนื่องจากพวกเขาเป็นครอบครัวของนายทหาร เฟลิเซียมักจะซื้ออาหารกระป๋องมาตุนเอาไว้ เป็นการล่วงหน้า เพราะหลายครั้งเหลือเกินที่อาหารบางอย่างนั้นขาดตลาด จนบางทีกว่าจะหาได้ก็ล่วงเลยเวลาเข้าไปนานเป็นสัปดาห์ แม้ว่างานหลักของเธออย่างการเป็นครูในโรงเรียนละแวกบ้านจะหนักเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่เธอก็ยังต้องแบ่งเวลามาจัดการสิ่งต่างๆ ภายในบ้านให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็นการกวาดหรือถูบ้าน การจ่ายตลาด การทำอาหารเลี้ยงลูกชาย หรืองานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ทั้งนี้เป็นเพราะค่านิยมของพรรคนาซีที่ปลูกฝังและกำหนดแนวทางว่าผู้หญิงทุกคนจะต้องทำหน้าที่ภายในบ้านและคอยสนับสนุนผู้ชายที่ทำการรบอยู่ในสนามรบแนวหน้า . ส่วนทางด้านโทมัสที่ปฏิบัติภารกิจรักษาการณ์พื้นที่ยึดครองอยู่ในเนเธอร์แลนด์นั้น หน่วยของเขาต้องเผชิญกับการต่อต้านจากกองกำลังใต้ดินที่คอยซ่องสุมกำลังเข้าโจมตียุทโธปกรณ์และยุทธภัณฑ์ต่างๆ ของกองทัพ นับตั้งแต่เดินทางมาประจำการที่เนเธอร์แลนด์ หน่วยของโทมัสสูญเสียทหารไปหลายนายจากการปะทะ 3 ครั้ง “ท่านครับ วันนี้เขตเมืองทางทิศตะวันตกมีการวางระเบิดโกดังที่เก็บยุทธปัจจัยครับท่าน” สิบเอกชิลเลอร์รายงานให้โทมัสฟัง ในขณะที่เขากำลังโกนหนวด “มีความสูญเสียอะไรบ้างไหม?” โทมัสถาม “มีทหารสองนายเสียชีวิตจากการถูกลูกหลงจากระเบิดครับ ส่วนอีกสี่นายได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการปะทะกับกลุ่มต่อต้านครับ” ชิลเลอร์รายงานให้โทมัสฟัง “จับพวกกลุ่มต่อต้านได้ไหม?” โทมัสถามในขณะที่จุ่มมีดโกนลงในน้ำอุ่น “จับได้สองคนครับ ทั้งคู่เป็นคนในพื้นที่ครับ” ชิลเลอร์เปิดกระดาษอ่านรายงานให้โทมัสฟัง “เข้าใจแล้ว ฉันจะไปรายงานผู้พันเอง ฉันเดาว่าผู้พันชตีเฟ่นน่าจะมีเรื่องที่อยากคุยกับเจ้าพวกนี้เยอะเลยล่ะ...เดี๋ยวช่วงสายฉันจะออกไปตรวจดูที่เกิดเหตุสักหน่อย ไปเตรียมตัวด้วยล่ะ” โทมัสพูด ถึงแม้ภายนอกโทมัสจะดูใจดีและอ่อนโยน แต่นั่นสำหรับคนที่เป็นมิตรกับเขาเท่านั้น หากตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขาแล้วละก็...แม้แต่ความปรานีเขาก็จะไม่มีให้แม้แต่นิดเดียว กรณีกับกลุ่มต่อต้านพวกนี้ก็เช่นกัน ในเมื่อพวกเขาหันคมเขี้ยวใส่ โทมัสก็ไม่ลังเลที่จะโต้ตอบกลับไปอย่างรุนแรงเช่นกัน ท้ายที่สุดแล้ว โทมัสนั้นรู้ดีว่าปลายสุดทางของพวกกลุ่มต่อต้านนี้จะไปสิ้นสุดลงที่ไหน หากไม่โดนจับแขวนคอ ก็คงจะถูกยิงเป้าต่อหน้าประชาชนในพื้นที่เป็นแน่ “ทราบแล้วครับท่าน” ชิลเลอร์วันทยหัตถ์รับทราบคำสั่ง ก่อนที่จะเดินออกไปจากที่พักของโทมัส ‘สงครามบ้านี่เมื่อไหร่จะจบลงนะ...’ โทมัสคิดในใจ พลางใช้ผ้าเช็ดคราบสกปรกที่เหลืออยู่บนใบหน้า ในช่วงสาย โทมัสออกไปยังโกดังที่ถูกลอบวางระเบิดเพื่อตรวจดูความเสียหาย หลังจากนั้นจึงออกไปเดินตรวจตราความเรียบร้อยในตัวเมืองร่วมกับทหารในบังคับบัญชาตามปกติ ในระหว่างที่เดินตรวจตราอยู่นั้น โทมัสได้แวะซื้อโปสต์การ์ดสองอันที่ร้านประจำ เพื่อที่เขาจะได้ส่งกลับไปให้ภรรยาและลูกชายที่เยอรมนี เนื้อหาส่วนมากที่เขาเขียนส่งไปนั้นจะเป็นการบอกให้ลูกชายหาเพื่อนให้ได้เยอะๆ เสียมากกว่าที่จะบอกเล่าเรื่องราวของที่นี่ เพราะเขาไม่อยากให้ลูกชายต้องมารับรู้ถึงความโหดร้ายของสงคราม และอีกอย่างหนึ่งคือโทมัสกลัวว่ามันจะเป็นการทำให้ลูกชายของเขาเตลิดไปไกลกว่าเดิมจนกู่ไม่กลับ พอโทมัสกลับมาถึงที่ตั้งของหน่วย ทหารในบังคับบัญชาของเขาก็ได้นำจดหมายมาให้กับโทมัส หน้าซองระบุว่ามาจากเฟลิเซีย ภรรยาของเขานั่นเอง โทมัสเปิดอ่านมันด้วยความดีใจ เพราะการเขียนจดหมายถือเป็นการบรรเทาความคิดถึงบ้านและคนที่อยู่ที่บ้านของโทมัสได้เป็นอย่างดี อีกอย่างหนึ่งคือมันทำให้เขาทราบถึงความเป็นไปของลูกชายผ่านการโต้ตอบกันทางจดหมายระหว่างตัวเขากับภรรยา เฟลิเซียบอกกับโทมัสผ่านทางจดหมายว่าตัวของยาคอปนั้นค่อนข้างจะเข้าได้ดีกับเพื่อนทุกคนในห้องเรียน ด้วยเหตุที่เขามีวุฒิภาวะที่เป็นผู้นำสูงกว่าคนอื่นๆ นั่นทำให้เขากลายเป็นที่รักของคุณครูและเพื่อนๆ ทุกคน เมื่อโทมัสได้อ่านจดหมายจากภรรยาก็เบาใจไปเปลาะหนึ่ง แต่สิ่งที่เขากังวลคือ ก่อนที่เขาจะจากบ้านมา ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเขานั้นมีความคิดที่ดูจะสุดโต่งจนเกินไป และดูเหมือนว่าจะไม่มีทางเยียวยามันได้เลย โทมัสทำได้แค่เฝ้าภาวนาว่า สักวันหนึ่งในอนาคตหลังจากที่พรรคนาซีลงจากอำนาจไปแล้ว ลูกชายของเขาจะกลับมามีแนวคิดในแบบที่คนปกติเป็นกัน นายทหารหนุ่มนั่งหมุนปากกาสักพัก ก่อนจะเริ่มเขียนจดหมายตอบกลับภรรยาของเขา “ถึงเฟลิเซีย, ที่นี่ค่อนข้างสงบเลยล่ะ แม้จะไม่เต็มร้อย แต่มันก็เรียกได้ว่าสงบกว่าพื้นที่อื่นๆ ที่กองทัพอยู่ล่ะนะ ผมและลูกน้องปลอดภัยดีไม่ต้องกังวล ที่ผมกลัวมีแค่อย่างเดียวคือ อาหารที่นี่อร่อยไม่เท่าฝีมือของคุณเท่านั้นเอง ผมน่าจะได้กลับบ้านกลางปีหน้านู่นเลย รักษาตัวดีๆ นะ ฝากบอกย็อคด้วยว่าผมคิดถึงเขามาก ด้วยรัก โทมัส” พอเขียนจบ เขาก็ปิดผนึกจดหมาย เขียนที่อยู่ปลายทางบนซองจดหมาย ก่อนจะส่งให้ชิลเลอร์ที่บังเอิญเดินผ่านมาพอดี “ชิลเลอร์ ฝากส่งจดหมายนี้ให้ผมหน่อย” โทมัสยื่นจดหมายให้ชิลเลอร์ “ทราบแล้วครับท่าน” ชิลเลอร์วันทยหัตถ์ ก่อนจะรับจดหมายไป ‘หวังว่าพวกคุณคงจะสบายดีกันนะ’ โทมัสคิดถึงภรรยาและลูกอยู่ในใจ . ส่วนทางด้านยาคอปนั้น เขากำลังจะอายุครบ 10 ปีในเดือนหน้า แต่เนื่องจากอยู่ในสภาวะของสงคราม นั่นทำให้เขาไม่สามารถไปที่บ้านของปู่กับย่าได้ และคุณอาทั้งสองของเขาเองก็ไม่ว่างเนื่องจากติดภารกิจส่วนตัว ส่วนเรื่องที่โรงเรียนนั้น มิฮาอิลนำเรื่องที่เขาคิดว่าน่าภาคภูมิใจมาอวดเพื่อนๆ ทั้งสองคนอย่างยาคอปกับอัลเฟรด “นี่พวกนายรู้ไหม พี่ชายของฉันกำลังจะได้ไปรบในแอฟริกาเหนือด้วยล่ะ!!” มิฮาอิลพูดขึ้นในระหว่างที่ทานอาหารกลางวันกันอยู่ “จริงเหรอ? น่าอิจฉาจังเลย!!” อัลเฟรดพูดขึ้น เขารู้สึกอิจฉาจากก้นบึ้งของหัวใจ เพราะพ่อของเขาเป็นเพียงช่างไม้ และเขาไม่มีพี่ชาย มีเพียงพี่สาวคนหนึ่ง ซึ่งตอนนี้เธอทำงานเป็นคุณครูในโรงเรียนเดียวกับแม่ของยาคอป “ใช่ไหมล่ะ! พี่ชายของฉันน่ะ กำลังจะได้ไปรบภายใต้การบังคับบัญชาของพลเอกอาวุโสรอมเมิลเชียวนะ!!” มิฮาอิลพูดด้วยความภาคภูมิใจ มีใครในเยอรมนีตอนนี้ไม่รู้จักพลเอกอาวุโสรอมเมิลบ้าง? ท่านเป็นนายทหารที่เท่และน่าภาคภูมิใจของกองทัพเยอรมัน ท่านมอบความปราชัยให้แก่กองทัพข้าศึกหลายต่อหลายครั้งในหลายสมรภูมิ การได้ไปรบในหน่วยหรือภายใต้การบังคับบัญชาของท่านถือเป็นความภาคภูมิใจที่สุดของคนเยอรมันที่สมัครเป็นทหารแล้ว “ส่วนพ่อของฉันไปรบในเนเธอร์แลนด์” ยาคอปพูดอวดบ้าง แต่เด็กน้อยไม่รู้เลยว่าพ่อเขากำลังรบกับอะไร เพราะทุกครั้งที่ถามผู้เป็นแม่ เธอมักจะปฏิเสธที่จะตอบคำถามเขาเสมอ ในบางครั้งแม้จะขอให้ผู้เป็นแม่เขียนจดหมายไปถามผู้เป็นพ่อ แต่เธอก็มักจะตอบกลับมาว่า “มันเป็นความลับของกองทัพนะย็อค ลูกอยากทำให้พ่อเขาเดือดร้อนเหรอ? และแม่เคยบอกไปแล้วนะลูก ว่าสงครามไม่ใช่สิ่งที่น่าพิสมัย” จนยาคอปไม่สามารถที่จะไปต่อได้ แม้ในบางครั้งเขาจะพยายามเขียนจดหมายไปหาผู้เป็นพ่อเองก็ตาม แต่เนื่องจากเขาไม่รู้ตำแหน่งปลายทางของจดหมาย เขาจึงไม่สามารถส่งพวกมันไปได้ ทั้งๆ ที่เขาอยากจะนำวีรกรรมของผู้เป็นพ่อมาป่าวประกาศให้ทุกคนรู้ว่าพ่อของเขานั้นเจ๋งแค่ไหน แต่ก็ไม่สามารถทำได้ดั่งใจนึก คงทำได้เพียงแต่ปรารถนาอยู่ในใจว่า ‘ถ้าเราโตขึ้น เราจะออกรบเหมือนกับพ่อของเรา เพื่อความรุ่งโรจน์ของเยอรมนีและเพื่อท่านผู้นำ’ เพราะยาคอปคิดว่าการเป็นทหารนั้นเท่ ดูน่าเคารพ และน่าเกรงขามที่สุด “ทั้งสองคนน่าอิจฉาจังเลย...” อัลเฟรดพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ “ไม่เอาน่าอัลเฟรด พ่อของนายก็เท่เหมือนกันนั่นแหละ” มิฮาอิลพยายามพูดปลอบเพื่อน “ใช่ๆ ช่างไม้ก็เท่จะตาย ได้ทำงานเพื่อเยอรมนี ได้ก่อสร้างสิ่งต่างๆ ต่อจากนี้พ่อของนายคงรวยมากเลยล่ะ เมื่อเรายึดทั้งทวีปยุโรปได้แล้ว” ยาคอปพูดกับเพื่อน “อือ...ฉันอยากให้พ่อฉันเท่กว่านี้จัง” อัลเฟรดพูดอย่างเศร้าสร้อย เพราะในความคิดของเขา ช่างไม้นั้นไม่เท่เอาเสียเลย วันๆ เอาแต่ขลุกตัวอยู่กับไม้และฝุ่นผงต่างๆ มีหน้าที่ไม่กี่อย่างที่พอจะทำมาหาเลี้ยงชีพได้ ช่างแตกต่างจากทหารและตำรวจเหมือนกับที่พ่อของเพื่อนๆ ทั้งสองคนเป็นอย่างลิบลับ “ช่างเรื่องนั้นเถอะ ว่าแต่พวกนายทั้งสองคนทำการบ้านของคุณครูคริสตอฟหรือยัง?” ยาคอปเปลี่ยนเรื่องคุยกับเพื่อนๆ “เหวอ! ลืมซะสนิทเลย!!” “ฉันด้วย แย่แล้ว!! คุณครูคริสตอฟดุแน่ๆ เลย!!” มิฮาอิลและอัลเฟรดตะโกนเสียงหลงโดยพร้อมเพรียงกัน “ให้มันได้อย่างนี้สิเพื่อนฉัน...” ยาคอปบ่นพึมพำ เพราะตัวเขานั้นไม่เคยเกียจคร้านในด้านการเรียนเลย เพราะอย่างนั้นแล้วเขาจึงทำการบ้านเสร็จก่อนส่งในทุกๆ ครั้ง ผิดกับเพื่อนสนิททั้งสองคนของเขาที่มักจะถูกดุอยู่บ่อยครั้งเรื่องความสะเพร่า . ตกเย็นนั้น พอยาคอปกลับมาบ้านก็พบว่าแม่ของเขาได้ทำพายแอปเปิลของโปรดเอาไว้คอยท่า นั่นทำให้เด็กน้อยดีใจเป็นอย่างมาก แต่ตัวเขาก็รู้ดีว่าในวันรุ่งขึ้นจะต้องทานถั่วกระป๋องต้มกับขนมปังรสหยาบอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะการจะทำพายแอปเปิลสักครั้งในตอนนี้ เป็นเรื่องที่ยุ่งยากและลำบากพอสมควร เนื่องจากจะต้องแลกกับตั๋วอาหารที่รัฐบาลแจกให้แทบจะทั้งสัปดาห์ “ไปล้างมือแล้วค่อยมาทานอาหารนะลูก” เฟลิเซียพูดกับลูกชาย “ฮะแม่!!” ยาคอปรับคำ ก่อนจะวิ่งไปเก็บกระเป๋าที่ด้านบนบ้าน และไปจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย ก่อนจะเดินมาหยิบพายแอปเปิลทานอย่างเอร็ดอร่อย ชีวิตประจำวันที่แสนเรียบง่ายนี้กำลังดำเนินไปอย่างไม่มีจุดหมายว่ามันจะจบลงเมื่อใด สองแม่ลูกใช้ชีวิตกันอย่างปกติสุขแบบที่ทำมาตั้งแต่ในอดีต ผู้เป็นพ่อแม้จะเผชิญกับการต่อต้านจากกองกำลังใต้ดิน แต่ก็ยังนับว่าสงบสุขกว่าพื้นที่อื่นๆ ที่กองทัพเยอรมันยึดครอง สุดท้ายแล้ว ครอบครัวฮอฟมันก็กลับมาพร้อมหน้ากันอีกครั้ง เมื่อโทมัสเดินทางกลับบ้านในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 1941 ท่ามกลางข่าวลืออันหนาหูในกองทัพว่ากองทัพเยอรมันกำลังตระเตรียมการใหญ่อยู่
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD