บทที่ 9: สายลมแห่งความเปลี่ยนแปลง

2392 Words
TW: บทนี้มีเนื้อหาที่ทำให้รู้สึกสะเทือนใจ การกระทำของตัวละครพระเอกที่เป็นผลผลิตที่มาจากการปลูกฝังความเชื่อที่บิดเบี้ยวของ NSDAP (พรรคนาซี) กรุณาใช้วิจารณญาณในการรับชม หากไม่ต้องการเจอเรื่องสะเทือนใจหรือไม่ต้องการอ่าน สามารถกดข้ามหรือไปอ่านตอนหน้าได้เลยนะครับ ผมขอย้ำเตือนว่า ไม่ว่ามนุษย์คนไหน เผ่าพันธุ์หรือเชื้อชาติใดก็ตาม ก็ไม่สมควรที่จะถูกเหยียดหยามและถูกดูหมิ่นศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ เพราะพวกเราทุกคนคือ "มนุษย์" เหมือนกัน และผู้เขียนขอประณามการกระทำอันต่ำช้าของพรรคนาซี และหากในอนาคตมีเหตุการณ์ในลักษณะนี้เกิดขึ้น ผมจะขอเป็นหนึ่งในผู้ที่ประณามการกระทำอันหยาบช้าพวกนั้น แม้ว่าจะต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม ดังที่กฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 1 แห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีได้บัญญัติเอาไว้ว่า "ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์จะละเมิดมิได้ และการคุ้มครองดูแลรักษาสิทธินั้น เป็นหน้าที่ของหน่วยงานรัฐบาลทั้งหมด" ผมขอเตือนว่า ถ้าหากคอมเมนต์ใด มีแนวโน้มหรือส่อไปในทิศทางที่จะเป็นการดูหมิ่นและละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ผมจะทำการแบนคอมเมนต์นั้นออกจากนิยายทุกเรื่องของผมที่ออกมาแล้ว และกำลังจะออกมาเป็นการถาวร และไม่รับฟังคำแก้ตัวใดๆ ทั้งสิ้น ขอให้อ่านอย่างมีสติและใช้วิจารณญาณกันนะครับ ย้อนกลับไปก่อนหน้าที่นาซีเยอรมนีจะได้ทำการรุกรานสหภาพโซเวียต พวกเขาได้ทำกติกาสัญญาไตรภาคีร่วมกับอีกสองชาติอันได้แก่ อิตาลีและจักรวรรดิญี่ปุ่น ในปี 1940 สนธิสัญญาที่เป็นการสัญญาว่าพวกเขาจะร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามแต่ นั่นทำให้พวกเขามีศัตรูร่วมกันคือ ‘ฝ่ายสัมพันธมิตร’ ที่ ณ ตอนนั้นนำทัพโดยสหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสเสรี (ฝรั่งเศส ณ ขณะนั้นถูกแบ่งเป็นสองฝั่ง ฝั่งหนึ่งคือฝรั่งเศสเสรีที่อยู่ฝ่ายสัมพันธมิตร และอีกฝั่งหนึ่งคือวิชีฝรั่งเศสที่อยู่ภายใต้การควบคุมของนาซีเยอรมนี) แต่ก่อนที่กองทัพเยอรมันจะพ่ายแพ้ต่อกองทัพแดงในการทัพที่มอสโควในช่วงเดือนมกราคม 1942 ย้อนกลับไปในช่วงเดือนธันวาคม 1941 ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญที่อาจจะทำให้สถานการณ์ของฝ่ายสัมพันธมิตรกลับมาได้เปรียบอีกครั้ง เมื่อจักรวรรดิญี่ปุ่นได้ส่งกองเรือรบที่ประกอบไปด้วยกองเรือบรรทุกเครื่องบินพร้อมฝูงเครื่องบินขนาดใหญ่และกองเรือรบคุ้มกันที่มีนามว่า ‘คิโดบูไต’ ไปโจมตีอ่าวเพิร์ลฮาร์เบอร์ ณ มลรัฐฮาวายของสหรัฐอเมริกา มันเป็นการโจมตีสายฟ้าแลบที่ไม่มีแม้แต่คำเตือนหรือการประกาศสงครามก่อน เพราะ ณ ขณะนั้น สหรัฐอเมริกาวางตัวเป็นการต่อสถานการณ์ทางการเมืองโลก การโจมตีนั้นมีการสูญเสียชีวิตนับพันชีวิต ความเสียหายที่ยากเกินจะประมาณเป็นมูลค่าความเสียหายได้ สหรัฐอเมริกาภายหลังการโจมตีได้ผ่านพ้นไป พวกเขาสูญเสียกองเรือประจัญบานทั้งหมดในแปซิฟิค และเรือชนิดต่างๆ ที่กำลังเทียบท่าอยู่ ณ อ่าวเพิร์ลฮาร์เบอร์ได้รับความเสียหายอย่างหนัก โดยเฉพาะ USS ARIZONA ที่เป็นเสมือนเรือธงและความภาคภูมิใจของสหรัฐอเมริกา เรือได้จมลงใต้ท้องทะเลพร้อมลูกเรืออีกนับพันชีวิต เคราะห์ยังดีที่เรือบรรทุกเครื่องบินของสหรัฐทุกลำ ณ ขณะนั้นต่างอยู่ในระหว่างการทำภารกิจนอกอ่าวเพิร์ลฮาร์เบอร์ และบางลำก็กำลังปฏิบัติงานที่มหาสมุทรแอตแลนติก พวกมันทั้งหมดจึงปลอดภัยจากการโจมตี สหรัฐอเมริกาโกรธแค้นญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก พวกเขาประกาศสงครามกับจักรวรรดิญี่ปุ่นในวันถัดมาทันที (8 ธันวาคม 1941) และตามกติกาสัญญาไตรภาคีแล้ว นาซีเยอรมนีภายใต้การนำของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ จึงได้ประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกาไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ จากชาติที่ประกาศและวางตนเป็นกลาง สู่ชนชาติที่กระหายที่จะแก้แค้นแทนเหล่าเพื่อนพ้องที่ต้องตกเป็นเหยื่อให้แก่คมกระสุนของพวกญี่ปุ่น บัดนี้ พวกเขาได้เข้าร่วมสงครามแล้ว สายลมแห่งความเปลี่ยนแปลงได้เริ่มพัดพาเข้าสู่สนามรบอีกครั้ง และมันนำมาซึ่งแววของหายนะของไรช์ที่สาม หลังจากที่กองทัพของนาซีเยอรมันปราชัยต่อสหภาพโซเวียตในการทัพที่กรุงมอสโคว หลังจากนั้นอีกเพียงไม่กี่เดือน ในเดือนพฤษภาคม 1942 สหรัฐอเมริกาได้ยาตราทัพยกพลขึ้นบกที่แอฟริกาเหนือ แม้นาซีเยอรมนีจะยังโชคดีที่พวกเขามีผู้บัญชาการสมองเพชรที่หาตัวจับได้ยากอย่าง พลเอกอาวุโส แอร์วิน รอมเมล เป็นผู้นำกองทัพน้อยแอฟริกันในการต่อกรกับฝ่ายสัมพันธมิตร รอมเมลทำศึกกับพวกอังกฤษมาอย่างยาวนานจนรู้สภาพของสนามรบที่พวกเขากำลังทำศึกอยู่เป็นอย่างดี และนั่นเป็นข้อได้เปรียบของกองทัพเยอรมันต่อกองทัพอเมริกันที่ยังใหม่ต่อสนามรบ รอมเมลได้นำกองทัพเยอรมันเข้าทำการรบกับสหรัฐอเมริกา เขาสามารถทำลายกองทัพอเมริกันลงได้ที่ศึกช่องเขาแคสเซอรีน พาส แต่ตัวของรอมเมลเองก็รู้ดีว่านี่เป็นเพียงการเตะขาถ่วงให้พ่ายแพ้ช้าลงไปเท่านั้น เพราะเขารู้ดีว่าพวกอเมริกันจะกลับมาอีกครั้ง พร้อมสภาพกำลังพลที่สดใหม่ ขวัญกำลังใจเต็มเปี่ยม และยุทธปัจจัยในการทำสงครามที่ดีกว่า ซึ่งตรงข้ามกับกองทัพเยอรมันที่ทุกอย่างมีแต่จะแย่ลงและแย่ลง ทั้งการขาดยุทธปัจจัยในการทำสงคราม ขาดแคลนกำลังพล อันเนื่องมาจากสมรภูมิแอฟริกาเหนือไม่ได้รับความสนใจจากทางเบอร์ลินมากนัก แต่ถึงกระนั้น กองทัพน้อยแอฟริกันของเยอรมันภายใต้การนำของรอมเมลก็ยังคงแสดงความร้ายกาจออกมาได้อยู่ดี พวกเขายังคงไม่สิ้นฤทธิ์ และยังคงสร้างปัญหาให้กับฝ่ายสัมพันธมิตรอยู่เสมอๆ กองทัพเยอรมันรบในทุกๆ ที่ไม่ว่าจะเป็นบนผืนดินอันกว้างใหญ่ไพศาล การทำสงครามในทะเลใต้ผืนน้ำสีคราม ยุทธเวหาเหนือน่านฟ้าอันกว้างไกล บัดนี้ในช่วงกลางปี 1942 นาซีเยอรมนีกำลังทะเยอทะยานมาจนถึงขีดสุด ฝ่ายสัมพันธมิตรแม้จะได้กำลังเสริมมาใหม่จากสหรัฐอเมริกา แต่เนื่องจากพวกเขายังคงขาดประสบการณ์ในหลายๆ ด้าน จนทำให้ในบางครั้งพวกเขากลายเป็นฝ่ายปราชัยในหลายๆ สมรภูมิ สายลมแห่งความเปลี่ยนแปลงระลอกที่สามได้พัดพามาสู่ไรช์ที่สาม เมื่อกองเรือขนส่งสินค้าขนาดมหึมาได้แล่นข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกจากสหรัฐอเมริกามาสู่เกาะบริเตนใหญ่ พวกมันมาพร้อมกับทรัพยากรในการทำสงครามที่มากมายมหาศาลจนเยอรมนีเทียบไม่ติด แต่เนื่องจากกองเรือพวกนี้เป็นเพียงกองเรือบรรทุกสินค้า ในบางครั้งพวกเขาจึงไม่มีอาวุธที่ใช้ปกป้องตัวเองจากเรือดำน้ำของเยอรมนี และเนื่องจากเรือรบคุ้มกันนั้นมีจำนวนน้อยและการคุ้มกันทางอากาศนั้นสามารถทำได้แค่เฉพาะบริเวณใกล้กับแผ่นดินที่มีฐานบินเท่านั้น เพราะอย่างนั้นแล้ว เวลาที่กองเรือบรรทุกสินค้าเหล่านี้แล่นผ่านมหาสมุทรแอตแลนติก กองเรือบรรทุกสินค้าเหล่านี้จำเป็นที่จะต้อง ‘พึ่งตัวเอง’ และส่วนมากมักจะตกเป็นเหยื่ออันโอชะของฝ่ายเยอรมนี ที่ใช้รูปแบบการโจมตีโดยใช้เรือดำน้ำด้วยยุทธวิธี ‘ฝูงหมาป่า’ ที่จะเอาเรือดำน้ำหลายๆ ลำ มารุมบดขยี้กองเรือที่ไร้การป้องกันเหล่านี้ แต่ถึงกระนั้น เรือบรรทุกสินค้าก็ยังมีจำนวนมากและสินค้าจำนวนมหาศาลจากสหรัฐอเมริกาก็ยังคงไปถึงสหราชอาณาจักรได้อยู่ดี จนฝ่ายเยอรมันถึงกับสบถว่า “พวกอเมริกันมันต่อเรือเร็วกว่าที่พวกเราผลิตตอร์ปิโดเสียอีก” กงล้อหายนะของไรช์ที่สามได้เริ่มหมุนอย่างช้าๆ และไม่มีทางที่จะหยุดมันได้เลย . ทางด้านเฟลิเซียและยาคอปนั้น พวกเขาต้องอกสั่นขวัญแขวนกันอยู่บ่อยครั้ง เนื่องจากฝ่ายสัมพันธมิตรเริ่มมีการระดมทิ้งระเบิดถี่ขึ้นในช่วงเดือนที่ผ่านมา และเมืองดอร์ทมุนด์คือหนึ่งในเป้าหมายทางยุทธวิธีของฝ่ายสัมพันธมิตร อันเนื่องมาจากเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ตั้งของโรงงานผลิตน้ำมันสังเคราะห์ของเยอรมนี ส่วนสถานการณ์ภายในเยอรมนีนั้นถึงขั้นที่การสังหารชาวยิวและผู้ที่อารยะขัดขืนในที่สาธารณะนั้นเป็นเรื่องปกติที่เห็นได้จนชาชินตา ชาวยิวบางส่วนถูกสังหารและโยนศพทิ้งเหมือนหมูเหมือนหมา บางส่วนถูกส่งไปใช้แรงงานหนัก หรือบางส่วนก็ถูกส่งไปค่ายกักกันมรณะ อันจะเป็นจุดจบของพวกเขาอย่างไม่มีทางเลี่ยงได้ ยาคอปได้ตั้งกลุ่มเด็กๆ ที่รวบรวมเพื่อนของเขาที่โรงเรียนเอาไว้ราวๆ 6-7 คน อาศัยความชำนาญในพื้นที่และตัวอาคารบ้านเรือน เพื่อออกค้นหาสถานที่ซ่อนตัวของชาวยิว และนำไปแจ้งแก่หน่วยเกสตาโป ชาวยิวที่ต้องเดินทางไปสู่ความตายเพราะกลุ่มของยาคอปนั้นมีจำนวนราวๆ 30-40 คนเลยทีเดียว และในวันนี้ ยาคอปเองก็พึ่งจะพบที่ซ่อนตัวของชาวยิวสองแม่ลูกที่พวกเขาซ่อนตัวอยู่ในบ้านร้างหลังหนึ่งนอกชานเมืองดอร์ทมุนด์ ยาคอปรีบนำข่าวนี้ไปแจ้งแก่เจ้าหน้าที่เกสตาโปในทันที ไม่นานนักพวกเขาทั้งคู่ก็ถูกจับกุม และถูกประหารชีวิตต่อหน้าสาธารณชน “พวกแกน่ะ ตายไปได้ซะก็ดี!! ไอ้พวกยิวสารเลว ฮ่าๆๆ” ยาคอปพูดราวกับว่าจงเกลียดจงชังสองแม่ลูกคู่นั้นมานานแสนนาน และเมื่อสิ้นเสียงของยาคอป เจ้าหน้าที่เกสตาโปก็ลั่นไกสังหารผู้เป็นลูกชายในทันที ผู้เป็นแม่เมื่อเห็นผู้เป็นลูกสิ้นลมหายใจไปต่อหน้าต่อตา เธอรีบตรงเข้าไปกอดลูกชายของเธอในทันที ก่อนจะร้องไห้ออกมา “ฉันทำผิดอะไร…ทำไม…ทำไมต้องฆ่าพวกเราด้วย…” หญิงสาวร่ำไห้ราวกับจะขาดใจ “เพราะแกเป็นเผ่าพันธุ์ที่ไม่ควรจะมีชีวิตอยู่ยังไงล่ะ!” ยาคอปพูด พร้อมกับถุยน้ำลายลงบนศพลูกชายของเธอ “ทำไม…ทำไมเธอถึงได้ร้ายกาจขนาดนี้กั…” ก่อนที่หญิงสาวชาวยิวจะพูดจบ กระสุนมรณะของเจ้าหน้าที่เกสตาโปก็ได้ปลิดชีพเธอไป ยาคอปยิ้มหัวเราะร่า เมื่อเห็นคนตายต่อหน้าต่อตา เขาไม่สะทกสะท้านใดๆ เพราะพวกมันคือเผ่าพันธุ์ที่เขาจงเกลียดจงชังมากที่สุด เขาได้รับคำชมจากเจ้าหน้าที่เกสตาโปในการเป็นหูเป็นตาให้กับทางราชการ แม้อายุของเขาจะเพียง 12 ปีเท่านั้น และแน่นอนว่า เฟลิเซียก็อยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย เฟลิเซียเก็บความรู้สึกผิดต่อแม่ลูกคู่นั้นและชาวยิวทุกคนเอาไว้อยู่เต็มอก เธอรู้ดีว่าในฐานะแม่ของยาคอปแล้ว แม้จะสังเวยด้วยชีวิตก็ไม่มีทางที่จะขอโทษผู้ที่ตายไปด้วยน้ำมือของลูกชายเธอได้ หญิงสาวเขียนจดหมายถึงโทมัสที่กำลังทำการรบอยู่ที่แนวหน้าในดินแดนของสหภาพโซเวียต “ถึงโทมัส, มีชาวยิวสองคนถูกสังหารในวันนี้ และย็อคคือสาเหตุที่ทำให้พวกเขาต้องตาย ถ้ารู้แบบนี้ ฉันคงจะฆ่าไอ้ปีศาจนั่นตั้งแต่วันที่คลอดออกมาไปแล้ว ด้วยรัก เฟลิเซีย” เป็นครั้งแรกที่เฟลิเซียเรียกลูกชายของตัวเองว่า ‘ปีศาจ’ ก่อนที่เธอจะส่งจดหมายไปหาสามี . 16 มิถุนายน 1942, แนวรบด้านตะวันออกในสหภาพโซเวียต จดหมายถูกส่งมาถึงโทมัส เขารีบเปิดจดหมายดูในทันทีเพื่อคลายความคิดถึง และเมื่อเขาเปิดอ่านมัน เขาถึงกับช็อกไปเลย และเป็นจังหวะเดียวกันกับที่พวกกองทัพแดงปูพรมเปิดฉากถล่มที่มั่นของกองร้อยของโทมัสด้วยจรวดหลายลำกล้อง และตามมาด้วยคลื่นมนุษย์ที่พร้อมจะบดขยี้ทุกสิ่ง การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือด แต่ด้วยสภาพจิตใจที่ไม่เต็มร้อย ทำให้โทมัสพลาดท่าถูกทหารโซเวียตฟาดศีรษะด้วยพานท้ายปืน จนเขาล้มลง “Умереть!! (ตายซะ!!)” ทหารโซเวียตเงื้อมีดกำลังจะแทงโทมัสที่ไร้ทางป้องกัน “หัวหน้า!!” สิบเอกชิลเลอร์ตะโกน พร้อมกับกระโจนออกมาจากที่กำบัง ก่อนจะลั่นไกปืนยิงทหารโซเวียตรายนั้นทันที ทหารโซเวียตนั้นล้มลงสิ้นใจตาย ก่อนที่ชิลเลอร์จะวิ่งเข้าไปดูอาการของโทมัสในทันที โทมัสรู้สึกเจ็บที่ศีรษะเล็กน้อยเท่านั้น และยังคงมึนงงกับสถานการณ์ตรงหน้า กองทัพเยอรมันขับไล่ทหารโซเวียตได้อีกครั้ง แต่แนวรบก็ได้รับความเสียหายอย่างหนัก กองร้อยของโทมัสเป็นหนึ่งในกองร้อยที่ถูกถอดออกจากแนวรบ เนื่องจากกำลังพลนั้นเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมากจนไม่สามารถทำการรบต่อไปได้ และถูกส่งไปปรับกำลังใหม่ในโปแลนด์ ‘นี่ฉันทำอะไรลงไป…ทำไมลูกฉันถึงได้กลายเป็นปีศาจกัน…’ โทมัสคิดอยู่แบบนั้นวนในหัวตลอดเวลา หลังจากปรับกำลังครบตามกำหนด ก็ได้เวลาที่พวกเขาจะต้องถูกส่งกลับไปแนวหน้าอีกครั้ง . 20 สิงหาคม 1942, หมู่บ้านแห่งหนึ่งทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองคาร์คอฟ, สหภาพโซเวียต กองร้อยของโทมัสนั้นถูกส่งไปประจำการอยู่ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง เพื่อคอยป้องกันแนวรบของกองทัพเยอรมัน และสนับสนุนกลุ่มกองทัพเยอรมันที่กำลังรุกไปยึดเมืองสตาลินกราด ซึ่งเป็นหนึ่งในหมุดหมายของปฏิบัติการคุ้มกันกลุ่มกองทัพที่จะรุกไปยังเทือกเขาคอเคซัสเพื่อยึดแหล่งน้ำมันของสหภาพโซเวียตมาเป็นของตน สำหรับกองร้อยขนาดเล็กที่ขีดความสามารถในการรบไม่สูงมาก ภารกิจนี้จึงสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะถ้าหากพวกเขาถูกตีแตก แนวรบจะมีรอยรั่ว และเส้นทางขนส่งเสบียงก็จะถูกตัดขาด และมันหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่กลุ่มกองทัพ A และ B ก็จะพลอยเดือดร้อนไปด้วย เพราะอย่างนั้นแล้ว งานนี้กองร้อยของโทมัสจะพลาดไม่ได้อย่างเด็ดขาด ต่อให้พวกเขาจะต้องรบแบบถวายชีวิตเพื่อป้องกันที่มั่นก็ตาม…
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD