โทมัสเดินทางมาถึงประเทศฝรั่งเศสในวันที่ 20 มีนาคม 1944 เขาจำเป็นต้องเปลี่ยนรถไฟที่สถานีปารีส เพื่อต่อรถไปยังนอร์มังดี อันเป็นจุดหมายปลายทางของเขา
โทมัสตรวจเช็คเอกสารทุกอย่างที่จำเป็นในขณะที่นั่งทานขนมปังเป็นมื้อเช้าบริเวณชานชาลา ก่อนที่ไม่นานรถไฟขบวนที่เขาจะต้องโดยสารก็มาถึง
บนรถไฟ ทุกอย่างปกติเรียบร้อยดี โทมัสส่งตั๋วให้แก่พนักงานเพื่อตรวจเช็คสถานีปลายทางที่เขาจะต้องลง หลังจากเสร็จในส่วนนั้นแล้ว นายทหารหนุ่มก็ถือโอกาสงีบพักเอาแรงสักเล็กน้อย เพราะรู้สึกว่าอาหารที่ทานเข้าไปจะทำให้หนังตาของเขาเริ่มหย่อน
รถไฟพาโทมัสมาถึงนอร์มังดีในช่วงบ่ายแก่ๆ หลังจากออกจากสถานีก็พบกับทหารนายหนึ่งมายืนต้อนรับเขาอยู่
“สวัสดีครับท่านพันตรี ผมมีชื่อว่าเฮ็ลมุท อัลเฟนชไตน์ ยินดีที่ได้รู้จักครับท่าน!”
เฮ็ลมุทกล่าวอย่างกระตือรือร้น
“ยินดีที่ได้รู้จักเฮ็ลมุท ผมชื่อว่าโทมัส…โทมัส ฮอฟมัน ผมได้รับคำสั่งให้มาประจำการในกรมทหารราบที่ 1049 ของกองพลทหารราบที่ 77”
โทมัสพูด
“ทางนี้เลยครับท่าน ผมจะนำท่านไปยังที่ตั้งของกองพลเองครับ”
เฮ็ลมุทกล่าวกับโทมัส พร้อมกับเชิญให้เขาขึ้นรถ
ทั้งสองขับรถไปตามทางระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตร ก็พบกับสถานที่ที่กองพลใช้เป็นอาคารบัญชาการ
โทมัสเข้าไปรายงานตัวต่อผู้บังคับบัญชาของกรมทหารราบ เขาชี้แจงหน้าที่และประวัติของกองพลให้โทมัสฟังอย่างคร่าวๆ
กองพลทหารราบที่ 77 ถูกก่อตั้งขึ้นมาช่วงปลายปี 1943 โดยเกิดจากการยุบรวมกันของกองพลทหารราบที่ 355 และ 364 ที่สูญเสียอย่างหนักจากการรบในสหภาพโซเวียต
กองพลนี้มีหน้าที่ดูแลรักษาการณ์พื้นที่ชายฝั่งและบริเวณโดยรอบของเมืองก็องร่วมกับกองพลทหารราบที่ 352 ซึ่งกองพลทหารราบที่ 77 พึ่งถูกส่งมายังพื้นที่นี้เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา
“หน้าที่ของคุณคือดูแลพื้นที่ทางทิศตะวันตกของเมือง ปกป้องตัวสนามบิน มีเพียงเท่านี้ มีคำถามไหม?”
ผู้บังคับบัญชาของโทมัสสรุปให้เขาฟัง
“ไม่มีครับท่าน!”
โทมัสขานรับเสียงหนักแน่น
“ดีมาก คุณพึ่งเดินทางมาเหนื่อยๆ ไปพักผ่อนก่อนเถอะ”
ผู้บังคับบัญชาโบกปัดมือให้โทมัสไปพักผ่อน ซึ่งตัวของเขาก็ทำความเคารพ ก่อนจะปลีกตัวออกจากห้อง
เฮ็ลมุทที่นั่งคอยอยู่จึงพาเขาไปยังอาคารที่ใช้เป็นที่พักสำหรับนายทหารระดับบัญชาการ พร้อมกับชี้ไปทางที่ที่ทหารในกรมทหารอาศัยอยู่
“เลยหัวโค้งตรงนั้นไป ท่านจะพบกับทหารในกองร้อยทุกกองร้อยของกรมทหารราบที่ 1049 ครับท่าน พวกเขาจะถูกเรียกรวมพลทุกเช้าตอน 09.00 นาฬิกา ถ้าหากท่านอยากชมการฝึกก็สามารถไปได้นะครับ”
เฮ็ลมุทกล่าวกับโทมัส
“ขอบใจนะ”
โทมัสพูดขอบใจ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้อง และจัดการเอาทุกอย่างในถุงมาวางไว้ให้เป็นระเบียบ เพราะเขาไม่รู้ว่าจะได้กลับบ้านที่เยอรมนีอีกครั้งเมื่อใด เพราะอย่างนั้นแล้ว ที่แห่งนี้ก็เปรียบเสมือนกับบ้านหลังที่สองของเขา เขาต้องทำตัวให้ชินเข้าไว้
โทมัสทิ้งตัวลงบนที่นอนหยาบๆ ก่อนจะผล็อยหลับไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางตลอดหลายวัน
.
โทมัสรู้สึกตัวอีกทีในตอนเช้ามืด เขายกนาฬิกาที่พกประจำตัวดูก็พบว่ามันเป็นเวลา 04.00 นาฬิกา ยังคงอีกนานกว่าที่จะถึงเวลาเรียกรวมพลของกรมทหาร
แต่โทมัสรู้ดีว่าในสภาวะสงครามแบบนี้ อะไรก็เกิดขึ้นได้ เพราะอย่างนั้นแล้ว การเตรียมตัวไว้แต่เนิ่นๆ ย่อมดีกว่าเสมอ…
หลังจากอาบน้ำและเปลี่ยนชุดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โทมัสก็ตรงไปยังโรงนอนของพวกทหารในกรมทหารราบที่ 1049 ทหารเวรจึงเรียกขานรหัสกับเขา พร้อมกับตั้งท่าเตรียมพร้อมหากว่าคนตรงหน้าคือศัตรู
“สายฟ้า!”
“นกอินทรี!”
โทมัสตะโกนตอบกลับไป
เมื่อรหัสผ่านถูกต้อง ทหารเวรจึงลดอาวุธลง เมื่อโทมัสเดินเข้าไปใกล้ ทหารเวรสองนายที่รักษาการณ์อยู่จึงทำความเคารพเขาด้วยท่าวันทยาวุธ เพราะเห็นว่าโทมัสมียศที่สูงกว่าตนเอง
“เยี่ยมมาก! ไหนรายงานมาหน่อย ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง?”
โทมัสพูดยิ้มๆ เมื่อพบว่าทหารในกรมทหารราบนี้มีวินัยที่ยอดเยี่ยม
“กระผมพลทหารไรช์มันน์ ฮอฟชไตน์ ปฏิบัติหน้าที่เวรรักษาการณ์ประจำอาคารนอนแห่งที่ 1 ของกองร้อย A ตั้งแต่เวลา 04.00-06.00 นาฬิกา ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ เหตุการณ์ปกติครับ!!”
ไรช์มันน์รายงานเวรต่อโทมัส
“สิบเวรอยู่ไหม?”
โทมัสถามไรช์มันน์
“อยู่ครับท่าน!”
ไรช์มันน์ตอบเสียงฉะฉาน
“ไปตามเขามาหาฉันหน่อย ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย!”
โทมัสพูด
ไรช์มันน์จึงทำความเคารพ ก่อนจะวิ่งหายไปที่มุมของอาคาร
ระหว่างนั้น โทมัสจึงคุยเล่นกับทหารอีกนายที่ยืนรักษาการณ์คู่กับไรช์มันน์ เพื่อถามถึงสภาพโดยรวมของเหล่าทหารและขวัญกำลังใจต่างๆ
เพราะโทมัสรู้ดีว่าทหารที่พ่งผ่านศึกสงครามครั้งใหญ่มาและประสบกับความพ่ายแพ้ ขวัญกำลังใจจะลดลง ซึ่งเขาไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้นกับกรมทหารราบแห่งนี้ เพราะพื้นที่นี้อยู่ใกล้กับพวกสัมพันธมิตร การจะประสบพบเจอหรือต้องตามไล่ล่าพวกมันจึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกอะไร อีกทั้งยังคงมีกลุ่มต่อต้านอีก พวกเขาจึงต้องทำตัวให้เข้มแข็งและพร้อมอยู่เสมอๆ
คอยอยู่ไม่นาน ไรช์มันน์ก็เดินกลับมาพร้อมสิบเวรที่ดูสภาพแล้วเหมือนพึ่งจะตื่นนอน โทมัสที่เห็นแบบนั้นจึงรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยที่สิบเวรแอบหลับแบบนี้
“ฉันขอยืมนกหวีดของนายหน่อย!”
โทมัสเอ่ยปากขอนกหวีดจากสิบเวร
“นี่ครับท่าน!”
สิบเวรคนดังกล่าวยื่นให้โทมัส
“ดีมาก! ทีนี้ข้อหาที่นายแอบหลับ…ดันพื้นท่าเตรียม!”
โทมัสสั่งสิบเวร
“!!!”
สิบเวรรีบทำตามอย่างรีบร้อน
“40 ครั้ง!”
“40 ครั้ง!”
“เสียงเบาไป 50 ครั้ง!”
“50 ครั้ง!”
“ปฏิบัติ!!”
สิ้นเสียงของโทมัส สิบเวรก็เริ่มดันพื้นในทันที
ก่อนที่โทมัสจะเดินเปิดประตูเข้าไปในอาคารที่พักของกองร้อย A ซึ่งทหารของกองร้อยกำลังนอนหลับอย่างสงบสุขอยู่
‘ปรี๊ดดดดดดดดดดดดด!!!’
โทมัสเป่านกหวีดสุดแรงเกิด
ทหารที่นอนหลับอยู่ทุกคนเด้งตัวขึ้นมาจากที่นอน ก่อนจะกระวีกระวาดลุกขึ้นมายืนที่ปลายเตียงทั้งๆ ที่ยังงัวเงียกันอยู่
“ใช้ได้นี่…10 วินาทีก็พร้อมกันแล้ว”
โทมัสพูดพึมพำพลางก้มมองดูนาฬิกา
“ฉันให้เวลาพวกนาย 15 นาที เตรียมตัวให้พร้อม แล้วไปเจอกันที่ลานฝึก!! ไปได้!! สิบเวร! คอยคุมพวกเขาด้วย!!”
โทมัสสั่งการอย่างฉับไว
“ทราบแล้วครับ!”
สิบเวรที่พึ่งวิดพื้นเสร็จรับทราบคำสั่ง
ก่อนที่โทมัสจะเดินไปปลุกทหารในกองร้อยใกล้เคียงทั้งหมดที่อยู่ในความดูแลของเขา
.
ทหารทุกนายในชุดเครื่องแบบพร้อมออกรบยืนเข้าแถวกันเป็นระเบียบที่ลานฝึก โทมัสมองดูพวกเขาอย่างชื่นชม เพราะสมกับเป็นทหารที่ถูกฝึกมาเป็นอย่างดีและผ่านสมรภูมิที่โชกโชนมาแล้ว
“เราจะฝึกให้หนักขึ้นและหนักขึ้น เพื่อพร้อมรับทุกสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น ทราบไม่ทราบ?!”
โทมัสตะโกนคุยกับทหารทั้งหมด
““““ทราบครับ!!!””””
ทหารทุกนายขานรับโดยพร้อมเพรียงกัน
ก่อนที่โทมัสจะเริ่มฝึกทหารให้พร้อมรับกับสถานการณ์ที่ยากโหดหิน ทั้งวิ่งท่ามกลางอากาศหนาวในตอนเช้าตรู่ ออกกำลังกาย วิ่งพร้อมแบกสัมภาระ ฝึกรบตัวต่อตัวในระยะประชิด การวางแผนเข้าตี การตั้งรับ ประสบการณ์การรบทั้งหมดที่โทมัสเคยผ่านมาในดินแดนอันหนาวเย็นของสหภาพโซเวียตถูกถ่ายทอดให้กับทหารหน้าเก่าและหน้าใหม่ทั้งสิ้น
มีบางครั้งที่พวกเขาต้องออกไปทำภารกิจไล่ล่าพวกกองกำลังต่อต้านที่เคลื่อนไหวในเมืองก็อง กองกำลังต่อต้านนั้นทำลายคลังอาวุธและยุทโธปกรณ์ต่างๆ ของกองทัพเยอรมันไปมากมายมหาศาล
โทมัสไม่สามารถตามพวกเขาออกไปเหมือนกับแต่ก่อนสมัยที่ยังเป็นร้อยเอกอยู่ได้ เพราะในตอนนี้เขาคือพันตรี ที่ต้องทำงานอยู่ในแนวหลัง ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของตัวเขาเอง
สงครามกับกองกำลังต่อต้านยังคงดำเนินไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีจุดจบ และมันสร้างความหงุดหงิดให้กับโทมัสเป็นอย่างมาก และเมื่อเข้าใกล้ช่วงเดือนมิถุนายน มันก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นไปอีก แต่ไม่มีใครทราบว่าเพราะอะไร?
ทุกครั้งที่จับหนึ่งในพวกมันมาได้ก็ไม่สามารถที่จะรีดความลับอะไรได้เลย เพราะพวกมันเลือกที่จะปิดปากงียบ แม้จะใช้ไม้อ่อนพูดคุยดีๆ หรือไม้แข็งในการบีบบังคับให้พูด มันก็ไม่ได้ผล
ทุกอย่างดำเนินไปแบบที่ชวนให้หงุดหงิด และการรบขั้นชี้ขาดก็มาถึง เมื่อทั่วทั้งนอร์มังดีเกิดเหตุจลาจล มีการลอบวางระเบิดฐานของกองทัพเยอรมันในหลายๆ จุด ทหารเยอรมันได้แต่มึนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น แม้กระทั่งตัวโทมัสเองก็ตาม เขาตั้งคำถามกับสิ่งที่เกิดขึ้นแบบฉับพลันนี้
แต่ความสงสัยก็คงอยู่ได้ไม่นาน…
.
6 มิถุนายน 1944 เวลา 00.00 นาฬิกา, นอร์มังดี, ฝรั่งเศส
เครื่องบินนับร้อยลำส่งเสียงดังกระหึ่มบินว่อนอยู่เหนือน่านฟ้านอร์มังดี พื้นที่ยึดครองของฝ่ายเยอรมัน บัดนี้กองทัพเยอรมันได้รู้แจ้งแล้วว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อหลายวันก่อนเป็นเพียงการโหมโรงการบุกของฝ่ายสัมพันธมิตร
ทหารของกองกำลังส่งทางอากาศของฝ่ายสัมพันธมิตรนับร้อยนับพันคนกระโดดร่มออกมาจากเครื่องบิน มีบางลำที่ถูกยิงตก บางลำทหารฝ่ายสัมพันธมิตรถูกย่างทั้งเป็นภายในเครื่องจากกระสุนต่อต้านอากาศยานที่กระทบโดนตัวเครื่องบิน
โทมัสที่อยู่ที่พื้นเบื้องล่างได้ออกคำสั่งให้ทหารในบังคับบัญชาออกไล่ล่าฝ่ายสัมพันธมิตรที่กระโดดร่มลงมา และทำการป้องกันเส้นทางทุกทางที่จะนำไปสู่ชายหาด
โทมัสคาดการณ์ว่าพวกเขาทั้งหมดมีจุดประสงค์อยู่ที่การยึดครองชายหาด และพื้นที่ทางยุทธศาสตร์ต่างๆ รวมไปถึงเมืองก็อง เมืองที่ใหญ่ที่สุดในบริเวณนี้ ที่กองพลทหารราบที่โทมัสประจำการอยู่รับผิดชอบในการดูแล
ข่าวร้ายสำหรับกองทัพเยอรมันคือ มีหลายหน่วยของกองทัพเยอรมันในหลายพื้นที่ถูกตีแตก ทหารพลร่มพวกนี้มีฝีไม้ลายมือในการต่อสู้กับทหารเยอรมัน และบางหน่วยก็เก็บกดความแค้นที่มีต่อเยอรมันเอาไว้อยู่เต็มอก
“ขอกำลังเสริมในเซกเตอร์ A ใกล้ชายหาดด้วย!!”
“ขอกำลังสนับสนุน เอายานเกราะมาเลย!!”
“ใครก็ได้ พวกมันอยู่เต็มไปหมดเลย เราต้องกำจัดพวกมัน!”
“ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!”
เสียงคลื่นวิทยุของทหารเยอรมันนั้นตีกันมั่วไปหมด จากความสับสนวุ่นวายที่เกิดขึ้นแบบฉับพลัน มันมีทั้งเสียงตะโกน เสียงกรีดร้อง เสียงปืนที่ดังระงมเป็นฉากหลัง
“รักษาระเบียบในการใช้วิทยุสื่อสารหน่อยสิวะ ไอ้พวกงั่งเอ้ย!!”
โทมัสตะโกนอย่างหัวเสียใส่วิทยุ
มันค่อนข้างน่าปวดหัวที่ฟังอะไรไม่รู้เรื่องเลยในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้
แต่การตะโกนของโทมัสก็ไร้ค่า ทหารเยอรมันยังคงตื่นตระหนกกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นต่อไป และดูเหมือนว่าสถานการณ์ทุกอย่างจะเลวร้ายลงไปอีก เมื่อพวกสัมพันธมิตรที่กระโดดร่มลงมาจะสถาปนาแนวรบขนาดย่อมขึ้นมาได้แล้วในช่วงใกล้รุ่งสาง
กองทัพเยอรมันในพื้นที่พยายามที่จะขับไล่พวกสัมพันธมิตรให้ถอยร่นกลับไป แต่พวกเขานั้นรบแบบถวายหัวเพื่อรักษาแนวรบของตัวเอง จนกองทัพเยอรมันต้องหยุดชะงัก
6 มิถุนายน 1944 เวลา 06.00 นาฬิกา, นอร์มังดี, ฝรั่งเศส
เสียงปะทุของปืนขนาดใหญ่ พร้อมกับเสียงแหวกอากาศของลูกกระสุน ก่อนมันจะตกกระทบเป้าหมายที่บริเวณชายหาดเป็นเสียงระเบิดขนาดใหญ่ ก่อนจะตามมาด้วยอีกหลายสิบนัด
โทมัสที่ควบคุมทหารในกองพันอยู่นั้น เขาได้ยินเสียงหนึ่งที่ดังขึ้นมาท่ามกลางความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในคลื่นวิทยุ
“ในทะเล! ในทะเลมีเรือเต็มเลย!”
โทมัสจึงรู้ได้ในทันทีว่า การก่อวินาศกรรมในพื้นที่และเหตุการณ์เมื่อคืนอันสับสนที่วุ่นวายนั้นเป็นเพียงแค่การโหมโรงก่อนการรบที่ดุเดือดที่สุด
กองกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรเรือนแสนคน มุ่งหน้าเข้าสู่พื้นที่รักษาการณ์ของฝ่ายเยอรมันด้วยเรือลำเลียงพล และมีการคุ้มกันจากเรือรบและเครื่องบินที่ถล่มปูพรมแนวป้องกันชายหาดด้วยระเบิดและกระสุนปืนใหญ่ เพื่อทำลายการป้องกันของเยอรมันให้ได้มากที่สุด (วัน D-Day, การยกพลขึ้นบกที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ)
เวลา 09.00 นาฬิกา โทมัสได้รับคำสั่งจากกองพลทหารราบให้ยกกำลังเสริมไปช่วยหน่วยทหารที่ชายหาด เพราะตอนนี้พวกเขากำลังจะเพลี่ยงพล้ำจากการที่พวกสัมพันธมิตรเติมกำลังมาเรื่อยๆ และกำลังโดนกระหนาบจากด้านหลังด้วยพลร่มที่พึ่งกระโดดร่มลงมาเมื่อคืน
กองพันของโทมัสเข้าปะทะกับข้าศึกในเวลา 09.30 นาฬิกา บนถนนเส้นหนึ่งที่จะนำไปสู่ชายหาด พวกเขาเป็นหน่วยเดียวที่ขวางระหว่างกองกำลังเสริมที่มาจากเมืองก็องและกองกำลังที่มีหน้าที่รักษาชายหาด
การรบดำเนินไปอย่างดุเดือด ทหารของทั้งสองฝ่ายล้มตายไปเป็นจำนวนมากจากการปะทะที่เกิดขึ้น พลวิทยุประจำกองร้อยได้วิทยุไปขอกำลังสนับสนุนจากกองพันยานเกราะหนักที่อยู่ใกล้เคียง เพื่อตีฝ่าข้าศึกออกไปและไปสนับสนุนหน่วยที่อยู่ที่ชายหาด
กองพันยานเกราะหนักเดินทางมาถึงจุดที่กองพันของโทมัสอยู่ พร้อมกับการที่เคลื่อนพลเข้าปะทะข้าศึกที่มีเพียงปืนประจำกายและอาวุธไม่กี่อย่าง
ขณะที่มัจจุราชขนาด 80 ตันกำลังเคลื่อนที่เข้าหาทหารฝ่ายสัมพันธมิตรอยู่นั้น เทวทูตจากสวรรค์เบื้องบนก็ได้มาช่วยพวกเขา และบดขยี้ยานเกราะฝ่ายเยอรมันจนพังพินาศ
เทวทูตที่ว่าก็คือ “กระสุนปืนใหญ่จากเรือรบ”
พลร่มฝ่ายสัมพันธมิตรได้ขอการสนับสนุนจากพวกเขา ในการยิงถล่มฝ่ายเยอรมันของโทมัส ยานเกราะขนาด 80 ตัน เมื่อพบกับกระสุนปืนใหญ่จากเรือรบนานาชนิดที่ลอยลำในทะเล พวกมันก็ไม่ต่างอะไรจากเศษเหล็กวิ่งได้ และโลงศพที่พร้อมจะฝังพลขับทั้งเป็น
ทุกอย่างระเบิดกระจุยกระจายและดูสับสนวุ่นวาย ทหารเยอรมันบางคนถูกสังหารด้วยอำนาจการยิงอันทรงพลัง บางนายถูกลูกหลงได้รับบาดเจ็บสาหัส
ภายในเวลาเพียง 20 นาที แนวรบฝ่ายเยอรมันก็ถูกตีจนแตก หน่วยของโทมัสไม่สามารถเคลื่อนพลไปช่วยที่ชายหาดได้อีกต่อไป เพราะกำลังพลส่วนใหญ่ได้รับบาดเจ็บหรือไม่ก็เสียชีวิต
“ถอนกำลัง! ถอนกำลัง!”
โทมัสออกคำสั่งแก่ผู้ใต้บังคับบัญชา เพราะในตอนนี้การจะฝ่าไปช่วยหน่วยที่ชายหาดนั้นเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป หากพวกเขายังคงเผชิญกับการยิงสนับสนุนจากเรือรบแบบนี้
เวลา 11.00 นาฬิกา โทมัสได้ถอนกำลังออกจากแนวรบเพื่อสงวนกำลังไว้ทำการรบในคราวหน้า และปล่อยให้หน่วยที่รักษาการณ์ชายหาดเผชิญกับชะตากรรมที่ไม่อาจจะคาดการณ์ได้
และในตอนเย็นของวันเดียวกันที่เสียงวิทยุประจำกองร้อย A ได้ดังขึ้น มันชวนให้กองทัพเยอรมันที่ประจำในพื้นที่ประสาทเสีย และขวัญกำลังใจหดหาย
“พวกเราเสียชายหาดไปแล้ว! ย้ำ! พวกเราเสียชายหาดไปแล้ว!”