การเตรียมการของชาวเมืองเบอร์ลินนั้นค่อนข้างวุ่นวาย ชีวิตประจำวันของพวกเขาหลังจากทานอาหารเช้าที่มีอย่างจำกัดจำเขี่ยเสร็จแล้ว พวกเขาก็จำเป็นที่จะต้องออกไปใช้แรงงาน ในการปรับปรุงเมืองให้พร้อมสำหรับการทำสงคราม
มีการย้ายรถรางมาขวางถนนสายหลัก สร้างรังปืนกลเอาไว้ดักซุ่มทหารข้าศึกในทิศทางที่คาดว่าพวกเขาจะบุกเข้ามา สร้างลวดหนามป้องกันทหารราบและขุดคูดักรถถังกลางพื้นถนน
ผู้ชายบางคนที่พอจะจับอาวุธได้ก็จะถูกนำตัวไปเข้าร่วมกับกองกำลังอาสาป้องกันกรุงเบอร์ลิน ฝึกใช้อาวุธนานาชนิดเพื่อใช้ต่อกรกับทหารข้าศึก
ไม่เว้นแม้แต่เด็กๆ ที่อายุยังไม่ถึงเกณฑ์บรรลุนิติภาวะ รวมไปถึงยาคอปด้วย เพราะเขาเป็นเด็กผู้ชาย วันที่ 12 เมษายน 1945 ยาคอปถูกจับแยกจากอ้อมอกของผู้เป็นแม่อย่างเฟลิเซีย
และนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ยาคอปได้เห็นผู้เป็นแม่…
เฟลิเซียจะพยายามอ้อนวอนกับกึนเทอร์ให้เขาช่วยเหลือ แต่ชายหนุ่มก็ทำได้แค่สั่นศีรษะไปมา เขาไม่สามารถช่วยเหลือในเรื่องนี้ได้เลย เพราะมันคือกฎที่จะต้องปฏิบัติตาม ใครที่รบได้และยังรบไหว พวกเขาจะต้องจับอาวุธขึ้นสู้เท่านั้น
ยาคอปถูกส่งตัวไปที่กองกำลังอาสาป้องกันกรุงเบอร์ลิน เด็กหนุ่มเห็นสภาพของหน่วยแล้วรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน เพราะภายในหน่วยมีแต่พวกเด็กๆ ที่ดูๆ แล้วน่าจะมีอายุน้อยกว่าหรือไล่เลี่ยกับเขา
แม้จะมีพวกผู้ใหญ่ที่ดูสูงอายุกว่าพ่อของเขาอยู่จำนวนหนึ่ง แต่สภาพของพวกเขานั้นควรจะอยู่บ้านเลี้ยงหลาน มากกว่าที่จะมาจับปืนยิงต่อสู้กับข้าศึกแบบนี้
ผู้บังคับบัญชาของหน่วยเป็นทหารในกองทัพเยอรมัน เขากล่าวกับทุกคนว่า
“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อพากรุงเบอร์ลินให้รอดจากสถานการณ์วิกฤตนี้ไปให้จงได้!!”
คำพูดนี้ทำให้หลายคนฮึดสู้ขึ้นมาได้บ้าง โดยเฉพาะพวกเด็กๆ ที่ยังไม่รู้จักสงคราม พวกเขามองว่ามันน่าตื่นเต้น และรู้สึกเป็นเกียรติที่จะได้รับใช้ท่านผู้นำและประเทศชาติ
แต่นั่นไม่ใช่กับยาคอป ผู้ที่สูญเสียบุคคลสำคัญในครอบครัวไปในสงครามหลายคน เขาตระหนักและรู้ซึ้งดีว่าสงครามมันไม่ใช่สถานที่สำหรับมาเพื่อแสวงหาความสนุก
แต่ถึงกระนั้น เด็กหนุ่มก็ขัดขวางอะไรไม่ได้ เพราะในตอนนี้หากต้องการที่จะรอดชีวิตไปจากสงครามนี้ การเชื่อผู้ที่เคยมีประสบการณ์ในสงครามมาก่อน ย่อมจะเพิ่มความเป็นไปได้ที่จะรอดชีวิตให้มากขึ้น
นับตั้งแต่ถูกจับแยกออกมาจากอ้อมอกของเฟลิเซียนั้น ยาคอปไม่เคยมีความสุขอีกเลย เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองมายืนตรงนี้ทำไม? ปืนในมือนี้มันจะทำอะไรข้าศึกนับล้านๆ คนได้?
เด็กหนุ่มกลัวว่าการรบในครั้งนี้เขาอาจจะไม่รอดชีวิตกลับไปหาผู้เป็นแม่ หรือบางทีแม่ของเขาก็อาจจะจากไปในสงครามครั้งนี้ก็เป็นได้ และแบบนั้นเขาจะเหลือแค่เพียงอากึนเทอร์เท่านั้นที่พอจะพึ่งพาได้
ยาคอปมักจะแอบออกไปร้องไห้หลังจากทำกิจวัตรที่ทางหน่วยออกคำสั่งให้ทำเสร็จแล้ว ในขณะที่เด็กๆ คนอื่นกำลังตื่นเต้นที่จะได้เข้าร่วมสงคราม แต่เด็กหนุ่มรู้สึกกลัวทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัว
ปืนที่อยู่ในมือของเขา เมื่อถึงเวลามันจะต้องยิงลูกกระสุนออกไปสังหารคนที่ถูกเรียกว่าข้าศึก แม้จะถูกพร่ำสอนมาว่าพวกเขาคือชนชาติที่ต่ำกว่าอารยัน การสังหารพวกเขาไม่ต่างจากการสังหารสัตว์ แต่ภายในใจของยาคอปกลับละทิ้งพวกมันไปจนหมดสิ้น สิ่งเดียวที่อยู่ภายในใจของเด็กหนุ่มตอนนี้มีเพียงคำสอนของผู้เป็นพ่อเท่านั้น
‘สงครามมันไม่ได้น่าพิสมัยหรอกนะลูก วันไหนลูกเกิดสำนึกได้ วันนั้นพ่อกับแม่อาจจะไม่ได้อยู่รอดูลูกสำนึกและกลับตัวแล้วก็ได้นะ’
แล้วคำพูดของโทมัสก็เป็นจริง ในวันที่เขาสำนึกได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเคยทำมาในอดีตนั้นเป็นสิ่งที่ผิด การปลูกฝังแบบผิดๆ จากพรรคนาซี นำหายนะมาสู่ผู้คนและประเทศเยอรมนี
ยาคอปยังมีการหลอนและฝันร้ายจากอดีตที่เขาเคยทำเอาไว้ ตราบาปที่แม้จะผ่านไปนานนับปีมันก็ยังคงสลักลงไปในจิตใจของเขา
ภาพที่สองแม่ลูกชาวยิวที่ตัวของยาคอปทำให้พวกเขาต้องจบชีวิตลง การพลัดพรากที่น่าเศร้าที่สุดคือ การพลัดพรากจากคนที่เป็นที่รัก
สีหน้าและแววตาของพวกเขามันสลักลงไปในจิตใจของยาคอป สีหน้าและแววตาที่หวาดกลัวสุดชีวิตของเด็กน้อยที่อายุไล่เลี่ยกับเขา เมื่อยามที่ปืนจ่อศีรษะ แววตาที่อ้อนวอนขอชีวิตของลูกชายของตนของผู้เป็นแม่จากเพชรฆาตที่ไร้ซึ่งความปรานี
แต่ยาคอปกลับทำลายทุกอย่าง แม้กระทั่งชีวิตของพวกเขา เขาเหยียบย่ำซ้ำเติมความรู้สึกของชาวยิวผู้เป็นแม่คนนั้น ด้วยการถ่มน้ำลายใส่ศพของลูกชายของเธอ
ความผิดบาปนี้ทำให้ยาคอปเกิดอาการจิตตกบวกกับการที่พลัดพรากจากอ้อมอกผู้เป็นแม่ที่ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีเช่นไร และการที่ต้องมาแบกรับภาระอันหนักอึ้งเช่นเดียวกับพวกผู้ใหญ่ในการปกป้องกรุงเบอร์ลินจากข้าศึก ทำให้ยาคอปเกิดหวาดกลัวสุดชีวิต หวาดกลัวต่อภัยที่กำลังจะมาถึงตัวเองในอีกไม่ช้านี้
จนกระทั่งเด็กหนุ่มอยากที่จะทิ้งปืนและวิ่งหนีเตลิดหายไปทั้งๆ แบบนี้ แต่เขาก็ทำไม่ได้ เพราะถ้าหากว่าทำลงไป คนที่จะเดือดร้อนก็คือเฟลิเซียที่อาจจะถูกลงโทษข้อหาที่ลูกชายอย่างเขาทำตัวขี้ขลาด
สิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวยาคอปเอาไว้ได้คือรูปถ่ายของครอบครัวของเขาที่เขาพกมันมาด้วย ตั้งแต่อพยพออกจากบ้านที่ดอร์ทมุนด์มายังเบอร์ลิน
ภาพที่ถูกถ่ายเมื่อสมัยเขายังเป็นเด็ก โทมัสผู้เป็นพ่อใส่ชุดเครื่องแบบทหารเต็มยศยืนอยู่ด้านซ้ายของภาพ ส่วนเฟลิเซียผู้เป็นแม่นั่งเก้าอี้ โดยมีเขาที่อายุราวๆ 4 ปีนั่งอยู่บนตักของเธอ
มันทำให้เขาอุ่นใจทุกครั้งเมื่อยามที่มองภาพใบนี้ มันราวกับว่าเขาได้อยู่ในอ้อมกอดของพ่อและแม่เหมือนเมื่อครั้งยังเด็ก
.
14 เมษายน 1945
ยาคอปและเด็กๆ ในหน่วยอีก 2-3 คนต้องเดินออกไปช่วยชาวเมืองทำภารกิจตามที่หน่วยมอบหมายมาให้ พวกเขาเดินมาจนถึงย่านหนึ่งที่อยู่ทางทิศตะวันตกของเมือง
ภาพที่พวกเขาเห็นตรงหน้าคือผู้คนจำนวนหนึ่งถูกจับแขวนคอห้อยกับเสาไฟ พร้อมกับป้ายที่ห้อยคอที่เขียนเอาไว้ว่า
‘ฉันมันคนขี้ขลาดที่ไม่ยอมรบเพื่อเยอรมนี’
ไม่ต้องถามหาคนกระทำสิ่งเหล่านี้ เพราะผู้ที่กระทำนั้นคือเจ้าหน้าที่หน่วยเอสเอสและเกสตาโปที่คอยควบคุมสถานการณ์ภายในเมืองนี้ ใครที่ไม่ทำตามคำสั่งพวกเขาจะถูกลงโทษในข้อหาเป็นกบฏ และถูกจับแขวนคอ
พวกเด็กๆ ในกลุ่มของยาคอปพูดจาดูถูกพวกคนที่ถูกแขวนคอในทำนองที่ว่า
“สมควรแล้ว เพราะพวกเขามันขี้ขลาด”
“เราต้องสู้ แต่พวกเขาไม่ต้องสู้ มันไม่ยุติธรรม ดังนั้นการลงโทษแบบนี้ก็เหมาะสมแล้ว!”
แต่ยาคอปกลับรู้สึกเศร้าและสงสารผู้คนเหล่านั้น เด็กหนุ่มรู้สึกเศร้าที่ครั้งหนึ่งท่านผู้นำและพรรคที่เขาเคยเชิดชูเหนือกว่าสิ่งอื่นใด ในตอนนี้กลับแสดงความป่าเถื่อราวกับสัตว์ป่าที่ฆ่าทุกคนแบบไม่เลือกหน้าหรือสนยศตำแหน่ง
ในขณะเดียวกันก็สงสารคนเหล่านี้ที่ถูกจับแขวนคอ เพราะถ้าหากคนที่อยู่บนนั้นเป็นแม่ของเขา เขาก็คงจะหัวใจสลายอย่างแน่นอน
กลุ่มของยาคอปเดินผ่านย่านนั้นเพื่อกลับไปยังที่ตั้งของหน่วย ที่หน่วยนั้น ยาคอปได้พบกับอากึนเทอร์ที่มารอพบเขาอยู่
“ยาคอป!!”
กึนเทอร์วิ่งมากอดเขาในทันที
“มีอะไรหรือเปล่าฮะ?”
ยาคอปถามผู้เป็นอา แต่เขาก็สัมผัสได้ว่าอ้อมกอดของผู้เป็นอานั้นแน่นกว่าปกติ
“ทำใจดีๆ แล้วฟังอานะ…อาขอโทษที่ปกป้องแม่ของเราไม่ได้…แม่ของเราหายตัวไปตอนที่ทุกอย่างกำลังวุ่นวาย…”
กึนเทอร์พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
เฟลิเซียถูกส่งตัวไปเตรียมความพร้อมเมืองในทิศตะวันออก และเธอได้หายตัวไปในขณะที่ทุกคนกำลังเดินทางกลับมา
ยาคอปปล่อยปืนลงกับพื้น พร้อมร่างที่กำลังจะทรุดลงไปกองกับพื้น ถ้าหากไม่ได้กึนเทอร์กอดเอาไว้ เขาคงจะได้ลงไปนั่งร้องไห้กับพื้นเป็นแน่
ยาคอปร้องไห้ออกมาอย่างไม่แคร์สายตาใคร สิ่งที่เขาหวาดกลัวที่สุดในวันนี้ได้มาถึงแล้ว วันที่แม่ของเขาจากเขาไป
เด็กหนุ่มรู้ดีว่าการหายตัวไปนั้นหมายถึงอะไร มันหมายถึงว่าเธอได้เสียชีวิตไปแล้ว เพราะในยามสงครามแบบนี้ การที่คนจะหายไปมันไม่ใช่เรื่องแปลก และไม่มีใครมีใจที่จะอยากออกไปตามหาคนที่หายไป เพราะมันเป็นเรื่องที่ไร้สาระ หาไปก็ไร้ประโยชน์ ทุกๆ คนต่างสูญเสียคนอันเป็นที่รักของตัวเองแทบทั้งสิ้น
ยาคอปร้องจนช็อกสลบไปคาอ้อมกอดของผู้เป็นอา กึนเทอร์ได้ส่งตัวของหลานชายให้กับคนในหน่วย ก่อนจะกำชับให้ดูแลหลานชายของเขาให้ดี
ชายหนุ่มรู้ตัวดีว่าเขาไม่อาจที่จะเป็นผู้ปกครองให้ยาคอปต่อไปได้ เพราะปลายทางสุดท้ายของเขาได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้วว่าต้องจบชีวิตลง ไม่ตายเพราะสงคราม ฆ่าตัวตาย หรือถูกประหาร ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
“อาไปก่อนนะ ยาคอป”
กึนเทอร์พูดกับหลานชายของตัวเองที่กำลังสลบเพราะอาการช็อกอยู่
แม้จะโศกเศร้าที่สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไป แต่ชีวิตต้องเดินหน้าต่อ ยาคอปที่ได้สติแล้ว เด็กหนุ่มเอาแต่ร้องไห้ เพราะเขาไม่เหลือใครเลย มีแค่อากึนเทอร์กับอาเอ็ลซ่าเท่านั้นที่ยังคงอยู่
แต่ก่อนจะคิดไปถึงตอนนั้น สงครามที่จะทำลายล้างทุกอย่างก็ได้มาเยือนยาคอปและชาวเยอรมันทุกคนที่อยู่ในกรุงเบอร์ลิน
เมื่อเวลา 09.00 นาฬิกาของวันที่ 16 เมษายน 1945 เสียงระเบิดจากลูกปืนใหญ่นัดแรกได้เขย่าขวัญของผู้คนทั้งเมือง และเป็นสัญญาณว่ากองทัพแดงนับล้านนายได้ยาตราทัพมาถึงแล้ว และพวกเขากระหายที่จะได้แก้แค้นพวกเยอรมันที่ไปรุกรานดินแดนและสังหารพี่น้องของพวกเขาไปมากมายเมื่อหลายปีที่แล้ว
บัดนี้ อาณาจักรไรช์ที่สามกำลังจะปิดฉากความทะเยอทะยานที่จะอยู่เหนือโลกและถึงคราวล่มสลายแล้ว…