หลังจากการตายของแวร์เนอร์และความปราชัยของกองทัพเยอรมันในทิศตะวันตก ก็ไม่มีสิ่งใดเลยที่จะขัดขวางความหายนะที่จะเกิดขึ้นกับอาณาจักรไรช์ที่สามของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์
ทิศตะวันตกมีพวกสัมพันธมิตรฝ่ายตะวันตกกำลังรุกคืบผ่านพรมแดนเบลเยี่ยมมาแล้ว ทางทิศใต้พวกสัมพันธมิตรตะวันตกก็รุกคืบขึ้นมาถึงตอนกลางของอิตาลี ทิศตะวันออกก็มีกองทัพแดงจำนวนหลายล้านคนกำลังกรีฑาทัพเข้ามาประชิดพรมแดน
มีการระดมทิ้งระเบิดในเมืองสำคัญๆ ของเยอรมนีแทบจะทุกวัน ซึ่งกองทัพอากาศเยอรมันทำได้เพียงนั่งมองชาวเมืองหลายพันคนที่ต้องสังเวยชีวิตไปกับหายนะที่มาจากฟากฟ้า เพราะพวกเขาแทบไม่เหลือเครื่องบินเอาไว้ป้องกันน่านฟ้าของตัวเองเลย
ที่ดอร์ทมุนด์เองก็เช่นกัน เฟลิเซียกับยาคอปต้องอาศัยอยู่ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายในทุกๆ วัน เพราะเมืองของพวกเขาคือจุดยุทธศาสตร์สำคัญอันเป็นที่ตั้งของโรงงานอุตสาหกรรมผลิตน้ำมันสังเคราะห์ขนาดใหญ่ของเยอรมนี
การโจมตีนั้นเกิดขึ้นในทุกๆ วัน แทบจะตลอดเวลา จนชาวเมืองไปเป็นอันทำงานหรือทำกิจวัตรใดๆ ที่ทำได้ก็มีเพียงแค่วิ่งหลบและภาวนาให้ระเบิดพวกนั้นไม่ลงที่กลางหัวของตัวเองเท่านั้น
จนมาถึงคราวที่เปรียบเสมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้เฟลิเซียตัดสินใจอพยพพายาคอปหนีภัยของสงครามไปทางทิศตะวันออก โดยมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่กรุงเบอร์ลิน เมืองหลวงของอาณาจักรไรช์ที่สามที่เคยรุ่งโรจน์ในอดีต
ที่นั่นยังคงมีน้องชายคนสุดท้องของโทมัสอย่าง กึนเทอร์ ฮอฟมัน อยู่ เขาเป็นเจ้าหน้าที่เกสตาโปในกรุงเบอร์ลิน และเฟลิเซียคิดว่าแม้ว่ามันจะมีโอกาสเพียงริบหรี่ที่จะเอาชีวิตรอดจากสถานการณ์เช่นนี้ไปได้ แต่ถ้ามันเป็นไปเพื่อความอยู่รอดของเธอกับลูกชายแล้วล่ะก็ เธอก็จะคว้ามันเอาไว้ แม้ว่ามันจะเสี่ยงแค่ไหนก็ตาม
“แม่ฮะ…เราจะไปไหนกันเหรอฮะ?”
ยาคอปถาม ในขณะที่เดินจูงมือเดินตามผู้เป็นแม่และคนอื่นๆ ไปทางทิศตะวันออก
“เราจะไปหาอากึนเทอร์กันนะลูก ย็อค! ฟังแม่นะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แม่จะต้องรับประกันความปลอดภัยของลูก แม้ว่าแม่จะต้องสละชีวิตก็ตาม…”
เฟลิเซียย่อตัวลงมาคุยกับลูกชาย
“แต่ผม…ผมไม่อยากให้แม่จากไปไหนนะฮะ”
ยาคอปพูดเสียงสั่นเครือ เขาไม่อยากเสียผู้เป็นแม่ไป ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม ถ้าหากต้องสูญเสียเธอไปแล้ว เด็กน้อยคงไม่อาจที่จะทนมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างแน่นอน
“แม่สัญญานะ…แม่จะไม่ไปไหน”
เฟลิเซียนำศีรษะของตัวเองชนกับของลูกชายเบาๆ
“ฮะ…”
ยาคอปกอดผู้เป็นแม่เอาไว้แน่น
“เดินกันต่อเถอะนะลูก เบอร์ลินยังอีกไกลเลย”
เฟลิเซียพูดกับลูกชาย ก่อนที่เธอจะยิ้มออกมาจางๆ รอยยิ้มอันแสนอ่อนโยนที่ยาคอปไม่เคยได้เห็นมันอีกเลยนับตั้งแต่ที่สูญเสียผู้เป็นพ่อไป จนกระทั่งวันนี้
สองแม่ลูกพร้อมด้วยชาวเมืองดอร์ทมุนด์อีกจำนวนหนึ่งเลือกที่จะละทิ้งบ้านเกิดเมืองนอนหนีภัยของสงครามไปที่กรุงเบอร์ลิน เพราะได้ยินมาว่าที่นั่นยังคงมีการป้องกันที่เข้มแข็งจากกองทหารรักษาการณ์ประจำเมือง พร้อมด้วยทหารอีกหลายหน่วยที่ถอยร่นมาจากแนวรบทางทิศตะวันออก
ระหว่างทางที่จะไปกรุงเบอร์ลิน พวกเขาได้พบกับความพินาศของเมืองที่อยู่ตามรายทางและเป็นเป้าหมายของการโจมตีทางยุทธศาสตร์
บ้านเมืองที่ครั้งหนึ่งเคยสวยงามราวกับจิตรกรรม บัดนี้เหลือเพียงแค่ซากปรักหักพัง มีซากศพอยู่มากมายที่ชาวเมืองพยายามเก็บกวาดกันอยู่ บางเมืองก็มีสภาพที่น่าหดหู่จนเกินกว่าจะบรรยายออกมาเป็นคำพูด หรือบางเมืองก็กลายเป็นเมืองร้างไปเลย เพราะผู้คนเลือกที่จะอพยพหนีภัยของสงครามเฉกเช่นเดียวกับพวกเขาในตอนนี้
เฟลิเซียรู้สึกหดหู่ใจที่บ้านเมืองเป็นเช่นนี้ เธอกล่าวโทษพวกพรรคนาซีที่นำชาติไปสู่หายนะเช่นนี้อยู่ในใจ และตั้งปณิธานเอาไว้ว่าถ้าหากเธอรอดชีวิตจากขุมนรกนี้ไปได้ และสงครามสงบลง เธอจะสอนพวกคนรุ่นหลังให้รู้ถึงความเลวร้ายของพวกมันที่ได้ก่อเอาไว้กับเยอรมนี
ในระหว่างที่ผู้อพยพจากดอร์ทมุนด์เดินทางออกมาได้ระยะหนึ่งแล้ว พวกเขาก็ได้ทราบข่าวว่า เมืองที่พวกเขาเคยอาศัยอยู่ บัดนี้ได้ตกอยู่ในการควบคุมของกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรตะวันตกแล้ว
นั่นทำให้มีผู้อพยพบางคนถอดใจที่จะไปกรุงเบอร์ลินที่ไม่รู้ว่าอนาคตแบบไหนจะรออยู่ และเลือกที่จะหันหลังกลับไปยังบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง เพราะอย่างน้อย การที่ได้ตกอยู่ในการดูแลของฝ่ายสัมพันธมิตรนั้นย่อมดีกว่าที่จะไปตายเอาดาบหน้าอยู่แล้ว
แต่นั่นไม่ใช่กับเฟลิเซียและยาคอป เฟลิเซียกังวลว่าการที่ครอบครัวฮอฟมันนั้นเป็นทหารกันเกือบทั้งครอบครัว อาจจะทำให้กองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรเพ่งเล็งและไม่อาจที่จะละเว้นชีวิตพวกเธอก็เป็นได้
หญิงสาวไม่อยากเสี่ยงที่จะตกอยู่ในมือของกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรตะวันตก แต่เธอเองก็ไม่รู้ว่ากรุงเบอร์ลินที่กำลังมุ่งหน้าไปนั้นจะเป็นสถานที่แบบไหน หรือจะมีอะไรคอยพวกเธออยู่ ที่เธอทำได้ในตอนนี้มีเพียงภาวนากับพระผู้เป็นเจ้าขอให้พวกเธอปลอดภัยจากสงครามเท่านั้น
.
เฟลิเซียเดินทางมาถึงเบอร์ลินในวันที่ 5 เมษายน 1945 เธอได้เห็นสภาพของเมืองที่กำลังวุ่นวายอย่างถึงขีดสุด มีทหารเยอรมันและหน่วยเอสเอสประจำตามจุดต่างๆ และคอยกวดขันให้ชาวเมืองสร้างสิ่งกีดขวาง และเตรียมพร้อมให้เมืองเป็นสนามรบรอคอยการบุกมาของพวกข้าศึก
เฟลิเซียพายาคอปตรงไปยังบ้านของกึนเทอร์ในทันที เธอเคยมาเยี่ยมเขาพร้อมกับโทมัสครั้งหนึ่ง ในคราวก่อนที่สงครามจะปะทุขึ้น เพราะอย่างนั้นแล้ว หญิงสาวจึงคุ้นเคยกับเมืองนี้ในระดับหนึ่ง
‘ปิ๊งป่อง!’
เฟลิเซียกดกริ่งหน้าห้องของกึนเทอร์
มีเสียงดังโครมครามมาจากภายในห้อง ไม่นานนักกึนเทอร์ในชุดเครื่องแบบเจ้าหน้าที่เกสตาโปแบบเต็มยศก็ปรากฏตัวขึ้น ในมือของเขาถือปืนพกแบบลูเกอร์เอาไว้ด้วย
เพราะเขาเป็นเจ้าหน้าที่เกสตาโประดับสูง การที่พวกข้าศึกจะส่งคนมาลอบสังหารเขานั้นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะอย่างนั้นแล้ว การป้องกันตัวเบื้องต้นนั้นถือเป็นเรื่องที่ไม่ได้เสียหายอะไร
“อ้าว! พี่เฟลิเซียกับยาคอปเองเหรอ?”
กึนเทอร์อุทานออกมาด้วยความแปลกใจ เพราะเขานึกว่าทั้งสองคนยังอยู่ที่ดอร์ทมุนด์และตกอยู่ในการควบคุมของพวกสัมพันธมิตรตะวันตกไปแล้ว
“จ้ะ! พี่เอง…”
เฟลิเซียยิ้มแบบขมขื่น
“เข้ามาข้างในก่อนสิครับพี่ ผมจะหาอะไรให้พี่ดื่มเอง”
กึนเทอร์ผายมือเชิญให้เฟลิเซียกับยาคอปเข้าไปข้างในห้อง
.
“โอ้โฮ! หลานอา! ไม่เจอกันนานตัวโตขึ้นตั้งเยอะเลย!”
กึนเทอร์อุ้มยาคอปขึ้นมาขี่คอ
“ฮะ!”
ยาคอปหัวเราะคิกคักหยอกล้อกับผู้เป็นอา เพราะอย่างไรก็ตาม เขากับอากึนเทอร์ก็ถือว่าสนิทกัน เป็นรองแค่เพียงโทมัสกับเฟลิเซียที่เป็นพ่อกับแม่เท่านั้น
“โทมัสกับแวร์เนอร์ตายแล้ว เธอรู้เรื่องนี้ใช่ไหมกึนเทอร์…”
เฟลิเซียพูดอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีการอ้อมค้อมใดๆ
“อื้ม! ผมรู้แล้วล่ะ! พี่โทมัสตายที่นอร์มังดี ส่วนพี่แวร์เนอร์ตายที่เบลเยี่ยม…ส่วนพ่อกับแม่ของผมนั้น…”
กึนเทอร์ชะงักไปชั่วขณะ เมื่อตระหนักได้ว่าในตอนนี้ครอบครัวของเขาจากไปหมดแล้ว มีเพียงเขาคนเดียวที่ยังคงมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ถ้าหากไม่นับเฟลิเซียกับเอ็ลซ่าที่แต่งเข้ามาเป็นสะใภ้ และยาคอปที่เป็นหลานของเขา
และด้วยความที่เขายังเป็นโสด ทำให้ไม่มีภรรยาหรือลูกแบบพี่ชายทั้งสองคน
“อืม…พวกท่านก็ตายแล้ว…ที่แฟรงก์เฟิร์ต”
เฟลิเซียหลับตาลงอย่างช้าๆ ราวกับกำลังไว้อาลัยให้แด่ผู้คนในครอบครัวที่จากไปเพราะภัยของสงคราม
“เอาเถอะ…พี่รู้ใช่ไหมว่าเมืองนี้กำลังจะกลายเป็นสนามรบ…”
กึนเทอร์พูดตัดบท ราวกับไม่อยากจะนึกถึงมันอีก
“รู้สิ! ดูจากสถานการณ์ภายในเมืองพี่ก็รู้แล้ว”
เฟลิเซียพยักหน้า
“ถ้าพี่รู้ก็ดี…ผมว่าพี่ควรออกไปช่วยพวกเขาเตรียมสถานที่นะ…เพราะถ้าคนของพวกผมจับได้ว่าพี่ซ่อนตัวอยู่ในบ้านผม…ผมคงไม่อาจขวางพวกเขาได้…เพราะนั่นมันคือกฎของที่นี่”
กึนเทอร์พูด พร้อมกับวางตัวของยาคอปลง
“พี่รู้…พี่ขอพักสักหน่อย เดี๋ยวตอนเย็นพี่จะออกไปช่วยพวกเขาเอง”
เฟลิเซียพูดกับกึนเทอร์
“อืม…ผมคงต้องไปทำงานก่อนนะพี่ ถ้าพี่หิว ในครัวมีถั่วกระป๋องกับขนมปังอยู่นะ พี่กินได้เลย ผมคงจะไปกินที่หน่วยนั่นแหละ”
กึนเทอร์พูดพร้อมกับหยิบหมวกขึ้นมาสวม
“โอเคจ้ะ ไปดีมาดีนะ”
เฟลิเซียโบกมือลากึนเทอร์ที่กำลังจะออกไปทำงาน
“แม่ฮะ ผมหิว…”
ยาคอปดึงชายเสื้อของผู้เป็นแม่ เพราะเขารู้สึกหิวหลังจากการเดินทางอันแสนยาวนานนี้
“โอเคจ้ะ รอแม่ก่อนนะ แม่จะไปดูว่ามีอะไรที่พอจะให้ลูกกินได้บ้าง”
เฟลิเซียลูบศีรษะลูกชายของตัวเอง ก่อนจะตรงเข้าไปในครัวเพื่อหาดูว่ามีอะไรให้ยาคอปกับเธอได้ทานประทังความหิวได้บ้าง
.
ตกช่วงบ่าย เฟลิเซียกับยาคอปนั้นได้ออกไปช่วยชาวเมืองเบอร์ลินในการเตรียมสถานที่สำหรับทำสงครามป้องกันเมือง แม้จะมาจากต่างเมือง แต่เมื่อยามเยอรมนีมีภัย ทุกคนคือชาวเยอรมันที่ต้องรับผิดชอบร่วมกัน
มีการวางสิ่งกีดขวางยานเกราะเอาไว้มากมายตามรายทางต่างๆ การสร้างรังปืนกลสำหรับป้องกันถนนจากทหารราบ การจัดวางกำลังทหารและเวรยามก็ดูจะแน่นหนาขึ้นเป็นลำดับ
เฟลิเซียได้ยินจากกึนเทอร์ที่กลับมาที่บ้านเล่าให้ฟังว่า ที่เนินเขานอกเมือง อันเป็นปราการด่านแรกในการป้องกันพวกโซเวียตนั้นมีการจัดวางกำลังเอาไว้อย่างหนาแน่น
หากโชคดีหน่อยก็คงจะตัดกำลังพวกมันก่อนที่จะเข้ามาถึงเมืองได้ แต่หากโชคร้าย เมื่อทหารโซเวียตเข้ามาถึงตัวกรุงเบอร์ลินได้ ณ ตอนนั้น พลเมืองทุกคนไม่ว่าชายหรือหญิง เด็กหรือคนแก่ ทุกคนต้องจับอาวุธเข้าต่อสู้กับทหารโซเวียต เพราะมันคือกฎของเยอรมนีในตอนนี้
พวกเบื้องบนไม่สนว่าจะต้องสูญเสียไปเท่าไหร่ ใครจะเป็นหรือตายยังไง ที่สำคัญคือต้องปกป้องกรุงเบอร์ลินเอาไว้ให้ได้
“ตอนนี้พี่พักผ่อนเถอะ พี่กับยาคอปไปนอนบนเตียงของผมได้เลย ผมจะนอนที่โซฟาเอง ในตอนนี้ยังพอมีเวลาให้พักหายใจได้อยู่ แต่ผมก็ไม่รู้หรอก ว่ามันจะเป็นแบบนี้ต่อไปได้อีกนานแค่ไหน”
กึนเทอร์พูดกับเฟลิเซีย
“ทำไมล่ะจ๊ะ?”
เฟลิเซียถาม ในขณะที่เช็ดปากให้กับยาคอปหลังมื้ออาหารค่ำจบลง
“แนวรบของเยอรมันทางด้านทิศตะวันออกถูกพวกโซเวียตตีแตกแล้ว พวกมันจะมาถึงเบอร์ลินเมื่อไหร่ก็ขึ้นอยู่กับเวลาแล้วล่ะพี่”
กึนเทอร์พูดอย่างเยือกเย็น
กึนเทอร์ไม่อาจที่จะหนีไปไหนได้ เพราะด้วยหน้าที่ที่ต้องรักษาความสงบเรียบร้อยของเมืองหลวงในยามที่ผู้คนกำลังระส่ำระสาย และชายหนุ่มเองรู้ดีว่าด้วยตำแหน่งหน้าที่ของเขา ต่อให้หนีรอดและไปมอบตัวกับพวกสัมพันธมิตรตะวันตก ก็คงไม่พ้นที่จะถูกตัดสินประหารชีวิตอยู่ดี
เพราะมือของกึนเทอร์มันเปื้อนเลือดเสียยิ่งกว่าพี่ชายทั้งสองคนเสียอีก ชาวยิว ประชาชนผู้บริสุทธิ์ ทหารฝ่ายสัมพันธมิตรหรือโซเวียต พวกเขาจำนวนนับไม่ถ้วนต้องตายเพราะคำสั่งของหน่วยเกสตาโป และบางคำสั่งเองก็มาจากตัวของกึนเทอร์โดยตรง
ความผิดบาปนี้ แม่ของเขาและพี่ชายคนโตเคยทัดทานแล้ว แต่ชายหนุ่มเลือกที่จะละเลยมัน และใช้อำนาจของตัวเองในการออกคำสั่งอันแสนโหดร้ายและชั่วช้า
พอรู้ตัวอีกที เส้นทางของเขามีเพียงซากศพของผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วน จนไม่สามารถที่จะถอยหลังกลับไปได้อีกแล้ว สิ่งที่ทำได้มีเพียงดันทุรังไปข้างหน้าต่อด้วยกำลังทั้งหมดที่มี แม้ว่าอาณาจักรที่เขาเชื่อมั่นมาตลอดว่ามันจะรุ่งโรจน์ไปยาวนานนับพันปีกำลังจะพังลงในไม่ช้านี้ก็ตาม
กึนเทอร์ได้เตรียมใจที่จะตายเอาไว้เรียบร้อยแล้ว และชายหนุ่มจะไม่หนีไปไหนเด็ดขาด เขาจะสู้จนกว่าตัวจะตายและกระสุนนัดสุดท้ายจะถูกยิงออกไป
และเมื่อเวลานั้นมาถึง กึนเทอร์ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดที่จะปลิดชีพตัวเองตามพี่ชายทั้งสองคนของตัวเองไป
เขารู้ตัวดีว่าเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะภาวนาขออะไรจากพระผู้เป็นเจ้า เพราะความผิดบาปของเขาที่ได้ก่อขึ้น แต่เขาหวังแค่เพียงว่าพี่สะใภ้ของเขาและหลานชายที่เขารักมากที่สุดจะยังคงปลอดภัยก็เพียงพอแล้ว…