2 ตุลาคม ปีคริสต์ศักราช 1941
ปฏิบัติการไต้ฝุ่น (Operation Typhoon) ของกองทัพเยอรมันได้เริ่มดำเนินการ ทหารเยอรมันหลักล้านนายได้กรีฑาทัพเข้าร่วมปฏิบัติการนี้
แต่การจะยึดกรุงมอสโควนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ทุกตารางเมตรที่อยู่เบื้องหน้าทหารเยอรมัน มันคือลานสังหารชั้นยอดที่ถูกออกแบบโดยกองทัพแดง
แม้การรุกไปข้างหน้าพร้อมยานเกราะจะเป็นเรื่องที่พอจะทำให้อุ่นใจได้บ้าง แต่การที่ต้องสู้กับข้าศึกที่พร้อมจะพลีชีพจนตัวตายนั้นก็เป็นอะไรที่ชวนขวัญเสียอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
โทมัสได้สังหารทหารโซเวียตไปหลายสิบนายนับตั้งแต่ปฏิบัติการไต้ฝุ่นถูกดำเนินการ จนร่างกายของเขาเริ่มอ่อนล้า และไม่ใช่เพียงแค่เขา ทหารหลายนายเองก็ต่างอ่อนล้าเพราะขาดการพักผ่อนที่เพียงพอ
สายลมแห่งความเปลี่ยนแปลงระลอกที่หนึ่งได้พัดพามาสู่สนามรบในด้านตะวันออก เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 1941 หิมะแรกของฤดูได้โปรยปรายลงมาจากฟากฟ้าและละลายอย่างรวดเร็ว จนทำให้ผืนดินกลายเป็นแอ่งโคลนขนาดใหญ่
ทหารโซเวียตเรียกเหตุการณ์นี้ที่เกิดซ้ำในทุกๆ ปีว่า ‘รัสปูติซา’ และพวกมันขัดขวางการรุกไปข้างหน้าของกองทัพเยอรมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“ฉันว่า…ไอ้โคลนบ้าพวกนี้แหละที่จะทำให้เราทำตามแผนไม่สำเร็จ”
ทหารเยอรมันนายหนึ่งในหน่วยของโทมัสพูดขึ้น
และก็เป็นดังที่ทหารรายนั้นกล่าว เพราะยานเกราะชนิดต่างๆ ของเยอรมันต้องหยุดชะงักลงเมื่อเจอกับสภาพแผ่นดินที่เป็นแอ่งโคลนขนาดมหึมา ที่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เหมือนกันไปหมดจนสุดลูกหูลูกตา
อีกทั้งมันยังทำให้การส่งกำลังบำรุงล่าช้าขึ้นไปอีก เพราะรถขนส่งยุทธภัณฑ์ทั้งหลายนั้นติดหล่ม ต้องใช้เวลานานกว่าที่จะลากจูงขึ้นมาได้
กองทัพเยอรมันที่ต้องใช้ความต่อเนื่องและความรวดเร็วจึงอ่อนกำลังลงไปอย่างมาก
และนั่นเป็นสัญญาณที่ไม่ดีเอาเสียเลย…
เพราะโทมัสที่อยู่แนวหน้านั้นได้ยินเสียงของยานเกราะของฝ่ายโซเวียตเสริมกำลังให้แนวรบกันตลอดทั้งวันทั้งคืน บนท้องฟ้าเองก็มียุทธเวหาที่ดุเดือดระหว่างกองทัพอากาศเยอรมันกับกองทัพอากาศของสหภาพโซเวียต
ปืนใหญ่ของทั้งสองฝั่งระดมยิงใส่แนวรบของอีกฝ่ายเพื่อตัดกำลังก่อนการออกตีในแต่ละครั้ง การยื้อยุดฉุดกระชากกันไปมาแบบนี้ ทำให้สหภาพโซเวียตที่เป็นฝั่งตั้งรับนั้นได้เปรียบกว่า
แม้กองทัพเยอรมันจะรุกจนสามารถกินพื้นที่ของสหภาพโซเวียตได้มหาศาล แต่เมื่อเจอกับการต้านทานที่หนาแน่น ห่ากระสุนปืนใหญ่ของกองทัพแดง การโจมตีจากยานเกราะและทหารราบ กำลังสนับสนุนจากทางอากาศ และที่สำคัญสภาพอากาศที่ไม่เป็นใจและไม่คุ้นเคย พวกเขาก็ไม่สามารถที่จะไปต่อได้
กองทัพเยอรมันสามารถไปได้ไกลที่สุดคือ 12 กิโลเมตรห่างจากกรุงมอสโคว และหลังจากนั้นพวกเขาก็โดนกองทัพแดงที่มีกำลังพลสดใหม่กว่าผลักดันให้ออกห่างจากกรุงมอสโควเรื่อยๆ
และเมื่อฤดูหนาวอันแสนโหดร้ายมาถึงบวกกับแผนปฏิบัติการที่ล้มเหลว กองทัพเยอรมันก็ต้องพบกับความท้าทายครั้งใหม่ที่จะเดิมพันถึงชะตาของพวกเขาในแผนปฏิบัติการบาร์บารอสซ่า
อุณหภูมิอันหนาวยะเยือกของสหภาพโซเวียตนั้นโหดร้ายทารุณจนกองทัพเยอรมันที่ไม่ทันได้เตรียมตัวนั้นมีปัญหา ยานเกราะบางชนิดไม่สามารถเดินเครื่องได้เนื่องจากห้องเครื่องนั้นเย็นจนเกินไป
ทหารหลายนายประสบกับปัญหาความหนาวเย็นจนเกินกว่าที่ร่างกายจะทนไหวจนแข็งตายไปเลยก็มี อุณหภูมิที่กองทัพเยอรมันต้องเผชิญนั้นอยู่ที่ราวๆ -37 ถึง -38 องศาฟาเรนไฮต์ ซึ่งมันเกินกว่าที่มนุษย์จะอาศัยอยู่กลางดินกินกลางทรายได้
.
“ถ้าพวกเราอยู่บ้าน ป่านนี้คงกำลังจะเตรียมฉลองคริสต์มาสกันแล้ว”
ทหารเยอรมันนายหนึ่งพูดขึ้น ในขณะที่กำลังพยายามก่อกองไฟ เพราะอากาศในตอนกลางคืนนั้นมันหนาวจนเกินกว่าที่จะข่มตาหลับลงได้
“จริงด้วย! เราจะมาหนาวตายกันในแนวหน้าแบบนี้เหรอเนี่ย ให้ตายเถอะ…”
ทหารอีกนายพูดขึ้น พลางแงะเนื้อกระป๋องที่ไปค้นมาจากศพของพวกโซเวียตมาได้เพื่อจะรับประทานมันในขณะที่นั่งผิงไฟด้วย
“ทำไมท่านผู้นำของเรากับสตาลินไม่ลงมาต่อยกันเองนะ ฝ่ายไหนชนะก็ได้ดินแดนไป ง่ายๆ แค่นี้เอง”
ทหารอีกนายที่สวมแว่นพูดขึ้น
“พูดน่ะมันง่าย แต่นายคิดเหรอว่าท่านผู้นำเราจะทำอะไรแบบนั้น?”
ทหารเยอรมันที่กำลังก่อกองไฟพูดขึ้น
“ไม่รู้สิ แต่คนเยอรมันต้องมาตายแบบไร้ค่าไปเรือนหมื่นเรือนแสนนายในดินแดนเฮงซวยนี่ ถ้าเป็นฉัน ฉันจะไม่ยอมให้คนต้องมาตายแบบนี้แน่นอน ฉันจะต่อสายโทรศัพท์ไปที่เครมลินแล้วท้าสตาลินต่อยเลย”
ทหารที่สวมแว่นพูดตอบเพื่อน
“ไม่มีวันซะหรอก! ช่างเรื่องนั้นเถอะ! กองไฟได้แล้ว!”
ทหารที่ก่อกองไฟยิ้มร่าเมื่อเปลวไฟปะทุขึ้นมา
ทหารทั้งสี่นายที่นั่งล้อมกองไฟคลายหนาวนั้น พอพวกเขาได้รับไออุ่นก็เริ่มที่จะทำให้พวกเขาอยากที่จะมีชีวิตรอดกลับไปขึ้นมานิดหน่อย
ในขณะเดียวกัน โทมัสที่กำลังจะเดินไปทำธุระบางอย่างก็เดินผ่านมาพอดี
“นั่นพวกแกกำลังจะทำอะไร?”
โทมัสถาม
“ผิงไฟคลายหนาวครับท่านร้อยเอก! ท่านจะมาเอาความอบอุ่นด้วยไหมครับ?”
ทหารที่นั่งเคี้ยวเนื้อกระป๋องกลืนอาหารลงไปก่อนจะพูดกับโทมัส
“ดับพวกมันเดี๋ยวนี้!!!”
โทมัสตะโกนออกคำสั่งเสียงดัง
เสียงของเขาทำให้ทหารเยอรมันในกองร้อยที่ขุดหลุมบุคคลอยู่ใกล้ๆ เงยหน้าขึ้นมาดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น
“ทำไมล่ะครับ?”
ทหารที่ใส่แว่นถามขึ้น
แต่ไม่ทันที่โทมัสจะได้ตอบคำถาม เสียงหวีดแหลมของลูกกระสุนปืนใหญ่ฝ่ายโซเวียตก็ดังขึ้น และเมื่อมันตกกระทบพื้นก็เกิดเสียงระเบิดดังกัมปนาทไปทั่วทั้งบริเวณ และตามมาอีกหลายนัด
“ทุกคนหมอบลง!!!”
โทมัสโผลงในหลุมบุคคลของทหารนายหนึ่งใกล้ๆ ตัว
โทมัสคาดว่าทหารโซเวียตที่ทำหน้าที่เป็นผู้ตรวจการณ์หน้าของฐานปืนใหญ่สังเกตเห็นกองไฟดังกล่าว ก่อนจะแจ้งพิกัดไปให้ฐานปืนใหญ่ยิงมาถล่มพวกเขาแบบนี้
“เหวอ!! ว้ากกกก!!!!”
ทหารที่อยู่ในหลุมเดียวกับโทมัสเกิดอาการตื่นเสียงกระสุนปืนใหญ่ เขากรีดร้องออกมาสุดเสียงและพยายามจะตะเกียกตะกายออกจากหลุม นั่นชวนให้โทมัสประสาทเสียแบบสุดๆ
“นั่นแกจะไปไหน!!!”
โทมัสคว้าไหล่ของทหารนายนั้นเอาไว้
การวิ่งออกไปในตอนนี้เรียกได้อย่างเต็มปากว่าเป็นการฆ่าตัวตายดีๆ นี่เอง เพราะกระสุนปืนใหญ่นั้นตกลงอยู่ทุกที่ ทางเดียวที่จะรอดคือก้มตัวหมอบต่ำในหลุมบุคคลและภาวนาให้กระสุนปืนใหญ่จะไม่ตกลงมาโดนตัวเองเท่านั้น
แต่ก็ไม่ทันแล้ว ทหารนายนั้นวิ่งออกไปด้วยความตื่นกลัว ก่อนที่กระสุนปืนใหญ่ลูกหนึ่งจะตกใส่ร่างของเขาและระเบิดออก โทมัสถูกแรงระเบิดดันให้ติดกับผนังของหลุมบุคคล แต่เขาพยายามดึงสติตัวเองไม่ให้หลุดหรือสลบไป เพราะไม่อย่างนั้น เขาได้เป็นรายต่อไปแน่!
ปืนใหญ่ฝ่ายโซเวียตระดมยิงอยู่ราวๆ 15 นาที ทุกอย่างจึงเงียบสงบลง เมื่อแน่ใจแล้วว่าปลอดภัยทหารเยอรมันจึงออกมาสำรวจพื้นที่ดูว่ามีอะไรเสียหายบ้าง
โทมัสลุกขึ้นมาจากหลุมบุคคล สวมหมวกเหล็กประจำตัวให้เรียบร้อย สะพายปืนขึ้นบ่า เขาต้องเช็คอะไรหลายๆ อย่างหลังการโจมตีแบบนี้
แต่สภาพทุกอย่างนั้นเละสุดๆ มีซากศพตายเกลื่อนกลาด รวมไปถึงตัวการสี่คนนั้นด้วย กระสุนปืนใหญ่คงบังเอิญตกกลางวงของพวกเขาในขณะที่กำลังหลบกันพอดี
ร่างของพวกเขาแหลกกระจุยไม่เหลือชิ้นดี มีเพียงทหารคนที่สวมแว่นที่ยังพอเหลือส่วนตัวครึ่งบนให้ดูได้บ้างว่าเคยเป็นใคร
“จัดการเก็บป้ายชื่อคนที่เสียชีวิตมาด้วย แล้วมารายงานฉันที่กองบัญชาการของกองร้อยด้วย”
โทมัสสั่งลูกน้อง
“ทราบแล้วครับ”
ทหารเยอรมันนายหนึ่งรับทราบคำสั่ง
หลังจากนั้นโทมัสจึงเดินกลับไปที่อาคารบัญชาการของกองร้อยที่ทำขึ้นมาจากไม้ซุงและขุดลงไปเป็นสนามเพลาะ เพื่อตรวจดูทุกอย่างและรายงานต่อผู้บังคับบัญชากองพัน
.
วันถัดๆ มาก็ยังคงเหมือนเดิม พวกเขาต้องรับมือกับจรวดหลายลำกล้องที่ปูพรมเปิดทางให้กับทหารราบของกองทัพแดงที่วิ่งเข้ามาราวกับคนคลั่ง ก่อนจะตามมาด้วยเสียงตะโกนอันทรงพลังที่ทำให้คนขวัญอ่อนสติกระเจิงได้
“Москва за нами! (มอสโควอยู่หลังพวกเรา!)”
และการต่อสู้นั้นดุเดือดและรุนแรงจนชนิดที่ต้องมีการสู้รบกันแบบตัวต่อตัวในระยะประชิด ในคูสนามเพลาะแคบๆ หรือหลุมบุคคล
พลั่ว ดาบปลายปืน มีดพก ปืนสั้น หมัด ปาก และอื่นๆ ที่สามารถหยิบมาต่อสู้ป้องกันตัวได้ถูกหยิบมาใช้จนหมดสิ้น
โทมัสสังหารทหารโซเวียตสามนายด้วยพลั่ว และอีกสองนายด้วยดาบปลายปืน เขาเกือบพลาดท่าครั้งหนึ่ง แต่ถูกชิลเลอร์ช่วยเอาไว้ได้ทัน
โทมัสยังจำภาพสีหน้าความหวาดกลัวของทหารโซเวียตที่เขาสังหารได้อย่างแม่นยำ สีหน้าเมื่อรู้ว่ามัจจุราชกำลังเรียกหาพวกเขา และพวกเขาจะต้องตายอย่างแน่นอน
แม้จะเป็นทหารมานาน แต่การได้สังหารคนที่มีเลือดมีเนื้อยังคงเป็นเรื่องที่โทมัสไม่ถูกกับมันอยู่ดี เขารู้ดีว่าในสนามรบมีเพียงคำว่า ‘หากไม่ฆ่า ก็ถูกฆ่า’ และเขาจะไม่ยอมมาตายในดินแดนเส็งเคร็งนี่แน่นอน
.
“ยิงที่หัว และเช็คทุกศพด้วยว่ามีอะไรที่เป็นประโยชน์ไหม”
โทมัสออกคำสั่งกับทหารในกองร้อย
พวกเขาต้องเดินเช็คศพทุกศพ เพราะในบางทีอาจจะเป็นแค่ทหารโซเวียตที่แกล้งตาย และเมื่อทหารเยอรมันเข้าใกล้ก็จะปลิดชีพไปพร้อมกับตัวเอง ดังนั้น จึงต้องทำให้มั่นใจว่าตายสนิททุกศพแล้วจริงๆ
“ศพนี้ยังอุ่นเกินไป!”
ทหารเยอรมันนายหนึ่งพูด ก่อนจะลั่นไกเข้าไปที่สมองของทหารโซเวียตรายนั้น ร่างนั้นกระตุกอย่างแรง เป็นสัญญาณว่าเขายังมีชีวิตอยู่จนถึงเมื่อก่อนที่จะลั่นไกไปนี่เอง
“เหวอ!!”
ทหารนายหนึ่งอุทานออกมา เมื่อร่างของทหารโซเวียตที่อยู่ใกล้ๆ ลุกขึ้นมาพร้อมมีดพก และกำลังเงื้อมือจะแทงเขา
‘ปัง!’
สิ้นเสียงปืน ร่างของทหารโซเวียตรายนั้นก็ทรุดลงไปนอนที่พื้นพร้อมกับรูที่กะโหลกศีรษะและเลือดที่ไหลออกมานองพื้น
ผู้เป็นเจ้าของเสียงปืนคือ โทมัสที่ยืนถือปืนพกลูเกอร์ประจำตัว ก่อนที่เขาจะเก็บมันและย้ำกับทหารที่อยู่รอบๆ ว่า
“ฉันบอกให้ยิงทุกศพ พวกนายก็ต้องยิงทุกศพ ไม่งั้นนายจะได้ไปสวรรค์พร้อมพวกมันแน่ๆ เข้าใจไหม!!”
“ทราบครับ!”
“ทราบครับ!”
“ทราบครับ!”
ทหารในหน่วยของโทมัสขานรับโดยพร้อมเพรียงกัน เพราะหากไม่ทำตามที่โทมัสพูดแล้วล่ะก็ พวกเขาได้ตายกันจริงๆ อย่างแน่นอน
.
หลังจากได้รับรายงานรื่องความเสียหายของแนวรบที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้งที่กองทัพแดงบุกเข้ามา ความเสียหายที่ไม่อาจจะประเมินค่าได้ ชีวิตของทหารเยอรมันนับหมื่นที่ตายไป ยานเกราะชนิดต่างๆ ที่สูญเสียไป และมันยากเกินกว่าจะทดแทนได้ ในหลายๆ ครั้งการสถาปนาแนวรบขึ้นมาใหม่นั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้
และในเดือนมกราคม 1942 พวกเขาก็อยู่ห่างจากกรุงมอสโควไปทางทิศตะวันตกราวๆ 155 ไมล์
มันทำให้ทางฝ่ายกองบัญชาการกลุ่มกองทัพกลางของกองทัพเยอรมันประเมินแล้วว่า
‘พวกเขาล้มเหลวโดยสิ้นเชิงในการยึดกรุงมอสโคว’
สิ่งนี้นับเป็นความล้มเหลวครั้งแรกของกองทัพเยอรมันนับตั้งแต่เริ่มปฏิบัติการบาร์บารอสซ่าในเดือนมิถุนายน 1941
แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทหารเยอรมันในแนวหน้าของสนามรบก็ยังคงต้องทำการรบอยู่ต่อไป ชีวิตของทหารและนายทหารที่สูญเสียไปอย่างไม่สามารถเรียกกลับมาทดแทนได้ ยานเกราะและยุทธภัณฑ์ต่างๆ ที่ละลายหายไปในสงครามนั้นยากเกินกว่าที่จะเรียกหรือฟื้นฟูกลับมาให้ได้โดยเร็ว
สัญญาณหลายอย่างบ่งบอกว่าสายลมแห่งความเปลี่ยนแปลงได้เริ่มพัดพามาสู่อาณาจักรไรช์ที่สามของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ที่พยายามจะทะเยอทะยานเหนือทุกอย่างในโลกแล้ว!!