วันเวลาผันผ่านไปอย่างรวดเร็ว นับตั้งแต่ยาคอปได้มาอยู่ในการอุปการะของครอบครัวมาธิอุส เวลาก็ผ่านล่วงเลยมาได้ 2 ปีแล้ว ในตอนนี้เขากับมากาเรเทอกำลังเลื่อนระดับชั้นการศึกษาขึ้นมาอยู่ในระดับ Gymnasium 12
และอีกเพียง 1 ปี พวกเขาทั้งคู่จะเรียนจบตามหลักสูตรพื้นฐาน ก่อนจะต้องตัดสินใจว่าจะสอบเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัย หรือออกไปทำงานหาเลี้ยงตัวเอง
ยาคอปยังไม่รู้ว่าครอบครัวมาธิอุสจะสนับสนุนให้เขาเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยหรือไม่ เพราะบางที พวกเขาอาจจะแค่ส่งเสียแค่ให้จบ Gymnasium 13 แล้วอาจจะบอกให้ไปหางานทำส่งตัวเองเรียนก็เป็นได้
แม้อนาคตจะไม่อาจคาดเดาได้ แต่ยาคอปก็ยังคงมุ่งมั่นเพื่อที่จะทำตามเป้าหมายของตัวเองให้สำเร็จให้จงได้ เพราะเด็กหนุ่มเคยสาบานกับพระผู้เป็นเจ้าเอาไว้ว่า เขาจะไถ่บาปของตัวเองที่บังอาจสังหารเพื่อนมนุษย์ด้วยกันไปในสมัยเด็ก
แต่เรื่องนั้นก็เป็นเพียงอนาคตข้างหน้าเท่านั้น ในตอนนี้ยาคอปยังคงต้องโฟกัสไปที่การใช้ชีวิตอยู่ในบ้านของครอบครัวมาธิอุส และการเรียนในโรงเรียนให้จบตามเป้าหมายเสียก่อน
นอกจากเรื่องข้างต้นแล้ว ยาคอปยังต้องรับมือกับความดีดของมากาเรเทอที่ไม่ได้ลดลงไปตามการเจริญเติบโต ในทางกลับกันมันยังเพิ่มขึ้นและเพิ่มขึ้นในทุกๆ วันที่ผ่านไป จนเด็กหนุ่มรู้สึกว่าการใช้ชีวิตในแต่ละวันนั้นยากเสียยิ่งกว่าอะไร
และวันนี้ก็เหมือนกับทุกๆ วันที่ยังคงวุ่นวายไม่เปลี่ยนแปลง…
“มากาเรเทอ!! เอาหนังสือฉันคืนมานะ!!”
ยาคอปตะโกนไล่หลังมากาเรเทอ ที่ในตอนนี้พวกเขากำลังวิ่งไล่จับกันไปรอบๆ บ้านอยู่
“จ้างให้ก็ไม่คืนหรอก! แบร่! ถ้าอยากได้คืนก็มาจับฉันให้ได้สิ!”
มากาเรเทอแลบลิ้นล้อเลียนยาคอป
เรื่องมันเริ่มต้นจากยาคอปเห็นว่าวันนี้เหมาะแก่การนอนอ่านหนังสือเล่น เนื่องจากเขาจัดการงานบ้านและธุระต่างๆ เสร็จจนหมดแล้ว และแอร์นาก็อนุญาตให้เขาพักได้
เรื่องราวก็ดำเนินไปทั้งแบบนั้น จนกระทั่งมากาเรเทอผ่านมาเห็นเข้า เด็กสาวอาศัยจังหวะที่ยาคอปผ่อนคลายและวางใจ วิ่งปรี่เข้ามาประชิดตัว ก่อนจะถือโอกาสฉวยหนังสือไปจากมือของเขา และจนกลายสภาพมาเป็นแบบปัจจุบัน
“นี่เด็กๆ! อากาศข้างนอกมันหนาวนะจ๊ะ จะเล่นอะไรกันก็เข้ามาเล่นข้างในนะ”
แอร์นาโผล่หน้าออกมาจากหน้าต่างเพื่อเตือนทั้งสองคน เพราะอากาศที่เริ่มหนาวเย็นในเดือนตุลาคม การทำกิจกรรมข้างนอกบ้านนานๆ โดยไร้อุปกรณ์ป้องกันความหนาว อาจจะทำให้ล้มป่วยลงได้
“คุณน้าครับ! มากาเรเทอเอาหนังสือของผมไป!”
ยาคอปฟ้องแอร์นาในทันที พร้อมกับชี้ไปหายัยตัวแสบที่ยืนโบกมือไหวๆ อยู่ที่อีกฟากของสวน
แอร์นาจึงหันไปดุมากาเรเทอในทันที
“มากาเรเทอ!! อย่าไปกวนยาคอปเขาสิลูก!”
“หนูไม่ได้กวนเขานะคะ เขาเต็มใจเล่นกับหนูเองต่างหาก!”
มากาเรเทอโกหกหน้าตาย พร้อมกับยิ้มกว้างๆ
“เธอโกหก!! ฉันนอนอ่านหนังสืออยู่ดีๆ เธอก็มาเอามันไปจากฉัน เอาคืนมาเดี๋ยวนี้เลยนะ!!!”
ยาคอปตะโกนเสียงดัง ก่อนจะเริ่มวิ่งไล่มากาเรเทออีกครั้ง
“ให้ตายสิ! เจ้าเด็กพวกนี้…”
แอร์นานวดขมับตัวเองเบาๆ
เพราะนับตั้งแต่รับเลี้ยงยาคอปมา บ้านนี้ก็ไม่เคยเงียบเหงาอีกเลย อันที่จริงมันก็ไม่เคยเงียบเหงาอยู่แล้วเพราะมีมากาเรเทออยู่ แต่เมื่อรับยาคอปเข้ามาก็กลายเป็นว่า บ้านนี้มีเสียงอึกทึกครึกโครมเสียยิ่งกว่าตอนปกติอีก
ถึงแม้ว่าเสียงอึกทึกครึกโครมนั้นจะมาจากเสียงโหวกเหวกโวยวายของเด็กน้อยทั้งสองคนก็ตาม และในทุกๆ ครั้ง มากาเรเทอจะเป็นฝ่ายหยอกล้อและเริ่มก่อนเสมอ ส่วนยาคอปที่รับมือเด็กผู้หญิงไม่เก่งก็ดันกลายเป็นว่าไปทำให้การเล่นสนุกของลูกสาวของเธอยิ่งทวีความคึกคักเข้าไปใหญ่
จนทำให้แอร์นารู้สึกเครียดเล็กน้อย เพราะนับวันเธอยิ่งเอาลูกสาวคนนี้ไม่อยู่แล้ว
.
มากาเรเทอวิ่งหนียาคอปไปรอบๆ บ้านอยู่สักพัก จนเห็นว่าเขาไม่วิ่งตามและหายไปแล้ว จึงเหลียวหลังหันกลับไปมองด้วยความสงสัย
‘ยาคอปหายไปไหนกันนะ?’
แต่แล้วความสงสัยก็พลันหายไปในทันที เพราะยาคอปโผล่ออกมาจากมุมบ้านเพื่อดักหน้าเธอ
“หยุดเล่นไร้สาระสักที! แล้วก็เอาหนังสือฉันคืนมาได้แล้ว!”
“โอ๊ะโอ๋~”
มากาเรเทออุทานออกมาเบาๆ เพราะในจังหวะที่เขาโผล่มานั้น เธอกำลังวิ่งอย่างเต็มแรง และด้วยระยะห่างเพียงไม่กี่เมตร มันจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะเบรกตัวเองไม่ทัน
‘โครม!’
ทั้งสองคนจึงชนกันอย่างจัง
“อือ~ เจ็บอ่ะ~”
“โอ๊ย! เจ็บๆๆๆ”
มากาเรเทอและยาคอปอุทานออกมาเบาๆ พร้อมกัน
“เห๊ะ!!!”
“เอ๊ะ!!!”
และแล้วทั้งสองก็ต้องอุทานออกมาเสียงประหลาดๆ เมื่อพบว่าใบหน้าของตัวเองอยู่ใกล้กับอีกฝ่ายมากๆ มากเสียจนแค่เพียงโน้มศีรษะลงไปอีกนิดเดียวริมฝีปากก็จะสามารถสัมผัสกันได้แล้ว
การสัมผัสที่เรียกว่า ‘จุมพิต’
โดยที่ยาคอปนั้นอยู่ด้านบนกำลังนอนทับตัวของมากาเรเทอที่อยู่ด้านล่าง
“ขะ…ขอโทษนะ!!”
เมื่อเหตุการณ์ตรงหน้าเป็นแบบนั้น ยาคอปจึงลนลานพยายามดันให้ตัวเองให้ลุกขึ้น
“ขออยู่ต่ออีกหน่อยนะ คุณกล้วยหอมหมายเลข 2~”
มากาเรเทอพูดยิ้มๆ พร้อมกับเอามือทั้งสองข้างคล้องคอของยาคอปเอาไว้ ก่อนจะดึงเข้าหาตัวเองในทันที
เพราะอย่างนั้นแล้ว ในตอนนี้ยาคอปจึงกำลังนอนซบหน้าอกของมากาเรเทออยู่ และได้ยินเสียงหัวใจของเธอที่กำลังเต้นอย่างลิงโลดเมื่อได้สัมผัสและอยู่ใกล้เด็กผู้ชาย
ซึ่งนั่นมันอันตรายต่อหัวใจของยาคอปในหลายๆ ความหมาย เด็กหนุ่มลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าทำไมถึงได้มาวิ่งไล่มากาเรเทอแบบนี้ และเขารู้สึกว่าเธอกำลังขาดความระมัดระวังตัวต่อเด็กผู้ชาย เพราะถ้าหากเธอไปทำแบบนี้กับเด็กผู้ชายคนอื่นๆ มีหวังพวกเขาได้ทำเรื่องมิดีมิร้ายกับเธออย่างแน่นอน
แต่ที่ยาคอปไม่รู้ก็คือ มากาเรเทอจะทำแบบนี้เพียงแค่เฉพาะกับเขาเท่านั้น เด็กผู้ชายคนอื่นๆ นั้นหมดสิทธิ์ที่จะได้รับสิทธิพิเศษที่จะได้ใกล้ชิดกับเธอแบบนี้
“ฉะ…ฉันลุกออกไปได้หรือยัง?”
ยาคอปเอ่ยถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“อื้ม! ได้แล้ว!”
มากาเรเทอตอบด้วยน้ำเสียงสดใส ก่อนจะคลายอ้อมกอดของตัวเองออก และยาคอปก็ดันตัวเองให้ลุกขึ้นยืนในทันที
มากาเรเทอมองสีหน้าลนลานของยาคอปพร้อมกับยิ้มออกมากว้างๆ เด็กสาวรู้สึกว่าตลอดช่วงเวลาที่ได้สัมผัสและอยู่ใกล้ชิดกับตัวของเด็กหนุ่มตรงหน้านั้น ตัวของเธอรู้สึกสงบและปลอดภัยอย่างบอกไม่ถูก ราวกับว่าเขาคือหนึ่งในพื้นที่ปลอดภัยสำหรับเธอเหมือนกับพ่อและแม่ และความรู้สึกชอบก็เพิ่มมากขึ้นในทุกๆ วัน
จากความรู้สึกที่เห็นยาคอปเป็นเพียงเพื่อนเล่นคนหนึ่ง ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่มันเปลี่ยนแปลงไป จนกลายเป็นความรู้สึกผูกพันจนไม่อยากที่จะแยกจากเขาไปไหน และอยากที่จะครอบครองทุกอย่างของเขาเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว แต่เธอก็ต้องเก็บทุกอย่างนั้นเอาไว้ภายใต้รอยยิ้มกว้างๆ และแสดงออกมาให้เหมือนกับว่าทุกอย่างยังปกติ
แต่ความรู้สึกที่คอยอดกลั้นเอาไว้ มากาเรเทอกลัวว่าสักวันหนึ่งมันจะพังทลายลง เมื่อมันไปถึงจุดนั้นแล้ว เด็กสาวกลัวว่าเธอจะสารภาพทุกอย่างออกไปจนหมดเปลือก และสิ่งที่หวาดกลัวที่สุดก็อาจจะเกิดขึ้น เมื่อถูกยาคอปปฏิเสธคำสารภาพนั้นของตัวเอง
มากาเรเทอไม่อยากได้ยินคำพูดพวกนั้น คำพูดที่บอกว่ายาคอปนั้นไม่ได้ชอบเธอ และมองเห็นเธอเป็นเพียงเพื่อนคนหนึ่ง เหมือนกับที่เขาเคยปฏิเสธเด็กผู้หญิงหลายคนที่โรงเรียนด้วยคำพูดที่ว่า
“ขอโทษนะ แต่ฉันมองเห็นเธอเป็นแค่เพื่อนคนหนึ่งเท่านั้น ฉันจินตนาการภาพที่พวกเราคบกันไม่ออกเลย”
แต่ความกังวลของมากาเรเทอนั้นก็ไม่มีอะไรที่จะมารองรับ เพราะในตอนนี้ทุกอย่างยังปกติดี ยาคอปยังคงอยู่ข้างๆ เธอ ทำให้เธอสบายใจทุกครั้งที่ได้มองหรือใกล้ชิดเขา แม้แต่ในตอนนี้เองก็เช่นกัน…
“เข้าบ้านกันเถอะ อีกเดี๋ยวคุณพ่อกับคุณแม่ก็จะไปงานเลี้ยงสมาคมแพทย์ในเมืองแล้วด้วย~”
มากาเรเทอพูดกับยาคอป
“อะ…อื้อ!”
เด็กหนุ่มรับคำแบบงงๆ
อันที่จริงในระยะหลังๆ ยาคอปพึ่งมาสังเกตว่าช่วงนี้มากาเรเทอมักจะทำตัวแปลกออกไปจากที่เคยเป็นอยู่บ่อยครั้ง แม้เธอจะยังขี้เล่นเหมือนเดิมและดีดเป็นม้าเหมือนเคย แต่เหมือนกับว่าการกระทำของเธอนั้นจะอ่อนโยนขึ้นกว่าทุกที แต่เขาก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะเธอเริ่มโตเป็นสาวแล้วหรือเปล่า?
แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาที่เขาจะต้องมากังวลเท่าไหร่นัก เพราะนั่นมันคือเรื่องส่วนตัวของมากาเรเทอ และเขาจะไม่เข้าไปยุ่งกับความเป็นส่วนตัวของเธอเด็ดขาด แต่ก็เชื่อได้ว่าเธอคงจะมีเหตุผลของตัวเองอยู่อย่างแน่นอน
.
“เด็กๆ จ๊ะ อย่าลืมล็อกประตูบ้านก่อนเข้านอนด้วยนะ”
แอร์นากำชับเด็กๆ ทั้งสองคน ก่อนที่เธอจะออกไปงานเลี้ยงของสมาคมแพทย์ในกรุงเบอร์ลินตะวันตกกับผู้เป็นสามี
““ครับ/ค่ะ””
ยาคอปและมากาเรเทอรับคำ
ก่อนที่รถยนต์ของสามีภรรยามาธิอุสจะเคลื่อนตัวออกไปจากโรงจอดรถ
“ฉันเก็บผ้าก่อนนะ วันนี้ฟ้าครึ้มแปลกๆ เหมือนกับว่าฝนจะตกเลย”
มากาเรเทอพูดกับยาคอป
“อื้ม!! ให้ฉันช่วยไหม?”
ยาคอปถาม
“รบกวนด้วยนะ~”
มากาเรเทอพูดเสียงหวานๆ หยอกล้อเขาตามปกติ
และก็เป็นไปตามที่มากาเรเทอคาดการณ์เอาไว้ เพราะหลังจากที่พวกเขาสองคนทานมื้อเย็นกันเสร็จแล้ว พายุหลงฤดูก็พัดเอาฝนห่าใหญ่ก็ตกกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา
“ยาคอปจ๊ะ คืนนี้พวกน้าคงกลับไม่ได้ อาจจะต้องค้างคืนที่สมาคม น้าฝากดูมากาเรเทอทีนะจ๊ะ”
แอร์นาต่อสายมาที่บ้าน ซึ่งยาคอปเป็นผู้รับสาย
“ทราบแล้วครับ”
ยาคอปตบปากรับคำ ก่อนที่สายจะถูกตัดไป
‘เปรี้ยง!’
นอกจากฝนห่าใหญ่ที่ตกลงมาแล้ว มันก็ยังมีฟ้าร้องและฟ้าผ่าอีกด้วย
‘ขึ้นไปอ่านหนังสือรออาหารย่อยก็แล้วกัน…’
ยาคอปคิดในใจ ก่อนที่ตัวของเขาจะกลับไปที่ห้องนอนของตัวเองเพื่อทำกิจวัตรก่อนนอนแบบที่เคยทำเป็นประจำ
.
‘ก๊อกๆ’
เสียงเคาะประตูห้องนอนนั้นทำให้ยาคอปละสายตาออกมาจากหนังสือ เพื่อออกไปดูว่ามากาเรเทอมีอะไรมาขอให้ช่วยหรือเปล่า
“มีอะไรหรือเปล่า?”
ยาคอปถามออกไป เมื่อเห็นว่ามากาเรเทอมายืนอยู่ที่หน้าประตูห้องนอนของเขา พร้อมด้วยตุ๊กตา ผ้าห่ม และสีหน้าตื่นๆ ราวกับกระต่ายตื่นตูม
“ฉันขอนอนกับนายได้ไหม?”
มากาเรเทอเอ่ยความประสงค์ของตัวเองออกมา
“หา?”
ยาคอปอุทานออกมาด้วยความไม่เข้าใจ
“นะๆๆๆ ขอร้องล่ะ!”
มากาเรเทอพยายามอ้อนเขาแบบสุดฤทธิ์
เด็กสาวไม่ถูกกับพายุฝนที่มีฟ้าร้องและฟ้าผ่าเลยสักนิดเดียว ปกติถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ เธอมักจะไปนอนกับพ่อแม่ แต่วันนี้พวกท่านไม่อยู่ และยาคอปคือที่พึ่งเดียวที่เธอมีในตอนนี้
“ไม่ได้! กลับไปนอนห้องของตัวเองนู่นไป!”
ยาคอปปฏิเสธอย่างไม่ใยดี เพราะเด็กหนุ่มมองว่าการที่เด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงจะมานอนในห้องนอนเดียวกันโดยที่ไม่ได้เป็นอะไรกันนั้นมันไม่เหมาะสม
“นะๆๆ ขอฉันนอนด้วยคนนะ!!”
มากาเรเทอไม่ฟังยาคอป แต่กลับแทรกตัวผ่านช่องว่างของประตูเข้ามาอย่างหน้าตาเฉย
“เฮ้ย!! ออกไปนะยัยบ้า!!”
ยาคอปอุทานออกมาด้วยความตกใจ พร้อมกับพยายามดันตัวของมากาเรเทอออกไปจากห้อง
“ไม่เอา! ฉันจะนอนกับนาย!”
มากาเรเทอพูด
“อย่าพูดอะไรเอาแต่ใจแบบนั้นสิ! ฉันลำบากใจนะรู้ไหม!”
ยาคอปตะโกน
ท้ายที่สุดแล้ว ยาคอปก็ล้มเหลวในการที่จะผลักให้มากาเรเทอออกไปจากห้องนอนของตัวเอง เด็กสาวแทรกตัวเข้ามาได้สำเร็จ ก่อนที่จะกระโดดไปนั่งอยู่บนเตียง หลับตาปี๋พร้อมกับนั่งปิดหูตัวสั่นหงึกๆ
ยาคอปยืนเกาหัวมึนงงอยู่ครู่หนึ่งว่ามากาเรเทอเป็นอะไร ก่อนที่เขาจะเข้าใจถึงอาการที่เธอเป็นเมื่อมีเสียงฟ้าผ่าลงมา และเด็กสาวตรงหน้าก็กรีดร้องออกมา
“อ๊า!!!”
‘เธอกลัวเสียงฟ้าผ่านี่เอง…’
ยาคอปคิดในใจ พร้อมกับถอนหายใจออกมายาวๆ และล้มเลิกความตั้งใจที่จะผลักให้เธอออกไปจากห้องนอนของตัวเอง เพราะเด็กหนุ่มรู้ดีว่าการที่จะผลักให้คนคนหนึ่งเผชิญหน้ากับความหวาดกลัวของตัวเองเพียงลำพังนั้นมันทรมานสำหรับคนคนนั้นแค่ไหน
เพราะเขาในตอนเด็กก็เคยเผชิญกับพวกมันมาแล้ว และเผชิญเพียงลำพัง…
แต่ปัญหาคือเขาจะทำยังไงกับยัยเด็กผู้หญิงตรงหน้าที่กำลังตัวสั่นเป็นเจ้าเข้านี่ดี
ใจหนึ่งยาคอปนึกอยากจะหัวเราะดังๆ ที่มากาเรเทอผู้ดีดเป็นม้าเองก็มีด้านที่น่ารักแบบนี้อยู่ด้วย แต่อีกใจก็กลัวมันจะเสียมารยาทและเธอจะโกรธเอาในภายหลังได้
และแล้วยาคอปก็คิดออกว่าควรจะต้องทำยังไง เพราะสมัยเด็กเวลาเขากลัวฟ้าผ่า โทมัสหรือเฟลิเซียมักจะทำแบบนี้กับเขาเสมอ เด็กหนุ่มจึงทำตามแบบที่พ่อแม่เคยทำกับเขาในทันที
“เอ๊ะ?”
มากาเรเทออุทานออกมา เมื่อสัมผัสได้ถึงไออุ่นของใครบางคนที่กำลังโอบกอดตัวเองอยู่
พอลืมตาขึ้นมาก็พบกับยาคอปที่กำลังโอบกอดเธอเอาไว้อย่างอ่อนโยนจากทางด้านหลัง
“ไม่เป็นไรนะ ก็แค่ฟ้าผ่าเอง~ โอ๋ๆ~”
ยาคอปพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พยายามเลียนโทนเสียงให้ใกล้กับโทนเสียงที่โทมัสใช้ปลอบเขาตอนเด็กๆ ให้ได้มากที่สุด
“ทะ…ทำอะไรน่ะ? อ๊า!!”
มากาเรเทอถามเสียงสั่นๆ แต่ก็ต้องกรีดร้องออกมาอีกครั้งเมื่อเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น
“ถือซะว่าเป็นการเอาคืนที่เธอชอบกอดฉันก็แล้วกัน~ ไม่เป็นไรนะ~ ถ้ากลัวมันมากๆ ก็ใช้อ้อมกอดของฉันเป็นที่หลบภัยเถอะนะ~”
ยาคอปพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มๆ
‘อีกแล้ว…น้ำเสียงแบบนี้…กำลังจะทำให้ความรู้สึกของฉัน…’
มากาเรเทอคิดในใจ
“โอ๋ๆ~ ไม่เป็นไรนะ~ หลับซะนะเด็กดี~”
ยาคอปลูบศีรษะของเด็กสาวในอ้อมกอดเบาๆ
มากาเรเทอปล่อยให้ตัวเองไหลไปตามเสียงปลอบโยนอันแสนอ่อนนุ่มนั้น ไม่รู้ว่าทำไมอ้อมกอดนี้มันถึงได้อ่อนโยนนัก อ่อนโยนมากเสียจนเธอลืมการมีอยู่ของเสียงฟ้าผ่าไปโดยสิ้นเชิง แม้จะมีพวกมันอยู่ แต่เด็กสาวก็คิดว่าถ้าอยู่ในอ้อมกอดนี้ก็ไม่มีปัญหา
มากาเรเทอหมุนตัวในอ้อมกอดหลวมๆ นั้น หมุนหันกลับมากอดยาคอปเอาไว้แน่น ตอนนี้เด็กสาวไม่กลัวเสียงฟ้าผ่าแล้ว แต่เธอก็เจ้าเล่ห์มากพอที่จะใช้สถานการณ์นี้ให้เป็นประโยชน์ในการตักตวงความอบอุ่นจากเด็กผู้ชายคนนี้ แต่เพื่อความเนียน เธอได้ทำตัวให้สั่นเบาๆ เหมือนกับยังกลัวฟ้าผ่าอยู่
‘ฮะๆ น่ารักซะจริง ยัยเด็กผู้หญิงคนนี้’
ยาคอปที่คิดว่ามากาเรเทอยังคงกลัวเสียงฟ้าผ่าอยู่แอบยิ้มในใจให้กับความน่ารักของเด็กสาวตรงหน้า
แล้วเขาก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงนอนเพื่อปรับท่าทางให้สบายต่อตัวของมากาเรเทอมากที่สุด อีกทั้งยังได้ห่มผ้าห่มให้กับเธออีกด้วย
“ฝันดีนะ~ วันนี้นอนกอดฉันแบบนี้นี่แหละ ฉันอนุญาต~”
ยาคอปพูดเสียงนุ่มๆ พร้อมกับลูบศีรษะของมากาเรเทอไปด้วย
“อือ~”
มากาเรเทอครางรับเบาๆ
ก่อนที่ทั้งคู่จะนอนกอดกันและคล้อยสู่ห้วงนิทราไปพร้อมๆ กัน
.
ตอนเช้ามืดหลังจากพายุสงบ แอร์นาและเฮนรี่ก็ได้เดินทางกลับมาบ้าน และพวกเขาก็ต้องแปลกใจที่พบว่ามากาเรเทอไม่ได้อยู่ที่ห้องนอนของตัวเองแบบที่ควรจะเป็น
พวกเขาจึงไปดูที่ห้องของยาคอปเผื่อว่ามากาเรเทอจะตื่นแล้ว และกำลังไปมุดผ้าห่มของเขาแบบที่ทำประจำ
แต่เมื่อเปิดประตูห้องนอนของยาคอปเข้าไปแล้ว พวกเขาทั้งสองคนก็ยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน เมื่อพบว่าลูกสาวและลูกบุญธรรมของตัวเองกำลังนอนกอดกันราวกับคุณแฟนหนุ่มกับแฟนสาว และยังคงตกอยู่ในห้วงนิทราด้วยกันทั้งคู่
“น่ารักดีนะคะคุณ~”
แอร์นาพูดเบาๆ กับผู้เป็นสามี
“นั่นสินะ ถ้าได้ยาคอปมาเป็นลูกเขย ผมก็ไม่ติดอะไรนะ”
เฮนรี่พูดเบาๆ
“เรื่องนี้คงต้องถามมากาเรเทอกับเจ้าตัวนั่นแหละค่ะ ว่าพวกเขาใจตรงกันไหม~”
แอร์นาตอบกลับ
“อย่ากวนพวกเขาเลย ไปเตรียมมื้อเช้ารอพวกเขาเถอะ~”
เฮนรี่พูดกับภรรยา
ก่อนที่พวกเขาจะปิดประตูห้องนอนเบาๆ และปล่อยให้ยาคอปกับมากาเรเทอนอนกอดกันอยู่แบบนั้น
และบัดนี้ เส้นด้ายแห่งโชคชะตาของพวกเขาทั้งคู่ได้สัมผัสกัน และพวกมันพร้อมที่จะหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียวในอนาคตแล้ว…