บทที่ 18: ยาคอปกับภัยสงครามที่กำลังจะมาถึง

1604 Words
หลังจากวันที่สองแม่ลูกฮอฟมันได้ทราบข่าวการจากไปของผู้เป็นที่รักของพวกเขา ชีวิตประจำวันของพวกเขาก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ข่าวร้ายดูจะตามมาในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน เพราะที่แฟรงก์เฟิร์ต ปู่กับย่าของยาคอปเสียชีวิตจากการทิ้งระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตร ในทำนองเดียวกันกับที่เดรสเดิน ผู้เป็นตากับยายของยาคอปถูกลูกหลงจากการปูพรมทิ้งระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตรจนเสียชีวิตทั้งคู่ สิ่งนี้สร้างความโศกเศร้าให้แก่คนในครอบครัวอย่างมหาศาล โดยเฉพาะอย่างกับเฟลิเซีย เธอที่ทราบข่าวร้ายติดๆ กันแบบนี้ แทบจะตรอมใจอยากจะหายไปจากโลกใบนี้เลย เพราะข่าวร้ายพวกนี้มันหนักเกินไปสำหรับผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่จะแบกรับเอาไว้ได้ และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ยาคอปก็ไม่เคยเห็นแม่ของตัวเองยิ้มออกมาอีกเลย ไม่ว่าเขาจะทำอะไรสำเร็จก็ตาม สิ่งที่ได้รับกลับมาก็มีเพียงแค่การขานรับว่า “อืม” สั้นๆ เท่านั้น แม้แต่การทำอาหาร เฟลิเซียจะทำแค่เปิดถั่วกระป๋องให้ยาคอปทานคู่กับขนมปังรสหยาบๆ เท่านั้น ไม่มีการปรุงรสตามแบบที่เขาชอบแม้แต่นิดเดียว ส่วนที่โรงเรียน ยาคอปสังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาล มิฮาอิล เพื่อนสนิทของยาคอปสูญเสียพี่ชายไปในการรบที่แอฟริกาเหนือ สิ่งที่หลงเหลือกลับมาหาครอบครัวของเขามีเพียงเสื้อผ้าที่เปื้อนเลือดและจดหมายหนึ่งฉบับเท่านั้น ส่วนเพื่อนคนอื่นๆ ในห้องก็สูญเสียพ่อหรือไม่ก็พี่ชายไปในการรบในสมรภูมิต่างๆ ทั้งทิศตะวันออกและทิศตะวันตกเช่นเดียวกับพ่อของเขา ไม่เว้นแต่คุณครูคริสตอฟที่ยาคอปบังเอิญได้ยินคุณครูคุยกับคุณครูท่านอื่นว่าสูญเสียลูกชายไปในสหภาพโซเวียต บรรยากาศของห้องที่เคยเต็มไปด้วยความร่าเริง บัดนี้มีแต่ความโศกเศร้าและน่าอึดอัดจนเกินจะบรรยาย ไม่มีใครเลยที่ยังกล้ายิ้มออกมาหลังจากที่สูญเสียคนในครอบครัวไปทีละคนสองคน สงครามที่พวกเขาถูกปลูกฝังว่ามันคือสิ่งที่น่าสนุกและเป็นสถานที่สำหรับแสวงหาเกียรติยศ บัดนี้พวกมันได้สั่งสอนพวกเขาแล้วว่า ‘หากพวกแกดูถูกเรา เราก็จะพรากคนที่พวกแกรักไป’ นอกจากนั้น รุ่นพี่ในโรงเรียนของยาคอปที่อายุครบ 18 ปีก็ถูกเกณฑ์ให้เข้าสู่สนามรบ ร่วมกับกองพลยานเกราะเอสเอสที่ 12 ‘ฮิตเลอร์ยูเกิน’ (12.SS Panzer Division ‘Hitlerjugend’) พวกเขาถูกเกณฑ์เข้าร่วมกับกองพลยานเกราะเอสเอสที่มีกำลังพลส่วนมากเป็นเด็กที่อายุพึ่งจะถึง 18 ปี และได้ทำการรบต่อต้านพวกสัมพันธมิตรตะวันตกในสมรภูมิตะวันตก และสิ่งที่ครอบครัวของพวกเขาได้รับกลับมามีเพียงจดหมายที่เขียนเอาไว้ก่อนลูกๆ พวกเขาจะเสียชีวิตจากคมกระสุนของฝ่ายสัมพันธมิตร นอกจากนั้น กิจกรรมของกลุ่มเยาวชนที่ยาคอปเป็นสมาชิก เริ่มมีการพูดปลุกกำลังใจในทำนองที่ว่า “ในสักวันหนึ่งเราต้องเสียสละเพื่อเยอรมนี เพื่อนำไปสู่ชัยชนะอันแสนยิ่งใหญ่” มีการฝึกให้กลุ่มเยาวชนรู้จักการใช้อาวุธปืนประจำกายของเหล่าทหาร และทำความคุ้นเคยกับเสียงปืนและเสียงระเบิด เด็กๆ บางคนนั้นกลัวเสียงปืนจนในบางครั้งก็ร้องไห้ออกมาเลยก็มี และพวกเขามักจะถูกดุด่าอย่างรุนแรงจากเจ้าหน้าที่ที่ควบคุมว่าเป็นพวกที่ขี้ขลาด ไม่ยอมเสียสละเพื่อเยอรมนี ยาคอปเองก็กลัว ทุกครั้งที่ได้จับปืน ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงปืน ทุกครั้งที่รู้ว่ากระสุนเข้าเป้าหมาย พอเด็กน้อยลองจินตนาการว่าเป้าหมายนั้นเป็นคนที่มีเลือดมีเนื้อและลมหายใจ เขามักจะหวาดกลัวจนตัวสั่นทุกครั้ง แม้จะถูกปลูกฝังมาโดยตลอดว่าข้าศึกพวกนั้นเป็นพวกที่ต่ำชั้นยิ่งกว่าสัตว์ แต่หากจะต้องให้จับปืนแล้วไปยิงต่อสู้กับพวกเขา ยาคอปคิดว่ามันมีบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง มันมีบางอย่างที่อยู่ในใจของเขาร่วมกับความหวาดกลัว สิ่งๆ นั้นเป็นคำถามที่ยาคอปไม่คิดว่ามันจะมีขึ้นมาได้ในชีวิตของเขา คำถามที่ว่านั้นก็คือ ‘สิ่งที่เป็นอยู่นี่มันถูกต้องแล้วอย่างนั้นเหรอ?’ นั่นคือคำถามที่เกิดขึ้นมา และยาคอปไม่รู้ว่าจะหาคำตอบอย่างไร เด็กน้อยเริ่มคิดถึงคำพูดของผู้เป็นพ่อที่ล่วงลับ คำพูดที่พ่อของเขามักจะย้ำกับเขาอยู่เสมอในทุกๆ ครั้งที่เขาถามเกี่ยวกับสงคราม “สงครามนั้นมันไม่ได้น่าพิสมัยหรอกนะลูก” ยาคอปได้สำนึกแล้วว่าสงครามนั้นมันโหดร้ายเช่นไร และนอกจากนั้นเขายังได้นอนฝันร้ายอยู่ทุกคืน เด็กน้อยฝันถึงสองแม่ลูกชาวยิวที่ต้องตายด้วยน้ำมือของเขา สายตาที่โศกเศร้าเมื่อผู้เป็นแม่สูญเสียลูกชาย เสียงกรีดร้องคร่ำครวญปานฟ้าจะถล่ม คำถามที่เธออยากจะถามเขาแต่กลับโดนปลิดชีวิตเสียก่อน สิ่งเหล่านี้มันตามหลอกหลอนยาคอปราวกับเป็นเงาตามตัว ยิ่งในตอนนี้สภาวะจิตใจของเขาไม่มั่นคง จากการที่ต้องสูญเสียบุคคลในครอบครัวไปหลายคน และเด็กน้อยยังหวาดกลัวว่าจะสูญเสียผู้เป็นแม่ไปอีกด้วย สิ่งพวกนี้มันจึงทำร้ายยาคอปได้มากเลยทีเดียว… . “!!!!” ยาคอปผวาตื่นขึ้นมาในตอนกลางคืนพร้อมตะโกนโวยวาย เพราะเขาฝันร้ายอีกแล้ว “ไม่เป็นอะไรนะลูก แม่อยู่ตรงนี้นะ” เฟลิเซียกอดปลอบลูกชายของตัวเอง แม้ว่าสภาพของเธอจะไม่มั่นคงยิ่งกว่ายาคอปก็ตาม แต่เธอจะต้องทำตัวเข้มแข็งเข้าไว้ เพราะหากเธอล้มลงไป ลูกชายของเธอจะไม่มีที่พึ่งเลย “แม่ฮะ…ผมกลัว…” ยาคอปพูดพร้อมกับร้องไห้ในอ้อมกอดของผู้เป็นแม่ เขาหวาดกลัวว่าถ้าหากวันหนึ่งภัยสงครามมาถึงตัวของเขา แล้วเขาควรจะต้องทำอย่างไร? ถ้าเกิดว่าเขาต้องสูญเสียผู้เป็นแม่ไปอีกคนล่ะ? เขาจะทำเช่นไรได้บ้าง? การที่เด็กอายุ 13 ปีแบบเขาต้องมากำพร้าพ่อแม่ท่ามกลางไฟสงครามแบบนี้ มันเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ “ไม่เป็นไรนะลูก แม่อยู่ตรงนี้เสมอนะ…” เฟลิเซียลูบศีรษะลูกชายอย่างแผ่วเบา ก่อนจะกล่อมให้เขาเข้านอนอีกครั้ง เพราะนี่พึ่งจะเลยเที่ยงคืนมาได้แค่ 30 นาทีเท่านั้น . ในสังคมของเยอรมนีเริ่มมีข่าวลือหนาหูมากขึ้น แม้ว่าทางรัฐบาลจะบอกว่ากองทัพเยอรมันมีชัยเหนือข้าศึกอยู่เนืองๆ แต่ข่าวลือนั้นมีหลายรูปแบบแตกต่างกันออกไป บ้างบอกว่ากองทัพเยอรมันพ่ายแพ้อย่างหมดรูป บ้างก็บอกว่าในอีกไม่กี่เดือนเยอรมนีจะพ่ายแพ้สงคราม บ้างก็บอกว่าสหภาพโซเวียตกำลังรุกมาจากทิศตะวันออกด้วยความรวดเร็วราวกับสายฟ้า แม้ข่าวลือจะแตกต่างกันออกไปตามแหล่งที่มา แต่ทุกข่าวลือชี้ไปเป็นจุดหมายเดียวกันว่า ‘เยอรมนีกำลังจะพ่ายแพ้สงคราม’ . ในความสิ้นหวังของเยอรมนีนั้น ยังคงมีข่าวคราวที่ทำให้ขวัญกำลังใจกลับคืนมาบ้าง เมื่อเดือนกันยายน 1944 กองทัพเยอรมันมีชัยเหนือกองกำลังส่งทางอากาศของฝ่ายสัมพันธมิตรในการรบทางทิศตะวันตกในเนเธอร์แลนด์ (ปฏิบัติการมาร์เก็ตการ์เด็น-Operation Market garden ของฝ่ายสัมพันธมิตร) พวกเขาสามารถกุมชัยชนะเหนือข้าศึกได้ แต่มันก็ไม่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด สิ่งที่กองทัพเยอรมันทำก็เป็นเพียงแค่การเตะถ่วงเวลาให้ความพ่ายแพ้ยืดออกไปก็เท่านั้น เพราะหลังจากที่พวกเขาพ่ายแพ้ในปฏิบัติการนี้ ในครั้งถัดไป พวกเขาจะมาพร้อมกับกำลังพลที่กระหายในชัยชนะเสียยิ่งกว่าเดิม และกองทัพเยอรมันทำได้เพียงปล่อยให้พื้นที่ที่พวกเขายึดมาได้ให้ตกไปอยู่ในมือของฝ่ายสัมพันธมิตร ก่อนจะถอยร่นอย่างไม่เป็นท่า เพราะพวกเขามีทรัพยากรไม่เพียงพอในการที่จะป้องกันพื้นที่เหล่านั้นอีกต่อไป “เรารบไปเพื่ออะไรกันนะ?” ทหารเยอรมันนายหนึ่งพูดกับเพื่อน ในขณะที่กำลังถอยทัพออกจากพื้นที่การรบ “ไม่รู้สิ ฉันเข้าร่วมกองทัพก่อนที่พวกสัมพันธมิตรจะยกพลขึ้นบกที่นอร์มังดี แล้วก็เกือบตกอยู่ในวงล้อมของพวกมัน เคราะห์ดีที่หน่วยอื่นๆ ยังป้องกันให้ถอยออกมาทัน ไม่งั้นคงแย่ไปแล้ว” ทหารเยอรมันอีกคนตอบ “สงครามบ้านี่เมื่อไหร่จะจบกันนะ” ทหารเยอรมันคนแรกสบถออกมา พวกเขาเข้ารบตามคำโฆษณาชวนเชื่อที่ว่าการเข้าร่วมกองทัพจะทำให้ชีวิตดีขึ้น และนำพาเยอรมนีไปสู่ยุคที่รุ่งเรืองที่สุด แต่สิ่งที่เป็นอยู่ ณ ตอนนี้ มันช่างห่างไกลจากคำว่ารุ่งเรืองเสียเหลือเกิน กลับกันถ้าบอกว่าเยอรมนีกำลังจะล่มสลาย คำๆ นี้ยังดูน่าเชื่อถือกว่าเลย ก่อนที่ในวันนั้น หน่วยของพวกเขาจะถูกตีแตกโดยพวกสัมพันธมิตรตะวันตก และพวกเขาทั้งคู่ถูกจับเป็นเชลยศึก และทหารเยอรมันหลายๆ หน่วยก็ถูกบีบให้ถอยร่นอย่างไม่เป็นท่าอีกครั้ง…
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD