เดือนพฤศจิกายน ปีคริสตศักราช 1937
“เพื่อท่านผู้นำ แด่ชัยชนะ ไฮล์! ไฮล์! ไฮล์!”
เสียงตะโกนของเหล่านักเรียนในชั้นเรียนเดียวกับยาคอปดังขึ้น เสียงตะโกนนั้นมีไว้เพื่อเทิดทูนท่านผู้นำของพวกเขา (ฮิตเลอร์) ที่คนแทบทั้งประเทศเชื่อกันว่าจะพาประเทศชาติของพวกเขาให้เจริญรุ่งเรืองจนถึงขีดสุด
มันเป็นกิจวัตรประจำวันของเหล่านักเรียนทุกคนที่จะต้องทำ ก่อนที่จะเริ่มทำการเรียนการสอนในแต่ละวัน
หลังจากนั้นพวกนักเรียนก็เริ่มร้องเพลง ‘ท่านผู้นำยิ่งใหญ่’ เพื่อเป็นการสดุดีท่านผู้นำของพวกเขา ตามที่ทางพรรคนาซีได้กำหนดแบบแผนเอาไว้ เพื่อให้เป็นหนึ่งเดียวกันทั่วทั้งประเทศ
ยาคอปกับเพื่อนๆ ในชั้นเรียน คือหนึ่งในตัวอย่างของเยาวชนที่ถูกปลูกฝังให้มีความคิดแบบอารยันสุดโต่งอย่างเข้มข้น ตามแบบที่ทางพรรคนาซีอยากให้เป็น
พวกเด็กๆ นั้นรักและเคารพในตัวท่านผู้นำมากกว่าพ่อแม่ของตัวเองเสียอีก ซึ่งนั่นคือจุดประสงค์ที่ทางส่วนกลางอยากให้เป็น
วันนี้มีคาบวิชาประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นวิชาโปรดของยาคอป มีการเรียนการสอนถึงความรุ่งโรจน์ของประเทศเยอรมนีในอดีต บุคคลสำคัญทางการเมืองเยอรมนีที่ทางพรรคนาซีเทิดทูน เช่น อ็อทโท ฟอน บิสมาร์ค รัฐบุรุษแห่งเยอรมนี หรือ สงครามที่กองทัพปรัสเซียมีชัยเหนือฝรั่งเศสที่วอร์เตอลู
นอกจากคาบวิชาประวัติศาสตร์แล้วยังมีคาบที่สอนให้รู้เกี่ยวกับ ‘การตระหนักทางเชื้อชาติ’ (Racial awareness) ซึ่งสอนให้พวกเด็กๆ รู้เกี่ยวกับเผ่าพันธุ์ที่ ‘มีคุณค่า’ และ ‘ไร้คุณค่า’ รวมถึงเพศศึกษาและโรคทางพันธุกรรมต่างๆ
หลังจากคาบเรียนช่วงเช้าผ่านพ้นไป ในช่วงพักกลางวัน ยาคอปกับเพื่อนสนิทในกลุ่มอีกสองคนมานั่งล้อมวงทานข้าวร่วมกัน
“นี่พวกนายรู้ไหม เมื่อวานพ่อของฉันที่เป็นตำรวจได้ทำผลงานใหญ่ด้วยล่ะ!”
มิฮาอิล เพื่อนของยาคอปพูดขึ้นมาในขณะที่เคี้ยวขนมปังอยู่
“อะไรเหรอ?”
ยาคอปถามเพื่อนของตน
“พ่อของฉันจับไอ้พวกชั้นต่ำได้น่ะสิ ฮ่าๆๆ พวกมันตกงานแล้วมาขออาหารตามท้องถนน พ่อของฉันเลยจับพวกมันเข้าไปนอนในคุก น่าสมเพชชะมัด”
มิฮาอิลพูดพร้อมกับหัวเราะด้วยความสะใจ เพราะงานนี้ทำให้พ่อของเขาได้รับคำชมจากหัวหน้าหน่วยถึงการปฏิบัติหน้าที่ที่เยี่ยมยอด
“น่าอิจฉาพ่อของนายจัง”
อัลเฟรดพูด เขาอยากให้พ่อของเขาได้รับคำชื่นชมเหมือนกับพ่อของมิฮาอิลบ้าง แต่มันคงจะเป็นไปไม่ได้ เพราะพ่อของเขาเป็นแค่ช่างไม้คนหนึ่งเท่านั้น
“เอาเถอะน่าอัลเฟรด! ท่านผู้นำบอกพวกเราเสมอว่าทุกอาชีพมีความสำคัญกับเยอรมันทั้งหมด ยกเว้นแต่ไอ้พวกชั้นต่ำกว่าเราล่ะนะ”
มิฮาอิลพูดปลอบใจเพื่อน เพราะเขาเคยได้ยินท่านผู้นำพูดเอาไว้เสมอว่าทุกอาชีพที่ทำโดยคนเยอรมันที่เป็นอารยันแท้ๆ เพื่อประเทศเยอรมันนั้นมีความสำคัญเท่ากันหมด
“ใช่แล้วอัลเฟรด!! ฉันเชื่อว่าในอนาคตพ่อของนายจะมีประโยชน์ต่อท่านผู้นำที่จะพาชาติของเราให้รุ่งเรืองได้อย่างแน่นอน”
ยาคอปพูดปลอบใจเพื่อนบ้าง
“ว่าแต่ยาคอป…แล้วพ่อนายเป็นยังไงบ้างล่ะ?”
มิฮาอิลถามยาคอป
“พ่อของฉันเหรอ? เห็นท่านบอกว่ากำลังฝึกทหารที่เข้าไปใหม่อยู่ล่ะมั้งนะ ถ้าฉันจำไม่ผิด…”
ยาคอปตอบตามที่เขาเคยได้ยินพ่อกับแม่คุยกันบนโต๊ะอาหารมื้อเย็น
“เท่ชะมัด! ฉันอิจฉานายที่มีพ่อเป็นทหารจังเลย! คงจะเท่น่าดู”
“ใช่เลย! พ่อของฉันที่เป็นตำรวจคงเทียบไม่ติดแน่ๆ เลย ท่านผู้นำเคยพูดเอาไว้ด้วยว่ากองทัพของเราจะแกร่งกว่าชาติอื่นๆ ในโลกนี้ พ่อนายคงเป็นหนึ่งในคนที่จะทำมันให้สำเร็จสินะ”
อัลเฟรดกับมิฮาอิลพูดกับยาคอปด้วยความอิจฉาเล็กน้อย
การมีพ่อเป็นทหารถือเป็นค่านิยมของเหล่าเยาวชนที่ชื่นชมในกองทัพของเยอรมัน และยาคอปถือว่าเป็นผู้โชคดี เพราะเป็นเพียงคนเดียวในห้องที่มีพ่อเป็นนายทหารชั้นสัญญาบัตรของกองทัพ
“ใช่ไหมล่ะ! ฉันเชื่อเลยว่าพ่อของฉันเจ๋งที่สุด”
ยาคอปยืดอกพูดกับเพื่อนด้วยความภาคภูมิใจ
แต่แล้วอยู่ๆ ประตูห้องก็ถูกเปิดออก พร้อมกับการปรากฏตัวของคุณครูคริสตอฟ คุณครูประจำชั้นของพวกเขา ที่มาพร้อมกับผู้ชายคนหนึ่งที่แต่งตัวดูดีมีภูมิฐาน
เขามีผมสีบลอนด์ ตาสีฟ้า ใบหน้าดูคมคาย ตัวสูงราวๆ 180 เซนติเมตร สวมชุดสูทและกางเกงขายาวสีดำสนิท ในมือถือหมวกปีกกว้างสีดำเช่นเดียวกับชุด
เด็กน้อยทั้งสามคนมองเขาด้วยความชื่นชม เพราะเขาคนนี้คือชาวอารยันในอุดมคติ ตามแบบที่พวกเขาเคยเรียนมาในคาบเรียนไม่มีผิดอย่างแน่นอน
ก่อนที่คุณครูคริสตอฟจะพูดแนะนำชายที่มาด้วยคนนั้น
“เอาล่ะเด็กๆ นี่คือคุณ ไฮน์ริช แฮร์มันน์ เขาเป็นเจ้าหน้าของพรรคนาซีที่มาจากกรุงเบอร์ลิน และเขามาพร้อมกับคำชมโดยตรงจากท่านผู้นำ เพื่อชื่นชมหัวหน้าห้องของเราที่แสดงศักยภาพได้เป็นที่น่าพึงพอใจในการอบรมทำกิจกรรมครั้งล่าสุด ทุกคนปรบมือให้หัวหน้าห้องของเราหน่อย…”
สิ้นเสียงของคุณครูคริสตอฟ นักเรียนทุกคนรวมถึงกลุ่มเพื่อนของยาคอปต่างปรบมือให้กับหัวหน้าห้องที่ได้รับคำชื่นชมอันมีค่า
ยาคอปได้แต่อิจฉาหัวหน้าห้องของเขาอยู่ในใจ เพราะเขาเองก็อยากที่จะได้คำชมแบบนั้นบ้าง เพื่อเอาไปอวดพ่อกับแม่ของตัวเอง รวมไปถึงเอาไปอวดคุณอาทั้งสองของเขาในวันคริสต์มาสครั้งหน้าที่กำลังจะมาถึง
โดยเฉพาะกับอากึนเทอร์ที่ถ้าหากตัวของเขาได้รับคำชื่นชม คุณอาคงจะดีใจมากๆ และหาซื้อของขวัญชิ้นโตให้กับเขาเป็นแน่
ยาคอปเลยตั้งปฏิญาณอยู่ในใจของตัวเองว่ากิจกรรมครั้งหน้าเขาจะพยายามให้มากขึ้น เพื่อที่จะได้รับคำชมจากท่านผู้นำที่เขาอยากได้มาตลอด
.
ช่วงบ่ายหลังจากโรงเรียนเลิกแล้ว ยาคอปก็มุ่งหน้ากลับบ้านของตัวเองในทันที เพราะเมื่อตอนเช้าเฟลิเซียบอกกับเขาว่าวันนี้เธอจะทำ ‘พายแอปเปิล’ ซึ่งเป็นของโปรดของเขาให้ทาน
เพราะอย่างนั้นแล้ว เด็กน้อยจึงตั้งตารอคอยที่จะได้ทานพายฝีมือของผู้เป็นแม่อย่างใจจดใจจ่อ เพราะพายแอปเปิลฝีมือของเธอนั้น อร่อยเหนือกว่าขนมหวานใดๆ บนโลกใบนี้
พอเปิดประตูบ้านเข้าไป ยาคอปก็ได้กลิ่นหอมๆ ของขนมปังที่พึ่งอบใหม่ลอยเข้ามาเตะจมูก ดูเหมือนว่าแม่ของเขาจะอบพายแอปเปิลเสร็จแล้ว
“แม่ฮะ แม่อบพายแอปเปิลเสร็จแล้วเหรอฮะ?”
ยาคอปชะโงกหน้าไปถามเฟลิเซียที่กำลังยืนจัดการธุระบางอย่างในห้องครัวอยู่
“จ้ะ! ถ้าอยากทานก็ไปจัดการตัวเองให้เรียบก่อนนะลูก”
เฟลิเซียหันมาหายาคอป ก่อนจะบอกให้เขาไปจัดการตัวเองให้เรียบร้อยก่อนที่จะทานพายแอปเปิลของโปรดของตัวเอง
“เย้!”
ยาคอปกระโดดดึ๋งๆ วิ่งขึ้นไปบนห้องนอนของตัวเอง
เด็กน้อยจัดการทำธุระส่วนตัวอย่างรวดเร็ว เพราะพายแอปเปิลแสนอร่อยกำลังรอเขาอยู่ ก่อนที่จะมานั่งบนเก้าอี้ของโต๊ะรับประทานอาหารในห้องครัว
ไม่นานนักเฟลิเซียก็ยกพายแอปเปิลสามชิ้นมาเสิร์ฟให้กับลูกชายของตัวเอง ซึ่งยาคอปก็จัดการลงมือทานมันอย่างเอร็ดอร่อย โดยที่แม่ของเขานั่งจิบชาอยู่ข้างๆ
“วันนี้ที่โรงเรียนเป็นยังไงบ้างลูก?”
เฟลิเซียถาม
“ก็ดีฮะ แต่ผมอิจฉาหัวหน้าห้องมากๆ เลยฮะ”
ยาคอปกลืนพายแอปเปิลที่อยู่ในปากลงไปจนหมด ก่อนจะพูดตอบแม่ของตัวเอง
“ทำไมจ๊ะ?”
เฟลิเซียถามต่อไปอีก ก่อนที่เธอจะใช้ผ้าเช็ดเศษขนมที่ติดอยู่ที่มุมปากให้กับลูกชายของตัวเอง
“หัวหน้าห้องของผมได้รับคำชมโดยตรงจากท่านผู้นำฮะ…ผมก็อยากได้บ้าง ผมจะเอาไปอวดอาแวร์เนอร์กับอากึนเทอร์”
ยาคอปพูดพร้อมกับมีสีหน้าสลดลงเล็กน้อย
เฟลิเซียมีสีหน้าที่ลำบากใจเล็กน้อย เมื่อลูกชายของตัวเองพูดแบบนั้นออกมา เพราะเธอไม่ค่อยเห็นด้วยสักเท่าไหร่ ที่จะได้รับคำชื่นชมแบบนั้น แต่ถึงกระนั้น เธอก็พูดเพื่อเป็นการปลอบใจยาคอปไปด้วย
“ย็อค ฟังแม่นะ ไม่มีอะไรที่เหนือหรือดีไปกว่าความพยายามของมนุษย์หรอกนะลูก ถ้าในครั้งหน้าลูกพยายามมากพอ บางทีลูกก็อาจจะได้รับคำชมแบบนั้นเหมือนกันนะจ๊ะ”
“ฮะแม่! ผมจะพยายามให้ดีขึ้นกว่าเดิม!!”
ยาคอปรับคำยิ้มๆ
คำพูดของเฟลิเซียทำให้เด็กน้อยกลับมาร่าเริงเหมือนเดิมได้อย่างรวดเร็ว เพราะเธอรู้ดีว่าลูกชายของเธอเป็นคนแบบไหน และต้องพูดอย่างไรเพื่อที่จะทำให้เขากลับมาร่าเริงได้เหมือนเดิม
แต่ที่ดูจะแก้ไขไม่ได้เลยก็คือ ความคิดของเขาที่เลยออกนอกกรอบคำว่าปกติไปไกลแบบสุดโต่งแบบนี้
สองแม่ลูกนั่งคุยกันต่ออีกเล็กน้อย ก่อนที่เสียงเปิดประตูบ้านจะดังขึ้น พร้อมกับเสียงของโทมัส
“กลับมาแล้ว!”
“พ่อฮะ!!”
ยาคอปกระโดดลงจากเก้าอี้ ก่อนจะวิ่งไปหาผู้เป็นพ่อที่หน้าประตู และกระโจนใส่โทมัสด้วยความร่าเริง
“ว่ายังไงลูก?”
โทมัสย่อตัวลง พร้อมกับอ้าแขนรับลูกชายของตัวเอง
“วันนี้คุณแม่ทำพายแอปเปิลด้วยนะฮะ”
ยาคอปพูดกับผู้เป็นพ่อ
“เหรอ? อื้ม! พ่ออยากจะทานซะแล้วสิ”
โทมัสพูดหยอกล้อกับลูกชายของตัวเอง
“ยินดีต้อนรับกลับนะคะที่รัก สีหน้าคุณดูไม่ค่อยดีเลยนะคะ เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าคะ?”
เฟลิเซียที่เดินตามออกมาพูดกับผู้เป็นสามี ก่อนจะสังเกตเห็นว่าสีหน้าของเขาดูเหนื่อยๆ จึงได้เอ่ยถามออกไป
โทมัสถอนหายใจยาวๆ ออกมา ก่อนจะบ่นกับภรรยา
“เบื้องบนมีคำสั่งลงมาที่หน่วยของผมน่ะสิ”
“คำสั่งแบบไหนเหรอคะ?”
“เป็นการฝึกทหารหน้าใหม่ๆ เพื่อให้พร้อมกับการจู่โจมที่กำลังจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้น่ะสิ”
“จู่โจม? เราจะไปจู่โจมใครอย่างงั้นเหรอคะ?”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่มันเป็นคำสั่งที่เร่งด่วนมาก เหมือนว่าพวกเบื้องบนกระเหี้ยนกระหือรืออยากที่จะก่อสงครามมากๆ เลยล่ะ ผมล่ะกังวลจริงๆ เลยนะที่รัก”
โทมัสพูด เพราะสิ่งที่เขาเป็นกังวลเริ่มจะเข้าใกล้มาทุกทีแล้ว รอเพียงแค่ว่าทุกอย่างมันจะระเบิดออกมาตอนไหนก็เท่านั้นเอง
“ว้าว! เราจะก่อสงครามอย่างงั้นเหรอฮะ? ดีจังเลย! ผมชอบสงคราม ในคาบประวัติศาสตร์ก็มีบอกว่ากองทัพเยอรมันเราเก่งกาจ แต่ที่ต้องแพ้สงครามเพราะมีพวกชั้นต่ำลอบแทงด้านหลัง”
ยาคอปพูดแทรกพ่อของตนด้วยความตื่นเต้น
สิ่งนี้สร้างความตกใจกับโทมัสและเฟลิเซียเป็นอย่างมาก เพราะนี่ไม่ใช่สิ่งที่เด็กอายุ 6 ย่าง 7 ปี ควรจะพูดออกมาเลย
โทมัสวางยาคอปลง ก่อนจะย่อตัวลงมาพูดคุยกับลูกชายของตัวเอง
“ย็อค ฟังพ่อนะ สงครามมันไม่ได้น่าสนุกหรือน่าตื่นเต้นหรอกนะลูก มันไม่ใช่สถานที่สำหรับแสวงหาเกียรติยศหรืออะไรทั้งนั้น แต่มันคือสถานที่ที่มีแต่การฆ่าฟันกันอย่างไร้ที่สิ้นสุด หากลูกไม่ฆ่าเขา เขาก็จะฆ่าลูก…”
โทมัสพูดกับลูกชาย
“แต่ว่าในห้องเรียนสอนผมว่า…”
ยาคอปพยายามจะแย้งผู้เป็นพ่อ แต่ก็ถูกขัดเอาไว้เสียก่อน
“ฟังนะลูก ฟังพ่อ คุณปู่ไฮเทอร์ของลูกต้องเสียใบหน้าไปครึ่งหนึ่งและขาอีกหนึ่งข้างจากมหาสงคราม คุณปู่อาเธอร์ก็โดนยิงจนเสียชีวิตในมหาสงคราม จนแม้แต่ศพของท่านก็ไม่ได้กลับมาสู่บ้านเกิด ลูกเข้าใจสิ่งที่พ่อจะสื่อใช่ไหม?”
โทมัสพูดกับยาคอป
“ฮะ…”
ยาคอปรับคำ
“คุณตาของลูกก็เสียขาทั้งสองข้างไป จนเกือบเอาชีวิตไม่รอด และที่เราแพ้สงคราม เราไม่ได้ถูกใครแทงข้างหลังทั้งนั้น เราแพ้เพราะว่าเราไม่มีทรัพยากรมากพอที่จะไปสู้กับพวกเขาได้ ลูกเข้าใจแม่ใช่ไหมจ๊ะ”
เฟลิเซียสอนลูกชายบ้าง
แม้มันจะมีความเสี่ยงที่ยาคอปจะเอาเรื่องไปบอกพวกเกสตาโปที่มีหูตาอยู่ทั่วไปหมด แต่มันก็ยังดีกว่าการปล่อยให้ลูกชายของพวกเขารู้ข้อมูลผิดๆ ไปทั้งแบบนี้
“ฮะ…”
ยาคอปรับคำสั้นๆ
เด็กน้อยไม่เข้าใจในสิ่งที่พ่อกับแม่พยายามจะสื่อ และเลือกที่จะไม่เชื่อมัน เพราะคุณครูที่โรงเรียนของเขาบอกว่าสงครามคือสถานที่สำหรับแสวงหาเกียรติยศสำหรับชาวเยอรมันทุกคน การได้สละชีพเพื่อประเทศชาติและท่านผู้นำคือเกียรติยศที่สูงส่ง
ดังนั้นแล้ว ยาคอปจึงอยากที่จะเดินตามรอยพ่อของตัวเองมากๆ
และที่สำคัญ เขาถูกปลูกฝังมาตลอดว่าที่แพ้สงครามก็เพราะไอ้พวกชั้นต่ำที่ลอบแทงเยอรมนีในยามสงคราม โดยเฉพาะไอ้พวกยิวกับพวกบอลเชวิค (ผู้คนที่ฝักใฝ่ในลัทธิคอมมิวนิสต์) ที่ทางพรรคนาซีประณามการกระทำของพวกมัน
“ถ้าเข้าใจก็ดีแล้ว พ่อไม่อยากให้ลูกต้องไปอยู่ในสงครามอันโหดร้ายแบบที่คุณปู่และคุณตาของลูกเผชิญ”
โทมัสลูบศีรษะลูกชายของตัวเองเบาๆ
“ช่างเรื่องนั้นไปก่อนเถอะนะคะ ว่าแต่คุณทานอะไรมาหรือยังคะที่รัก?”
เฟลิเซียถามโทมัส
“ยังเลยน่ะสิ ที่หน่วยของผมอาหารมีแต่รสหยาบๆ ทั้งนั้นเลย สู้ฝีมือที่คุณทำไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว”
โทมัสพูดกับภรรยา พร้อมกับส่งยิ้มกว้างๆ ให้
“ใช่ฮะ! อาหารของคุณแม่อร่อยที่สุดในโลกเลย”
ยาคอปยิ้มกว้างๆ พร้อมกับกอดเฟลิเซียเอาไว้แน่น
“แหม~ ปากหวานกันทั้งพ่อทั้งลูกเลย ไปเถอะค่ะ ฉันอบพายแอปเปิลเอาไว้ให้ ดีนะคะเนี่ยที่คุณกลับมาทัน ไม่งั้นเจ้าลูกชายตัวแสบของคุณเขมือบมันไปหมดแน่ๆ เลยล่ะค่ะ”
เฟลิเซียพูดกับผู้เป็นสามีด้วยรอยยิ้ม และใช้มือทั้งสองข้างบีบแก้มหยุ่นๆ ของยาคอปเบาๆ
ซึ่งเด็กน้อยก็หัวเราะคิกคัก เพราะรู้สึกจั๊กจี้ ที่ผู้เป็นแม่บีบแก้มของเขา
ก่อนที่ทั้งสามคนจะเดินไปในครัวพร้อมกัน เพื่อรับประทานพายแอปเปิลฝีมือของเฟลิเซีย และรอที่จะรับประทานอาหารเย็นที่เธอกำลังตระเตรียมอยู่ในตอนนี้ร่วมกัน
.
10 มีนาคม ปีคริสต์ศักราช 1938
หน่วยของโทมัสได้รับคำสั่งให้นำกำลังพลไปสมทบกับหน่วยที่อยู่ประชิดชายแดนของประเทศออสเตรีย เพื่อที่จะเตรียมตัวผนวกดินแดนทั้งหมดของออสเตรียเข้ามาอยู่ในอาณาจักรไรช์ที่สาม ตามคำสั่งของท่านผู้นำ
ทหารหลายหน่วยถูกเตรียมพร้อมเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว และมีข่าวลือว่าการผนวกดินแดนครั้งนี้จะเป็นไปด้วยความเรียบร้อย เพราะทุกอย่างถูกปูทางเอาไว้แล้ว
ก่อนที่ในอีกสองวันต่อมา (12 มีนาคม 1938) หน่วยของโทมัสจะได้รับคำสั่งให้ยกพลข้ามชายแดนเยอรมนี-ออสเตรียมุ่งหน้าสู่กรุงเวียนนา (เหตุการณ์ อันชลุส-Anschluss) และทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ไร้ซึ่งการต่อต้านจากกองทัพของออสเตรีย
และที่น่าแปลกใจคือ ชาวออสเตรียจำนวนมากออกมาต้อนรับกองทัพเยอรมันด้วยความยินดี ราวกับรอคอยเวลานี้มาเนิ่นนาน
มีการเดินพาเหรดของกองทัพเยอรมันในตัวเมือง การฟังคำปราศรัยชวนเชื่อต่างๆ ของฮิตเลอร์ ที่จะนำพาดินแดนทั้งสองให้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว และมุ่งไปสู่อนาคตที่ดีขึ้น
แต่ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการเมืองนั้นไม่เกี่ยวกับโทมัสและทหารในกองทัพคนอื่นๆ พวกเขาเป็นแค่ทหารที่มาทำภารกิจตามคำสั่ง และภาวนาให้กลับไปหาภรรยากับลูกๆ ที่รออยู่ที่บ้านอย่างปลอดภัยเพียงเท่านั้น
โทมัสและทหารในหน่วยปฏิบัติภารกิจในออสเตรียเป็นเวลาสองสัปดาห์ ก่อนที่จะถูกส่งกลับมายังประเทศเยอรมนี เพื่อรอคอยคำสั่งต่อไปที่จะมาถึงในอนาคต
ไรช์ที่สามของฮิตเลอร์ เริ่มที่จะขยายอาณาเขตออกไปอย่างช้าๆ เพื่อตอบสนองต่อความทะเยอทะยานที่จะกลายเป็นเจ้าผู้ปกครองโลก แต่ใครจะรู้ล่ะ ว่าอนาคตนั้นจะเป็นเช่นไร
จะรุ่งโรจน์สว่างไสวตามที่โฆษณาชวนเชื่อกล่าวอ้าง หรือจะย่อยยับพังพินาศจนไม่เหลือแม้แต่ซากที่จะฟื้นฟูกลับมาได้อีกเลย…