บทที่ 12: กลุ่มกุหลาบขาว (Die Weiße Rose)

2333 Words
เดือนมิถุนายน 1942 เมืองมิวนิก ประเทศเยอรมนีภายใต้การปกครองระบอบเผด็จการฟาสซิสต์ของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ และพรรคนาซีเยอรมัน มีกลุ่มนักศึกษาและคณาจารย์ของมหาวิทยาลัยมิวนิกกลุ่มหนึ่งลุกขึ้นมาต่อต้านความอยุติธรรมและพยายามที่จะหยุดยั้งความบิดเบี้ยวของสังคม ณ ขณะนั้น พวกเขาเรียกตัวเองว่า “Die Weiße Rose” หรือ “กุหลาบขาว” และพวกเขาถูกขนานนามโดยพรรคนาซีว่า “ขบวนการก่อการร้ายผู้ทรยศต่อชนชาติอารยัน” แต่พวกเขาคือขบวนการก่อการร้ายจริงหรือ? หรือแท้จริงแล้วพวกเขาเป็นเพียงผู้ผดุงความยุติธรรมท่ามกลางสังคมที่บิดเบี้ยวเท่านั้น เท้าความย้อนกลับไปนับตั้งแต่การเถลิงอำนาจของพรรคนาซีและอดอล์อฟ ฮิตเลอร์ ในปี 1933 ประเทศเยอรมันก็ดูเหมือนว่าจะมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงไปเป็นระบอบเผด็จการอย่างเต็มตัว พรรคนาซีพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อดึงความสนใจของประชาชนทุกหมู่เหล่า ตั้งแต่เยาวชนอายุเลขหลักเดียวที่พวกเขาเรียกว่าอนาคตของชาวอารยันไปจนถึงผู้สูงอายุที่เปรียบเสมือนไม้ใกล้ฝั่ง กระบวนการดึงความสนใจนั้นอาจจะเรียกได้ว่าเป็นการล้างสมองเพื่อปลูกฝังความเชื่อในเรื่องชาตินิยมแบบสุดโต่ง การเหยียดเชื้อชาติโดยเฉพาะกับชาวยิว ที่พรรคนาซีนิยามว่า “ต่ำชั้นยิ่งกว่าสัตว์” สร้างค่านิยมที่ตระหนักในเรื่องชุมชนเชื้อชาติ สอนในเรื่องเชื้อชาติที่มีคุณค่าและไร้คุณค่า รวมไปถึงโรคทางพันธุกรรมให้แก่เยาวชน กระบวนการล้างสมองจะเริ่มตั้งแต่ยังเด็ก โดยกลุ่มคนที่ใกล้ชิดกับเด็กๆ มากที่สุดอย่างคุณครู จะถูกปลูกฝังและอบรมความเชื่อเสียใหม่ ภายใต้การควบคุมขององค์กรครูนาซี รวมไปถึงการสร้างองค์กรที่เรียกว่า ‘องค์กรยุวชนฮิตเลอร์ (Hitler Jugend)’ และ ‘สันนิบาตสตรีชาตินิยมเยอรมัน (Kinderschar)’ เพื่อสนับสนุนอุดมการณ์ความเชื่อและปลูกฝังแนวคิดในอุดมคติที่ทางพรรคต้องการให้เป็น เพื่อผลิตประชากรของชนชาติอารยันที่มีคุณภาพ พวกเด็กๆ จะถูกควบคุมอย่างใกล้ชิดจากคนของทางพรรคนาซี เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะโตขึ้นไปเป็นชนชาติอารยันที่ทางพรรคภาคภูมิใจ พวกเด็กๆ ใกล้ชิดกับเจ้าหน้าที่ของพรรคมาก จนในบางกรณีพวกเขานั้นใกล้ชิดกับคนของทางพรรคมากเสียยิ่งกว่าพ่อแม่ของตัวเองเสียอีก และหากว่าพ่อแม่ของพวกเขาแสดงท่าทีต่อต้านหรือไม่เห็นด้วยกับแนวทางของพรรค พวกเด็กๆ ก็มักจะแจ้งให้ทางองค์กรเกสตาโป เข้ามาควบคุมดูแลพ่อแม่ของพวกเขา ซึ่งหากโชคดีอาจจะแค่เพียงปรับทัศนคติหรือจำคุกแค่ไม่กี่คืน แต่หากโชคร้ายแสดงท่าทีขัดขืนหรือไม่ให้ความร่วมมือ ท้ายที่สุดมักจะจบลงด้วยความตาย อย่างที่เกริ่นไปข้างต้น ทางพรรคนาซีพยายามดึงดูดความสนใจจากเหล่าเยาวชน ซึ่งมันประสบความสำเร็จอย่างงดงาม จากรายงานผลการสำรวจมีเยาวชนมากกว่า 7 ล้านคนที่เข้าร่วมกับทางพรรคด้วยความเต็มใจ แต่เป้าหมายที่ทางพรรคนาซีนั้นล้มเหลวโดยสิ้นเชิงในการดึงดูดความสนใจได้แก่เหล่านักศึกษาและเหล่าคณาจารย์ในระดับอุดมศึกษา ผู้ที่เติบโตขึ้นมาและเห็นสภาพสังคมที่ควรจะเป็นก่อนที่พรรคนาซีจะเถลิงอำนาจ พวกเขาเหล่านี้จะกลายเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญในการต่อต้านแนวคิดที่พรรคนีพยายามปลูกฝัง และเป็นแกนนำในการลอบสังหารฮิตเลอร์ตั้งแต่ช่วงก่อนและระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง หนึ่งในกลุ่มนักศึกษาผู้ที่ลุกขึ้นมาต่อต้านความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นในสังคมเยอรมัน ณ ขณะนั้นคือ นักศึกษาและคณาจารย์จากมหาวิทยาลัยมิวนิก พวกเขาไม่สามารถทนเห็นสังคมที่บิดเบี้ยวไปได้มากกว่านี้อีกต่อไปแล้ว เดือนมิถุนายน 1942 คือเดือนแห่งการเริ่มปฏิบัติการต่อต้านท่านผู้นำและพรรคนาซีของนักศึกษามหาวิทยาลัยมิวนิก พวกเขาใช้รหัสนามแฝงว่า “Die Weißer Rose” หรือ “The White rose” โดยพวกเขามีแกนนำที่สำคัญอย่างสองพี่น้องตระกูลโชลอย่าง ฮันส์ โชล และ โซฟี โชล รวมไปถึงเพื่อนร่วมอุดมการณ์อย่าง คริสตอฟ พรอบส์ และการสนับสนุนจากเหล่าคณาจารย์ในมหาวิทยาลัย กลุ่มกุหลาบขาวเคลื่อนไหวกันอย่างเป็นระบบระเบียบ เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าหน้าที่ของเกสตาโปจับตัวได้ มีการประสานงานกันจากหลายๆ แหล่งเพื่อส่งต่อและแพร่ขยายข้อมูลต่างๆ นั่นรวมไปถึงแหล่งข่าวจากกองกำลังใต้ดินที่ต่อต้านพรรคนาซีและท่านผู้นำ พวกเขาใช้ทุกพื้นที่ภายในมหาวิทยาลัยในการติดใบประกาศการต่อต้านท่านผู้นำ เผยแพร่ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในสังคม ส่งเสริมให้ผู้คนตั้งคำถามกับสิ่งที่เกิดขึ้นภายในสังคมขณะนั้น ตีแผ่การกระทำที่เป็นอาชญากรรมสงครามของพรรคนาซี อันได้แก่ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว (ณ ขณะนั้นชาวเยอรมันส่วนมากยังไม่รู้ถึงการกระทำอันป่าเถื่อนของพรรคนาซี พวกเขารู้แค่เพียงว่าชาวยิวจะถูกนำตัวไปกักขังเพื่อไม่ให้มีส่วนร่วมกับสังคมเท่านั้น) รวมไปถึงข้อมูลลับที่ทางรัฐบาลพยายามปกปิด อย่างเช่น ความพ่ายแพ้ของกองทัพเยอรมันต่อกองทัพสหภาพโซเวียตที่ชานเมืองกรุงมอสโคว หรือสมรภูมิอื่นๆ ที่ประสบกับความล้มเหลว ตัวอย่างข้อความบนใบประกาศของกลุ่มกุหลาบขาวที่โจมตีการกระทำของพรรคนาซีต่อชาวยิวและการก่ออาชญากรรมสงครามนับตั้งแต่การรุกรานโปแลนด์ในปี 1939 ที่ยังคงหลงเหลือมา ได้แก่ “ทุกคนมีส่วนผิด นับตั้งแต่การเข้าพิชิตโปแลนด์ คนยิวในแผ่นดินนี้มีมากกว่าสามแสนคนถูกฆ่าล้างผลาญไปในสภาพเลวร้ายยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน … แล้วก็อีกเช่นเคย ประชาชนเยอรมันต่างพากันนอนหลับนิ่งเฉย นอนอยู่อย่างทึ่มทื่อและโง่งั่ง ปล่อยให้บรรดาอาชญากรฟาสซิสต์เหล่านี้มีโอกาสแสดงความมุทะลุดุดันออกอาละวาดอย่างบ้าคลั่ง และพวกมันก็กำลังลงมือทำอยู่ตลอดเวลา… ทุกคนมีส่วนผิด… ผิด… ผิด… ผิด!” แนวคิดของกลุ่มกุหลาบขาวนั้นมุ่งเน้นไปที่การปลดปล่อยประเทศเยอรมันให้เป็นอิสรภาพจากการครอบงำของพรรคนาซี เปิดพื้นที่ให้ตั้งคำถามต่อตัวของท่านผู้นำของพวกเขา พวกเขาทำให้เกิดแรงกระเพื่อมทางความคิดครั้งยิ่งใหญ่ในหมู่ประชาชน และมันแพร่ขยายออกไปอย่างไพศาล ซึ่งการกระทำนี้ เป็นสิ่งที่เจ้าหน้าที่หน่วยเกสตาโปไม่สามารถละเลยไปได้ เพราะมันคือความคิดที่เป็นภัยต่อระบอบการปกครอง และถือว่าเป็นการดูหมิ่นท่านผู้นำอย่างรุนแรง เอกสารของเกสตาโปเรียกการกระทำของกลุ่มกุหลาบขาวว่า “Terrorist” หรือ “ผู้ก่อการร้าย” ซึ่งเป็นการเรียกขานแบบเดียวกับที่พวกเขาใช้เรียกกองกำลังใต้ดินที่เคลื่อนไหวในประเทศที่เยอรมันยึดครองอยู่ (ภายหลังมีการตั้งคำถามในหมู่นักวิจัยสงครามของกองทัพสัมพันธมิตรอย่างกว้างขวาง ว่าการเรียกขานแบบนี้เป็นการเรียกขานที่เกินความเป็นจริงหรือไม่?) กลุ่มกุหลาบขาวถูกหมายหัวจากทางการว่าเป็น “อาชญากร” ที่ต้องนำตัวมาลงโทษให้ได้ แต่คำถามใหญ่ที่ทางเกสตาโปไม่ทราบก็คือ ใครกันแน่ที่อยู่เบื้องหลังของกลุ่มกุหลาบขาว? เพราะกลุ่มกุหลาบขาวไม่ใช่ตัวบุคคล แต่คือชุดความคิดชุดหนึ่งที่ดึงให้คนมารวมตัวกันเพื่อจุดประสงค์เดียวกัน นั่นคือ การต่อต้านระบอบแนวคิดของพรรคนาซี ดังนั้นการจะตามหาบุคคลที่อยู่เบื้องหลังนั้นเป็นสิ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ กลุ่มกุหลาบขาวเริ่มเคลื่อนไหวอย่างโจ่งแจ้งมากขึ้น พวกเขาท้าทายต่ออำนาจที่สามารถปลิดชีวิตพวกเขาได้เพียงแค่กระดิกนิ้วอย่างไม่เกรงกลัว การเคลื่อนไหวของกลุ่มกุหลาบขาวดำเนินไปจนกระทั่งถึงวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 1943 หน่วยเกสตาโปสามารถจับกุมแกนนำคนสำคัญสองคนของกลุ่มกุหลาบขาวอย่างสองพี่น้องตระกูลโชล ทุกอย่างเกิดขึ้นจากความผิดพลาดเล็กๆ ของโซฟี โชล ที่ทำเอกสารที่ต้องนำไปติดตามที่ต่างๆ ของมหาวิทยาลัยหล่นกระจาย ในขณะที่นักศึกษาหลายคนกำลังเลิกคลาสเรียน และพนักงานมาวิทยาลัยผู้ภักดีต่อพรรคนาซีที่เห็นเหตุการณ์นำเรื่องนี้ไปแจ้งหน่วยเกสตาโป จนนำไปสู่การจับกุมผู้ที่ถูกขนานนามว่า “Terroristin” หรือ “ผู้ก่อการร้ายหญิง” และสืบสาวไปหากลุ่มนักศึกษาในขบวนการคนอื่นๆ ด้วย ฮันส์ และ โซฟี โชล ถูกควบคุมตัวและนำไปขึ้นศาลประชาชน (Volksgerichtshof) เพื่อพิพากษาความผิด ศาลประชาชนพิพากษาความผิดของพวกเขาสองคนให้มีความผิดเทียบเท่ากับการจับกุมคอมมานโดของฝ่ายสัมพันธมิตรหรือกองกำลังใต้ดิน และโทษสูงสุดของความผิดนี้คือการประหารชีวิต แม้ว่าก่อนหน้าที่จะนำตัวขึ้นศาลประชาชน ทางหน่วยเกสตาโปจะพยายามทำให้โซฟี โชลเปลี่ยนใจหันมาจงรักภักดีต่อท่านผู้นำและพรรคนาซีแล้ว แต่ความพยายามนั้นก็ไม่เป็นผล เธอยืนกรานอย่างหนักแน่นว่าความคิดของท่านผู้นำและพรรคนาซีนั้นเป็นสิ่งที่ผิดหลักมนุษยธรรม จากเอกสารบันทึกของหน่วยเกสตาโปที่เหลือรอดจากการทำลายหลังสงครามสงบ บันทึกข้อความคำพูดของโซฟี โชลที่โต้ตอบกับทางเจ้าหน้าที่สอบสวนของหน่วยเกสตาโปเอาไว้ดังนี้ “ดิฉันเชื่อว่าพวกเราทำสิ่งประเสริฐสุดให้แก่ประเทศชาติ ดิฉันไม่เสียใจในสิ่งที่ได้ทำลงไป ดิฉันยินดีรับผลพวงอันเนื่องจากการกระทำของตนเอง” สุดท้ายแล้ว ในเมื่อไม่สามารถโน้มน้าวใจได้ การตัดสินครั้งสุดท้ายที่เต็มไปด้วยความอยุติธรรมของศาลประชาชน คือ ความตายของฮันส์ และ โซฟี โชล วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ 1943 คือวันประหารคนสองคนที่พรรคนาซีเรียกว่า “ผู้ก่อการร้าย” ด้วยอาวุธอย่างกิโยติน ฮันส์ โชล และ โซฟี โชล จบชีวิตลงโดยฝีมือของความอยุติธรรมและระบอบเผด็จการฟาสซิสต์ เสียงสุดท้ายของพวกเขาสองคนที่ถูกตราหน้าว่า “ผู้ก่อการร้าย” “กบฏแห่งชนชาติอารยัน” “คนทรยศ” หรืออีกหลายชื่อเสียงเรียงนามที่มีการกล่าวขานถึงในหมู่ผู้ที่จงรักภักดีต่อพรรคนาซี “เสรีภาพจงเจริญ” การตะโกนแสกหน้าต่อผู้พิพากษาศาลประชาชนในวันนั้น เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าต่อให้มีความตายมายืนต่อหน้าพวกเขา พวกเขาจะไม่มีวันสยบยอมต่ออำนาจที่อยุติธรรมและระบอบการปกครองแบบเผด็จการที่บิดเบี้ยว “การเมินเฉยต่อความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นตรงหน้า คือความน่าอับอายในฐานะปัญญาชน” ภายหลังจากที่กองทัพสัมพันมิตรมีชัยเหนือนาซีเยอรมันในเดือนพฤษภาคม 1945 เอกสารและข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มกุหลาบขาวที่ยังคงเหลือรอดได้ถูกนักวิจัยสงครามของฝ่ายสัมพันธมิตรอ่านและศึกษาอย่างละเอียด รวมไปถึงคำบอกเล่าของเหล่าอดีตสมาชิกของกลุ่มหลาบขาวที่เหลือรอดหลังสงครามสงบ นักวิจัยสงครามของฝ่ายสัมพันมิตรหลายคนตั้งคำถามต่อการตั้งข้อหาของกลุ่มกุหลาบขาวของพรรคนาซี พวกเขาตั้งข้อสังเกตว่านี่อาจจะเป็นความพยายามในการหยุดยั้งการแพร่ขยายของแนวคิดที่เปรียบเสมือนเนื้อร้ายต่อระบอบการปกครองแบบฟาสซิสต์ แต่ความผิดของกลุ่มกุหลาบขาวนั้นร้ายแรงจนถึงขั้นที่ต้องถูกเรียกว่า “ผู้ก่อการร้าย” เลยเช่นนั้นหรือ หากกลุ่มกุหลาบขาวทำการก่อวินาศกรรมเช่นเดียวกับหน่วยคอมมานโดหรือกองกำลังใต้ดิน เรื่องนั้นเป็นสิ่งที่พอจะเข้าใจได้ เพราะพวกเขาเหล่านี้คือภัยที่สามารถทำลายทรัพยากรในการทำสงครามของเยอรมนีได้ แต่กลุ่มกุหลาบขาวนั้นเป็นเพียงกลุ่มนักศึกษาที่เคลื่อนไหวโดยใช้หลักอหิงสาเท่านั้น ดังนั้นการเรียกขานกลุ่มกุหลาบขาวว่าเป็น “ผู้ก่อการร้าย” เหล่านักวิจัยสงครามของฝ่ายสัมพันธมิตรนั้นไม่เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาได้มีการเรียกร้องไปยังกองบัญชาการสูงสุดของฝ่ายสัมพันมิตรเพื่อปลดเปลื้องข้อกล่าวหานี้ และทวงคืนความยุติธรรมให้แก่กลุ่มกุหลาบขาว แต่เนื่องจากสถานการณ์ที่วุ่นวายหลังสงคราม และมีเรื่องมากมายที่ทางกองทัพต้องจัดการสะสางเป็นอันดับต้นๆ เรื่องนี้จึงดูเหมือนจะถูกลืมเลือนหายไป แต่หลังจากนั้นอีกสิบกว่าปีต่อมา เรื่องนี้ก็ถูกรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่โดยรัฐบาลของเยอรมนีตะวันตก พวกเขาประกาศถอดข้อกล่าวหาของกลุ่มกุหลาบขาวที่พรรคนาซีเคยกล่าวหาทั้งหมด และประกาศให้กลุ่มกุหลาบขาวเป็นขบวนการที่ต่อสู้กับความอยุติธรรมอย่างกล้าหาญ โดยใช้หลักอหิงสาอย่างถึงที่สุด นอกจากนั้นยังได้มีการประกาศถึงวีรกรรมอันกล้าหาญในครั้งนี้ให้ประชาชนได้รับรู้โดยทั่วกัน ไม่ใช่แค่เพียงในเยอรมนีตะวันตก แต่เป็นทั่วทั้งโลก และในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2019 รัฐบาลของสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีได้มอบเครื่องราชอิสริยาภรณ์กางเขนเชิดชูเกียรติแห่งเยอรมัน (The Cross of Order of Merit) ให้กับ เทาเทอ ลาเฟรนซ์ สมาชิกของกลุ่มกุหลาบขาวคนสุดท้ายที่ยังคงมีชีวิตอยู่ด้วยวัย 102 ปี จากขบวนการที่ถูกกล่าวหาว่าคือ “ผู้ก่อการร้าย” สู่การถูกยกย่องเชิดชูว่าคือขบวนการที่ต่อสู้เพื่อทวงคืนความยุติธรรมและสิ่งที่ควรจะเป็นให้กลับคืนมาในสังคมอันบิดเบี้ยว แม้ในแกนนำคนสำคัญจะถูกประหารชีวิตด้วยอำนาจอยุติธรรมและถูกยัดข้อกล่าวหา แต่จิตเสรีที่ต่อต้านความอยุติธรรมอันบิดเบี้ยวที่เป็นหัวใจสำคัญของกลุ่มกุหลาบขาว จะถูกสืบทอดและถูกกล่าวขานไปจนตราบกว่าระบอบเผด็จการจะเลือนหายไปจากโลกใบนี้… *Dear Sweetie pie, Sunshine is coming ขออุทิศให้แด่นักศึกษามหาวิทยาลัยมิวนิก สมาชิกกลุ่มกุหลาบขาวทุกคนที่ถูกสังหารภายใต้ระบอบอันอยุติธรรมของสังคม และขอประณามถึงการกระทำอันโหดร้ายป่าเถื่อนของพรรคนาซี กองกำลังชุทซ์ชตัฟเฟิล (SS) และ กองทัพเยอรมันที่ได้สังหารประชาชนผู้บริสุทธิ์ เพียงเพราะต่างชนชาติ ต่างภาษา ต่างวัฒนธรรม และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า มนุษยชาติจะได้เรียนรู้จากโศกนาฏกรรมในครั้งนี้ และไม่กลับไปเหยียบซ้ำรอยเดิมอีกเป็นครั้งที่สอง*
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD