นับตั้งแต่วันที่ไปพบกับวิลเลี่ยม ยาคอปก็กลายเป็นคนละคนกับที่ครอบครัวมาธิอุสรู้จัก จากที่เป็นเด็กที่ค่อนข้างเงียบอยู่แล้ว กลับเงียบกว่าเดิม ปฏิเสธทุกความห่วงใยของพ่อแม่บุญธรรม และปิดห้องเก็บตัวอยู่เงียบคนเดียว นอกจากการไปโรงเรียนและเข้าห้องน้ำแล้ว ยาคอปก็ไม่เคยย่างเท้าออกมาจากห้องนอนของตัวเองอีกเลย
ยาคอปไม่เคยมาทานข้าวร่วมกับครอบครัวมาธิอุสอีกเลยนับตั้งแต่นั้น ไม่ว่าแอร์นาหรือมากาเรเทอจะไปตามเขาให้ออกมาจากห้อง หรือแม้แต่ในมื้อนั้นจะมีอาหารโปรดของเขาอย่างพายแอปเปิลก็ตาม เขามักจะทานมื้อเว้นมื้อ หรือบางวันก็ไม่ทานอาหารใดๆ เลยก็มี
จนกระทั่งถึงเวลาตรวจสุขภาพประจำเดือนของโรงเรียน ที่ตัวของมากาเรเทอสังเกตเห็นในใบบันทึกน้ำหนักของยาคอปว่า น้ำหนักของเขาลดลงไปจนน่าใจหายสำหรับเด็กหนุ่มวัยกำลังเติบโต และคุณครูก็ได้เรียกเขาไปพบเพื่อแจ้งให้ทานอาหารที่เหมาะสม ซึ่งยาคอปก็รับปากไปแบบส่งๆ เท่านั้น
จากการบอกเล่าของมากาเรเทอถึงเรื่องที่เกิดขึ้นที่โรงเรียน นั่นสร้างความวิตกกังวลให้กับเฮนรี่และแอร์นาเป็นอย่างมาก เพราะยาคอปกำลังอยู่ในวิกฤตที่อาจจะเป็นจุดตัดสินของชีวิตของตัวเองได้เลย และการที่เด็กหนุ่มปฏิเสธทุกความหวังดีจากพวกตน มันอาจจะผลักความคิดของเขาเตลิดไปไกล จนกระทั่งจมอยู่กับความโศกเศร้าอันไร้ที่สิ้นสุด หรือร้ายแรงที่สุดอาจจะตัดสินใจจบชีวิตตัวเองเลยก็เป็นได้
นอกจากนั้นแล้ว ยาคอปยังตอบสนองต่อเสียงดังๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวอย่างรุนแรง จนหลายครั้งเด็กหนุ่มก็เป็นฝ่ายที่วิตกกังวลกับสิ่งเป็นนี้เสียเอง เพราะเขากลัวว่าทุกๆ อย่างที่เป็นอยู่นั้นจะแย่ลงไปกว่านี้
แต่ถึงกระนั้น อีกเสี้ยวหนึ่งในใจของยาคอปกลับบอกว่า ที่เป็นอยู่แบบนี้นั้นมันดีแล้ว เพราะในอีกไม่ช้า เมื่อทุกอย่างนั้นแย่ลงจนถึงขีดสุด เขาจะได้ตามไปอยู่กับทุกๆ คนที่เขาคิดถึง และพลัดพรากจากมานาน
สิ่งเดียวที่ยังคอยเหนี่ยวรั้งให้ยาคอปยังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้คือการทานยาตามที่วิลเลี่ยมสั่งเท่านั้น เพราะฤทธิ์ยาเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกว่าโลกนี้ยังไม่โหดร้ายสำหรับเขาจนเกินไป
และทุกครั้งที่ฤทธิ์ยาหมดลง ยาคอปก็มักจะนั่งร้องไห้อยู่ที่มุมห้องอยู่คนเดียวเสมอ เด็กหนุ่มอยากที่จะเงยหน้าขึ้นมาจากความเศร้าต่างๆ แล้วพบว่าเฟลิเซียกับโทมัสยืนยิ้มให้เขาอยู่ อยากเงยหน้าขึ้นมาแล้วพบกับทุกคนในครอบครัว
แต่ความเป็นจริงที่ว่าพวกเขาทั้งหมดจากไปตลอดกาลแล้ว มันเป็นสิ่งที่ทำให้ยาคอปรู้สึกเคว้งคว้างและไร้ทางออกสำหรับเรื่องนี้ เขาไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่ามีชีวิตไปทำไม
แม้แต่การไถ่บาปที่ครั้งหนึ่งตัวของยาคอปเคยปรารถนาที่จะทำมันอย่างสุดหัวใจ ในตอนนี้เด็กหนุ่มกลับเมินพวกมันไป ราวกับว่าตัวเขาไม่เคยปฏิญาณมันมาก่อน และนึกโทษสภาพความเป็นจริงอันแสนโหดร้ายที่เขาต้องเจอ ณ ตอนนี้เท่านั้น
นับตั้งแต่ยาคอปเปลี่ยนไป มากาเรเทอก็รู้สึกเหงาขึ้นทุกวัน เมื่อไม่มีคนที่คอยเล่นด้วย คนที่คอยอยู่เป็นเพื่อนในยามเหงา คนที่เธอจะเข้าไปสกินชิปในตอนที่รู้สึกว่าอยากจะทำ หัวใจของเธอบอกว่าที่เป็นอยู่นี้มันไม่ถูกต้อง และเธอต้องทำอะไรสักอย่าง ก่อนที่ทุกอย่างเกี่ยวกับตัวของยาคอปมันจะสายเกินที่จะแก้ไข เหมือนกับที่ได้ยินพ่อกับแม่คุยกัน
แต่เธอก็ทำอะไรไม่ได้มาก เพราะแอร์นากำชับไม่ให้ไปรบกวนยาคอป เพราะเกรงว่าจะทำให้เขารู้สึกอึดอัดจนตีตัวออกห่างไปมากกว่านี้ จนเด็กสาวทำได้แค่ต้องมองเขาอย่างห่างๆ แบบห่วงๆ และเก็บทุกความรู้สึกที่มีต่อเขาเอาไว้
เช่นเดียวกับตอนค่ำของวันหนึ่ง หลังจากที่มื้ออาหารค่ำจบลง และยาคอปก็ไม่ได้มาทานร่วมกับพวกเขาเหมือนเคย มากาเรเทอจึงต้องยกถาดอาหารขึ้นไปวางเอาไว้ที่หน้าห้องนอนของเขา เพราะตัวของเด็กหนุ่มไม่ได้ทานอะไรมาทั้งวันแล้ว
ในขณะที่มากาเรเทอวางถาดอาหารลงบนพื้นแล้ว และกำลังจะเดินจากไป เด็กสาวเหมือนกับได้ยินเสียงสะอื้นร้องไห้ของเขาออกมาจากในห้อง และเธอรู้สึกเหมือนกับว่าเสียงร้องไห้นั้นกำลังเรียกหาใครบางคนให้มาดึงตัวเองขึ้นจากความมืดมิดอยู่
ในที่สุด ความอดทนของมากาเรเทอก็มาถึงขีดจำกัด เด็กสาวตัดสินใจที่จะแหกกฎและคำสั่งของผู้เป็นแม่ และเดินหน้าเข้าหายาคอป และเดิมพันกับโชคชะตาที่จะทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาจากอาการบ้าๆ นั่นด้วยความสามารถทั้งหมดของเธอ
มากาเรเทอตัดสินใจแง้มประตูที่ไม่ได้ล็อกเข้าไปภายในห้อง เด็กสาวเดินอย่างเงียบเชียบไปหยุดอยู่ที่ด้านหลังของเจ้าของห้อง ตัวของยาคอปนั่งหันหลังให้กับประตู และกำลังฟุบหน้าลงบนโต๊ะพร้อมกับร้องไห้ มือที่วางอยู่บนโต๊ะของเขาถือรูปภาพใบหนึ่งอยู่
ภาพในมือของยาคอปนั้นค่อนข้างที่จะเก่าและมีรอยขาดบางจุด มันเป็นภาพของคนสามคน คนที่อยู่ซ้ายมือของภาพคือผู้ชายที่แต่งชุดทหารดูเท่และองอาจ ส่วนขวามือคือผู้หญิงที่แต่งชุดเดรสสีขาวบริสุทธิ์ พร้อมกับเด็กน้อยคนหนึ่งที่อายุราวๆ 4-5 ปี กำลังนั่งบนตักของเธอ
มากาเรเทอนึกสงสัยว่าเป็นภาพของใคร แต่ความสงสัยของเธอก็อยู่ได้ไม่นาน เพราะยาคอปเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ
“ผมจะทำยังไงดี…พ่อครับ…แม่ครับ…”
ก่อนที่เขาจะสะอื้นร้องไห้จนดูน่าสงสาร
เพียงแค่ได้ยินคำพูดพวกนั้น มากาเรเทอก็เผลอกัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ และสัมผัสได้ถึงรสชาติฝาดๆ ที่อบอวลอยู่ในปาก
ไวเท่าความคิด มากาเรเทอจึงโอบกอดยาคอปเอาไว้จากด้านหลัง ก่อนจะเอ่ยออกมาจนคล้ายกับว่ากระซิบอยู่
“ไม่เป็นไรนะยาคอป…ไม่เป็นไรนะ…ไม่เป็นไร…นายไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวนะ”
ยาคอปสะดุ้งสุดตัว เมื่อพบว่าห้องของเขามีแขกที่ไม่ได้รับเชิญบุกรุกเข้ามา เด็กหนุ่มรีบเก็บภาพใบนั้นลงในกระเป๋า ก่อนจะปาดน้ำตาของตัวเองในทันที
“ขะ…เข้ามาได้ยังไง…อะ…ออกไปนะ…”
ยาคอปพยายามไล่มากาเรเทอออกไปให้พ้นจากห้องของตัวเอง
“ฉันแค่มาตามเสียงเรียกของเด็กน้อยคนหนึ่ง…อย่าได้ถือสาเลยนะ…ฉันแค่เอาอ้อมกอดมาให้เท่านั้นเอง…ฉันไม่เป็นอันตรายกับนายหรอกนะ…”
มากาเรเทอกระซิบเบาๆ เมื่อเห็นคนที่ตัวเองชอบนั้นกำลังทุกข์ทรมาน เธอก็แทบจะร้องไห้ตามเขาอยู่แล้ว และรู้สึกเหมือนหัวใจกำลังถูกบีบรัดอย่างรุนแรง
“…”
ยาคอปเริ่มปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอีกครั้ง จนหยดน้ำตาอุ่นๆ พวกนั้นหยดลงบนมือของมากาเรเทอที่กำลังกอดเขาอยู่
ยาคอปต้องการอ้อมกอดของใครสักคน ใครสักคนที่เข้ามาดึงเขาให้พ้นจากความมืดมิดตรงนี้ เขาไม่อาจที่จะไปออดอ้อนใครได้อย่างที่ใจอยากได้เลย แต่ถ้าหากว่าเฟลิเซียยังมีชีวิตอยู่ เด็กหนุ่มสาบานว่าจะพุ่งเข้าไปกอดเธอและร้องไห้งอแงเหมือนกับเด็กน้อย
แต่ยาคอปทำแบบนั้นไม่ได้ แม่ของเขาไม่ได้มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว และตอนนี้เขากำลังยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยว
“นายไม่ได้โดดเดี่ยวนะ…ถ้าอยากร้องไห้หรือออดอ้อนใครสักคน…ทำไมไม่มาอ้อนฉันล่ะ?”
มากาเรเทอเสนอ
“…ได้เหรอ?”
ยาคอปเผลอหลุดปากออกไป เพราะความอดทนที่ยับยั้งไม่ให้อยากอ้อนใครมาถึงขีดจำกัดแล้ว และตอนนี้เขาต้องระบายกับใครสักคน ใครสักคนที่รับฟังเขาได้
และคนคนนั้นก็คือ มากาเรเทอ ที่เสนอข้อเสนอที่เขาต้องการมา
“อื้ม! ได้สิ! ด้วยความยินดีเลยเจ้าหนูน้อย”
มากาเรเทอลูบศีรษะของเด็กหนุ่มในอ้อมกอดเบาๆ พร้อมกับยิ้มกว้างๆ และมันกว้างที่สุดนับตั้งแต่เกิดเรื่องนี้ขึ้น แต่ยาคอปนั้นไม่เห็น เพราะเธอกอดเขาจากด้านหลัง
.
หลังจากที่มากาเรเทอคะยั้นคะยอให้ยาคอปทานอาหารเย็นที่เตรียมมาโดยมีเธอเป็นคนป้อนจนอิ่มแล้ว
ยาคอปก็มานอนหนุนตักของมากาเรเทออยู่บนเตียง โดยมีมือที่แสนอ่อนนุ่มของเธอนั้นกำลังลูบไล้ไปตามใบหน้าและเรือนผมของเขา และมันทำให้เขารู้สึกสบายตัวอย่างบอกไม่ถูก
‘ไม่ได้ออดอ้อนใครแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ?’
ยาคอปคิดในใจ ในขณะที่ปล่อยให้มากาเรเทอปลอบโยนเขาในแบบของเธอ
ครั้งสุดท้ายที่ยาคอปออดอ้อนใครสักคนก็ต้องย้อนกลับไปสมัยที่ยังอยู่กับผู้เป็นแม่ที่บ้านของอากึนเทอร์ในกรุงเบอร์ลิน ก่อนการรบอันแสนโหดร้ายนั่นเลย
และในตอนนี้มันรู้สึกดีกว่านั้นหลายเท่าตัว สัมผัสที่กำลังลูบไล้ไปตามใบหน้าและเรือนผม มันบ่งบอกว่าผู้ที่กำลังปลอบโยนเขานั้นใส่ใจในทุกรายละเอียด และอ่อนโยนจนตัวของยาคอปแทบเกรงใจที่ต้องให้เธอมาเหน็ดเหนื่อยแบบนี้
“สบายไหม?”
มากาเรเทอถามเสียงนุ่มๆ พร้อมกับรู้สึกจั๊กจี้ที่หัวใจไปด้วย
“อื้ม! สบายมากเลย…”
ยาคอปพูดงึมงำ
นอกจากสัมผัสที่นุ่มนวลแล้ว จมูกที่ได้กลิ่นตัวหอมๆ จากตัวของมากาเรเทอราวกับกำลังทำให้เขาเพลิดเพลินอยู่ในโลกของดอกไม้นานาชนิด
วินาทีนั้นเองที่ยาคอปคิดในใจว่า เขาอยากที่จะสูดดมกลิ่นนี้ไปตลอดชีวิตเท่าที่อยากจะทำ
แต่ยาคอปก็รู้ดีว่าถ้าเอ่ยปากออกไปแบบนั้น มันจะเป็นการเอาแต่ใจและเห็นแก่ตัว เพราะนั่นหมายถึง เขาจะผูกมัดมากาเรเทอเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว ซึ่งนั่นเธออาจจะไม่ชอบใจก็เป็นได้
เด็กหนุ่มจึงทำได้แค่กลืนคำพูดของตัวเองทั้งหมดลงไปในลำคอ และปล่อยตัวให้ไหลไปตามการสัมผัสอันแสนอ่อนโยนนั้นอีกครั้ง
“คิกๆ”
มากาเรเทอจิ้มแก้มของยาคอปอย่างนึกสนุก เพราะมันค่อนข้างนุ่ม พร้อมกับหัวเราะคิกคักไปด้วย
ซึ่งยาคอปก็ไม่ได้ว่าอะไร กลับกันยังฝังใบหน้าลงไปในหน้าท้องของมากาเรเทอให้ลึกขึ้น เพื่อสูดเอากลิ่นอายจากตัวของเธอที่ชวนให้สงบใจนี้ให้ได้มากที่สุด
แม้มันจะดูโรคจิต แต่ถ้าหากว่าเด็กสาวตรงหน้าไม่ได้ว่าอะไร เขาก็จะไม่เกรงใจใดๆ เพราะในตอนนี้เส้นศีลธรรมที่คอยค้ำยันความรู้สึกในตัวของเขามันหายไปหมดแล้ว
‘รู้สึกดีจัง…’
ยาคอปคิดในใจ
“โอ๋ๆ เด็กน้อย เจ้าเด็กน้อยขี้อ้อน~”
มากาเรเทอลูบศีรษะของเขาเบาๆ พร้อมกับเริ่มการลูบไล้อย่างอ่อนโยนอีกครั้ง
“เธอรู้ใช่ไหม…ว่าฉันเคยทำผิดกับเพื่อนร่วมเชื้อชาติของเธอมาก่อน…”
อยู่ๆ ยาคอปก็พูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“ยังไงเหรอ?”
มากาเรเทอเอียงคอถาม
“ฉันส่งพวกเขาไปตาย…ฉันเป็นคนทำเองทั้งหมดเลย…ฉันมัน…สารเลว…”
ยาคอปพูดสารภาพบาปออกมา
“ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไรเลย อดีตก็เป็นแค่อดีต นายอาจจะเดินผิดพลาดไปบ้าง แต่ถ้านายสำนึกผิด พระผู้เป็นเจ้าย่อมให้อภัยนายแน่ๆ”
มากาเรเทอพูดพร้อมกับลูบศีรษะของยาคอปราวกับจะปลอบโยนเขา
“ฉันเหงา…ตอนอยู่ค่ายทหารฉันก็เหงา…แม้กระทั่งที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าฉันก็เหงา…”
ยาคอปพูดออกมาอีกครั้ง
“ไม่เป็นอะไรแล้วนี่ไง ตอนนี้นายกำลังนอนอยู่บนตักของฉัน เพื่อนที่ดีที่สุดของนายแล้วนี่ไง~ ถ้าเหงาก็แค่อ้อนฉันให้มากกว่าเดิมเท่านั้นเอง~”
มากาเรเทอใช้นิ้วลูบไล้ไปตามแก้มของเด็กหนุ่มที่นอนอยู่บนตัก ราวกับกำลังหยอกล้อและปลอบประโลมเขาในแบบของเธอ
“งั้นขอทำแบบที่ว่ามาเลยนะ…”
ยาคอปลุกขึ้น
“อื้ม! มาสิ!”
มากาเรเทออ้าอ้อมแขนออกกว้างๆ พร้อมกับยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน
และตัวของยาคอปก็ถูกอ้อมกอดนั้นดึงดูดเข้าไปหาอย่างง่ายดาย ทำให้ในตอนนี้ใบหน้าของเขาซุกอยู่ที่หน้าอกของมากาเรเทอ ที่ตรงนั้นที่เขาได้ยินเสียงการเต้นของหัวใจที่ทำให้รู้สึกสงบใจได้มากกว่าเดิม และกลิ่นตัวที่หอมหวานก็ยิ่งทำให้รู้สึกลิงโลด ราวกับว่าได้เติมเต็มความปรารถนาจากส่วนลึกที่สุดของหัวใจ
ยาคอปกอดมากาเรเทอกลับไป ก่อนที่เด็กสาวจะล้มตัวลงนอน พร้อมกับโอ๋เขาไปด้วย
“โอ๋ๆ คงเหงามากสินะ~”
“อืม…เหงามากเลยครับ…”
ยาคอปพูด
“เอาสิ~ ออดอ้อนเท่าที่อยากจะทำเลย~ จะจับมันเพื่อเติมเต็มความปรารถนาของเด็กผู้ชายก็ได้นะ”
มากาเรเทอพูดอะไรที่มันอันตรายๆ ออกมาในเชิงอนุญาต
“อื้ม!”
ยาคอปที่ในตอนนี้ไม่มีเส้นศีลธรรมอยู่แล้ว เมื่อได้รับคำอนุญาตมาแบบนั้น จึงได้คลอเคลียอยู่ที่หน้าอกของเด็กสาวตรงหน้า พร้อมกับได้สัมผัสมันเป็นครั้งแรก
“อื้อ! ตรงนั้นมัน…อ๊ะ! อ๊า~”
หน้าอกที่เด้งดึ๋งราวกับเยลลี่และใหญ่จนเต็มไม้เต็มมือ พร้อมกับเสียงครางอันทรงเสน่ห์ของมากาเรเทอ สร้างความอยากรู้อยากเห็นให้กับยาคอป และเด็กหนุ่มรู้สึกว่าความรู้สึกแปลกๆ ที่เขาไม่เข้าใจถูกกระตุ้นขึ้นมาจากส่วนลึก และเหมือนกับว่าศีรษะกำลังร้อนจนกำลังจะละลาย
“อ๋อย~”
ยาคอปครางออกมาเบาๆ เพราะสมองของเขาโอเวอร์โหลดไปแล้วจากสถานการณ์ตรงหน้า จนภาพทุกอย่างตัดไป และรู้สึกเหมือนตัวเองถูกชักปลั๊กออก
“ยาคอป?”
มากาเรเทอที่รู้สึกว่ายาคอปหยุดขยับมือมาสักพักแล้ว เธอจึงก้มลงมามอง แล้วก็ได้พบว่าเด็กหนุ่มนั้นสลบไปแล้ว
“โธ่เอ๋ย~ เจ้าหนูน้อยของฉัน…”
มากาเรเทอพึมพำเบาๆ ออกมา เพราะรู้สึกเสียดายที่ยาคอปหมดสติไปก่อน ทั้งๆ ที่เธอกำลังรู้สึกดีจากการสัมผัสของเขาแท้ๆ
“เอาเถอะ…วันหลังก็ยังมีอีกนี่นา~”
“Gute Nacht Mein Mann (ฝันดีนะคะ คุณสามี)”
มากาเรเทอพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะบอกราตรีสวัสดิ์ยาคอป และห่มผ้าให้เขา
พร้อมกันนั้น เธอยังได้ล้มตัวลงนอนข้างๆ ตัวของยาคอป เพื่อที่จะทำให้มั่นใจได้ว่า เมื่อเขาตื่นขึ้นมาแล้ว เขาจะได้เห็นเธอเป็นคนแรก และมั่นใจได้ว่าไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว
ก่อนที่มากาเรเทอจะคล้อยหลับตามไปติดๆ…