ช่วงหลังกลางปี 1942 กองทัพเยอรมันก็ถูกตรึงกำลังเอาไว้ด้วยกองทัพแดงของสหภาพโซเวียตที่สดใหม่กว่า และทรัพยากรก็กำลังร่อยหรอลงทุกขณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘น้ำมัน’ อันเป็นยุทธปัจจัยหลักในการทำสงครามยานเกราะ
แม้พวกเขาจะมีแหล่งน้ำมันดิบในโรมาเนียซึ่งเป็นพันธมิตรของตนเอง แต่นั่นก็ไม่เพียงพอที่จะขับเคลื่อนกองทัพให้ทำการรบต่อไปได้ เยอรมนีจึงมองหาความเป็นไปได้ใหม่ที่จะเสาะแสวงหาน้ำมันมาป้อนให้กับกองทัพ
และแหล่งที่พวกเขาหมายตาเอาไว้คือ ‘แหล่งน้ำมันในเทือกเขาคอเคซัส’ อันอุดมสมบูรณ์ของสหภาพโซเวียต ดังนั้น กองทัพเยอรมันจึงรุกเข้าสู่พื้นที่นั้นในทันที
แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเท่าไหร่นัก เพราะมันถูกป้องกันด้วยกองทัพแดงที่พร้อมจะสละชีวิตเพื่อรักษาทุกตารางนิ้วของพื้นที่ดังกล่าว และการรุกของเยอรมันนั้นเปรียบเสมือนการยื่นแนวรบเข้าไปในพื้นที่ของกองทัพแดง
ดังนั้น พวกเขาจำเป็นที่จะต้องแบ่งออกเป็นสองส่วน ได้แก่ กลุ่มกองทัพ A ที่ทำการรุกเข้าไปยังกลุ่มเทือกเขาคอเคซัสเพื่อยึดแหล่งน้ำมัน ส่วนกลุ่มกองทัพ B รุกไปบริเวณแม่น้ำวอลก้าเพื่อรักษาปีกให้แก่กลุ่มกองทัพ A
กลุ่มกองทัพ B จำเป็นที่จะต้องยึดเมืองหนึ่งตามคำสั่งของกองบัญชาการ อันได้แก่ ‘สตาลินกราด’ ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งชื่อตาม โจเซฟ สตาลิน ผู้นำของสหภาพโซเวียต
และกองทัพที่เหลือของเยอรมันจำเป็นที่จะต้องรักษาแนวรบเอาไว้ เพื่อปกป้องเส้นทางลำเลียงและขนส่งยุทธปัจจัยไปยังแนวหน้า กองร้อยของโทมัสเองก็ได้รับคำสั่งมาเช่นกัน
20 สิงหาคม 1942, หมู่บ้านแห่งหนึ่งทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองคาร์คอฟ, สหภาพโซเวียต
กองร้อยของโทมัสเข้าประจำการที่ตัวหมู่บ้านขนาดใหญ่ ภายใต้การบังคับบัญชาของกองพลทหารราบ พวกเขาสับเปลี่ยนกำลังกับหน่วยก่อนหน้าที่มีสถานภาพ ‘ละลายหายทั้งกองพล’ เพราะการต่อสู้กับทหารโซเวียตทั้งวันทั้งคืน
กองร้อยของโทมัสมีทหารทั้งหมด 3 หมวด หมวดละ 40 นาย โทมัสจึงแบ่งให้แต่ละหมวดทำหน้าที่รักษาการณ์พื้นที่รอบหมู่บ้าน โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วน
ส่วนหน้ามีหมวด 1 เป็นแนวหน้ารับหน้าที่รับการโจมตีจากข้าศึกเป็นหมวดแรก บัญชาการโดย จ่าสิบตรีวาร์กเนอร์ และส่วนกลางของหมู่บ้านจัดกำลังทหารของหมวดที่ 2 เอาไว้คอยสนับสนุนหมวดที่ 1 ในกรณีที่เกิดการเพลี่ยงพล้ำในระหว่างการต่อสู้กับข้าศึก บัญชาการโดย จ่าสิบโทชไตน์เนอร์
ส่วนท้ายของหมู่บ้านคือกองบัญชาการของกองร้อยและส่วนของหมวดที่ 3 ป้องกันกรณีข้าศึกโอบล้อมเข้าตีกำลังหลักจากทางด้านหลัง บัญชาการโดย โทมัสและสิบเอกชิลเลอร์
กองร้อยของโทมัสอยู่ห่างจากกองร้อยอื่นๆ ในกองพันของกองพลทหารราบ เพราะอย่างนั้นแล้ว หากเกิดกรณีที่เลวร้ายที่สุดอย่างจุดยุทธศาสตร์ถูกยึดเอาไว้ได้ กำลังเสริมจะมาช้ากว่าปกติ
และตำแหน่งที่โทมัสประจำการอยู่นั้นอยู่ระหว่างรอยต่อของแนวรบอย่างพอดิบพอดี เพราะอย่างนั้นแล้วหากกองร้อยของเขาถูกตีแตก แนวรบของกองพันจะมีรอยรั่ว และอาจจะนำไปสู่การที่กองพลทหารราบที่เขาสังกัดอยู่ถูกตีแตกได้
ความกดดันจึงตกมาอยู่ที่ทหารทุกคนในกองร้อยของโทมัส แต่เคราะห์ยังดีที่เบื้องบนเล็งเห็นว่าจุดยุทธศาสตร์ที่โทมัสประจำการอยู่นั้นเป็นจุดที่สำคัญในแนวรบ พวกเขาจึงให้การสนับสนุนด้วยหมวดยานเกราะ 1 หมวด ซึ่งมียานเกราะชนิดแพนเซอร์ 4 จำนวน 4 คัน และเสริมกำลังด้วยปืนใหญ่อัตตราจรชนิดพันเซอร์เฮาบิทซ์ ฮุมเมิล จำนวน 3 คัน บัญชาการโดยจ่าสิบโทเฮาทซ์ ชมิตซ์เทิล พร้อมทหารราบยานเกราะอีกจำนวน 1 กองร้อย บัญชาการโดย ร้อยเอกร็อล์ฟ ไฮท์มันน์
นั่นทำให้ในตอนนี้การรักษาพื้นที่ของหมู่บ้านนั้นเริ่มที่จะมีขนาดใหญ่มากขึ้น และสามารถมองภาพรวมได้อย่างคร่าวๆ
ช่วงเย็นของวันที่ 24 สิงหาคม 1942 โทมัสพร้อมกับร็อล์ฟและเฮาทซ์ ได้รับการรายงานข่าวจากสิบเอกชิลเลอร์ว่ากองทัพที่ 6 ของเยอรมันได้ทำการเปิดฉากการยึดเมืองสตาลินกราดขึ้นแล้วเมื่อวานนี้
โทมัสและร็อล์ฟหารือกันในเรื่องของการสถาปนาแนวรับการโจมตีของทหารโซเวียต พวกเขาร้องขอไปยังหน่วยปืนใหญ่ที่อยู่แนวหลังให้ทำการยิงปูพรมตามพิกัดที่พวกเขาระบุในทันทีที่พวกเขาร้องขอ
เพราะพวกเขาสองคนรู้ดีว่าหากปล่อยให้ทหารโซเวียตวิ่งเข้ามาประชิดได้ นั่นอาจจะเป็นการยากสำหรับฐานปืนใหญ่ที่จะยิงคุ้มกันพวกเขา เพราะมีความเสี่ยงที่จะโดนพวกเดียวกันเอง
“ผมว่าเราควรวางกำลังทหารไว้ที่ปีกสองข้าง ตรงนี้และตรงนี้ คุณเห็นว่ายังไงบ้าง?”
ร็อล์ฟถามโทมัส ในขณะที่พวกเขายืนมองแผนที่ เขาชี้ไปยังจุดที่คาดว่าน่าจะป้องกันได้ง่ายและมองเห็นได้อย่างทั่วถึงอย่างเนินเขาใกล้ๆ หมู่บ้านตรงทิศเหนือ และที่ราบทางทิศใต้
“หมวดที่ 2 วางกำลังไว้ตรงนี้ไม่ดีกว่าเหรอ?”
โทมัสชี้ตำแหน่งที่ถอยร่นลงมาเล็กน้อยบริเวณที่เป็นป่าขนาดย่อม เพราะที่ราบทางทิศใต้นั้นเสี่ยงเกินไปที่จะให้หมวดที่ 2 ประจำการอยู่ เนื่องจากเป็นพื้นที่โล่ง ซึ่งง่ายต่อการถูกซุ่มยิงด้วยพลแม่นปืนและถูกถล่มด้วยปืนใหญ่ของฝ่ายโซเวียต
“อืม…ตรงนี้ก็เหมาะ งั้นผมจะให้คนของผมไปดักรอตรงนี้ก็แล้วกัน ป้องกันพวกมันรุกมาจากทิศทางนี้ ซึ่งจะกระหนาบแนวรบในหมู่บ้านของคุณด้วย”
ร็อล์ฟพูด พลางวงกลมพื้นที่ที่เขาจะต้องส่งคนไปประจำการอยู่ เพื่อป้องกันแนวรับหลักที่ตั้งอยู่ภายในหมู่บ้าน
“ตกลง ส่วนเรื่องยานเกราะ ไว้ใจผมได้เลย ผมจะเป็นกำลังเสริมให้พวกคุณเอง!”
เฮาทซ์พูดพร้อมกับตบหน้าอกตัวเองเบาๆ ราวกับกำลังจะบอกว่า ‘อย่าได้กังวลใจ ผมอยู่นี่แล้ว’
“เรื่องการสนับสนุนและต่อสู้กับยานเกราะฝ่ายข้าศึกคงต้องขอฝากคุณด้วยแล้วล่ะ”
โทมัสพูด
“ผมจะวางยานเกราะสองคันไว้ตรงหัวมุมนี้ ดักซุ่มพวกโซเวียตที่เข้ามาอย่างประมาท ส่วนอีกสองคันจะอยู่ตรงสี่แยกนี้ ปกป้องทางที่จะนำไปสู่กองบัญชาการและป้องกันแนวรับสองด้านได้ด้วย ในกรณีที่พวกเขาร้องขอกำลังเสริมจากรถถัง”
เฮาทซ์พูดขึ้นพร้อมชี้ในแผนที่
“ตกลง คนของผมจะให้การสนับสนุนคนของคุณเอง”
ร็อล์ฟพูดขึ้น เพราะเขาคือหน่วยทหารราบยานเกราะที่มีหน้าที่ปกป้องยานเกราะด้วยชีวิต
“งั้นเอาตามนี้นะ วันนี้แยกย้ายกันไปพักผ่อนเถอะ ผมว่าพรุ่งนี้เราอาจจะเจองานหนัก”
โทมัสพูดสรุปการประชุมแผนการป้องกันหมู่บ้าน
ก่อนที่ทั้งสามคนจะแยกย้ายกันไปพักผ่อนและถ่ายทอดคำสั่งไปยังหน่วยของตัวเองตามแผนที่ประชุมเอาไว้
.
3 วันมาแล้วที่หมู่บ้านแห่งนี้ยังเงียบสงบ ราวกับว่าทหารโซเวียตลืมไปแล้วว่ากำลังทำสงครามกับทหารเยอรมันอยู่ แต่ความเงียบสงบนั้นก็ถูกทำลายลงในเช้ามืดของวันที่ 4
เมื่อทหารฝ่ายโซเวียตได้ทำการเปิดฉากสมรภูมินองเลือดด้วยจรวดหลายลำกล้องชนิดคัตยูช่า และปูพรมตามมาด้วยปืนใหญ่ที่ถล่มตัวหมู่บ้านจนทุกอย่างพินาศย่อยยับ ก่อนที่กำลังหลักของพวกเขาจะรุกข้ามลำธารมาเข้าสู่หมู่บ้าน
ทหารเยอรมันที่ดูจะมึนๆ งงๆ กับสถานการณ์ตรงหน้า เมื่อตั้งสติได้แล้วก็เห็นว่าทหารโซเวียตกำลังรุกเข้ามาใกล้ พลวิทยุของกองร้อยจึงวิทยุไปยังฐานปืนใหญ่ของฝ่ายตัวเองเพื่อของการสนับสนุนในทันที
ร่างของทหารโซเวียตนับสิบคนกระเด็นลอยขึ้นฟ้าจากอำนาจการทำลายล้างของกระสุนปืนใหญ่ฝ่ายเยอรมัน มันทำให้พวกเขาเคลื่อนตัวได้ช้าลงเท่านั้น แต่นั่นก็มากพอที่จะทำให้ทหารเยอรมันรวมตัวและโต้กลับไปได้
หมวด 1 ที่รับอยู่แนวหน้าจำเป็นต้องถอยร่นกลับมาในหมู่บ้าน เนื่องจากพวกเขาเผชิญกับยานเกราะของฝ่ายโซเวียต แต่พวกเขาไม่มีอาวุธมากพอที่จะทำลายมันได้
แม้ว่าทหารช่างจะสามารถทำลายพวกมันได้ 1 คันด้วยระเบิด แต่มันยังมีอีกเป็นสิบคันที่กำลังวิ่งเข้ามาใส่แนวรบของเยอรมัน
ทหารเยอรมันถอยร่นมาจนถึงจุดที่ยานเกราะฝ่ายตนซุ่มกำลังอยู่ และทหารโซเวียตที่ตามมาด้วยความย่ามใจก็ถูกโต้กลับในทันที
ยานเกราะของทั้งสองฝ่ายเปิดฉากยิงกันอย่างดุเดือด อาศัยเหลี่ยมและมุมของหมู่บ้านในการปะทะกัน ส่วนทหารราบก็เข้าตะลุมบอนกันด้วยอาวุธทุกชนิดที่จะหาได้
การรบนั้นสับสนวุ่นวายเป็นอย่างมากและกินเวลายาวนานหลายชั่วโมง จนกระทั่งเวลา 11.00 นาฬิกา ฝ่ายโซเวียตก็จำเป็นที่จะต้องถอย เพราะพวกเขาสูญเสียไปเยอะเกินกว่าที่จะทำการรบต่อไปได้
หลังจากที่ทุกอย่างสงบลง โทมัสและร็อล์ฟก็เช็คยอดของกองร้อยของตัวเองว่าบาดเจ็บหรือเสียชีวิตไปกี่คน
โทมัสเสียทหารไป 25 นาย บาดเจ็บสาหัสอีก 13 นาย หนึ่งในผู้ที่บาดเจ็บนั้นมีจ่าสิบตรีวาร์กเนอร์อยู่ด้วย ส่วนร็อล์ฟนั้นสูญเสียทหารไป 12 นาย บาดเจ็บสาหัสอีก 5 และพวกเขาจำเป็นจะต้องส่งทหารที่บาดเจ็บกลับไปแนวหลังด้วยรถบรรทุกของกองร้อย
ยืนคุยกันอยู่สักพักว่าจะทำอะไรกันต่อไป เฮาทซ์ก็เดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ โทมัสจึงเอ่ยถามขึ้นมา
“มีอะไรหรือเปล่า?”
“ไอ้พวกโซเวียตบ้านั่นมันทำลายปืนใหญ่อัตตราจรของผมไป 1 คัน พลขับก็ตายหมด เจอกันคราวหน้าผมจะเอาพวกมันตายให้หมดเลยคอยดู”
เฮาทซ์พูดอย่างหงุดหงิด
“ใจร่มๆ ไว้เถอะ คุณก็รู้ว่าอารมณ์เสียไปก็เปล่าประโยชน์ สงครามก็แบบนี้แหละ”
ร็อล์ฟพูดขึ้น พลางยกบุหรี่ขึ้นมาดูด ก่อนจะยื่นให้เฮาทซ์ ซึ่งเขาก็รับไปแต่โดยดี แต่พอยื่นให้โทมัส เขาก็ปฏิเสธว่า
“ผมไม่สูบบุหรี่”
ร็อล์ฟจึงเก็บบุหรี่ลงในกระเป๋า
.
การรบในวันถัดๆ มายิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ทหารโซเวียตนับพันคนวิ่งรุกฝ่าห่ากระสุนทั้งเล็กและใหญ่ของเยอรมันเข้ามา จนกระทั่งประชิดตัวได้
จ่าสิบโทชไตน์เนอร์ ผู้บังคับหมวดที่ 2 ของกองร้อยของโทมัสถูกยิงเสียชีวิต ขณะที่กำลังนำการรบขั้นตะลุมบอนภายในหมู่บ้าน
ตามมาด้วยยานเกราะชนิดแพนเซอร์ 4 อีก 2 คัน และปืนใหญ่อัตตราจรอีก 1 คัน ส่วนยอดผู้เสียชีวิตฝ่ายเยอรมันนั้นทะยานแตะหลักร้อย ส่วนทหารโซเวียตนั้นแตะหลักพัน
“เราคงปกป้องหมู่บ้านต่อไปไม่ได้แล้วล่ะ เต็มที่ก็ 2 วัน ถ้าหากกำลังเสริมยังไม่มาแบบนี้”
โทมัสพูดกับร็อล์ฟและเฮาทซ์ ขณะที่กำลังวางแผนการรบ
นับตั้งแต่ตั้งรับในหมู่บ้านแห่งนี้มาได้ราวๆ 1 เดือน พวกเขาสามคนยังไม่เห็นวี่แววของกำลังเสริมเลยแม้แต่นิดเดียว มีมาให้ครั้งหนึ่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เป็นทหารจำนวน 120 คน พร้อมกับยานเกราะชนิดกึ่งสายพานอีก 3 คัน แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว
เพราะพวกหน้าใหม่นั้นตื่นสงครามมากเกินไป พอได้ยินเสียงปืนใหญ่ระดมยิงก็วิ่งออกจากหลุมบุคคลทิ้งตำแหน่งตัวเองไปเสียอย่างนั้น บ้างโดนฆ่าตายระหว่างการต่อสู้ บ้างโดนกระสุนปืนใหญ่จนร่างแหลกกระจาย
ส่วนยานเกราะกึ่งสายพานนั้นถูกทำลายลงจนหมดหลังจากการต่อสู้ครั้งที่ 12 นับตั้งแต่พวกเขาย่างเท้าเข้ามาในหมู่บ้านแห่งนี้
โทมัสพยายามร้องขอกำลังเสริมเพื่อที่ให้สามารถทำการรบต่อไปได้ แต่คำขอนั้นก็ถูกปฏิเสธไป เพราะพวกเบื้องบนเห็นว่าการรบที่เมืองสตาลินกราดนั้นสำคัญยิ่งกว่า
จนเขาต้องสบถออกมา
“จะให้กูถอยจนไอ้พวกเวรนั่นโดนล้อมเลยไหม เวรเอ้ย!!”
แต่คำสั่งคือ ตรึงกำลังรักษาพื้นที่จนกว่าตัวจะตาย และห้ามถอยหากไม่มีคำสั่งที่เป็นรูปธรรม โทมัส ร็อล์ฟ และเฮาทซ์ จึงทำได้แค่ต้องทำตาม
พวกเขาสามคนรู้ดีว่าฤดูหนาวกำลังจะมาถึงในอีกไม่ช้านี้ และในสภาวะที่ขาดแคลนยุทธภัณฑ์กันความหนาวแบบนี้ ทหารของพวกเขามีแต่ตายกับตายเท่านั้น
และแล้วสิ่งที่พวกโทมัสหวาดกลัวก็มาถึง ฤดูหนาวอันแสนโหดร้ายได้เคลื่อนตัวเข้ามาปกคลุมพื้นที่อันกว้างใหญ่ไพศาลของสหภาพโซเวียต แช่แข็งทุกๆ อย่างเอาไว้ใต้ผืนหิมะสีขาว
ยังดีที่ก่อนหน้าที่ฤดูหนาวจะมาถึง ยุทธภัณฑ์สำหรับกันความหนาวก็ถูกส่งมาพอดี แต่มันก็ยังนับว่าขาดแคลนอยู่ดี
ทหารโซเวียตเปิดฉากการรุกเหมือนกับทุกๆ ครั้ง และคอยตามเก็บเหล่าทหารเยอรมันที่ประมาทด้วยพลแม่นปืนฝีมือฉมัง จนทหารเยอรมันหลายนายต้องสังเวยชีวิตในขณะที่ออกไปรื้อค้นหาอุปกรณ์กันหนาวจากทหารโซเวียต
โทมัสฉลองปีใหม่ด้วยกันกับร็อล์ฟและเฮาทซ์ด้วยเนื้อกระป๋องคนละอันและขนมปังอย่างดีเท่าที่จะหาได้ในสนามรบ
พวกเขาสามคนไม่รู้ว่าสงครามนี้จะยาวนานไปอีกเท่าไหร่ และจะต้องอยู่ตรงนี้ไปอีกนานไหม แต่ที่เขารู้คือพวกเขาต้องมีชีวิตรอดกลับไปให้ได้
จนกระทั่ง…
5 กุมภาพันธ์ 1943
กองร้อยของโทมัสและร็อล์ฟได้รับคำสั่งตรงจากกองพลทหารราบให้คุ้มกันกองกำลังหลักที่ถอนตัวออกจากพื้นที่การรบ
และเมื่อหน่วยสุดท้ายผ่านไป พวกเขาได้รับอนุญาตให้ถอนกำลังออกจากพื้นที่รักษาการณ์ และให้ไปรายงานตัวต่อผู้บังคับบัญชาที่เมืองคาร์คอฟ เพื่อรวบรวมกำลังทั้งหมด
โทมัสสงสัยว่าทำไมถึงได้รับคำสั่งให้ถอนทัพ สิบเอกชิลเลอร์จึงรายงานต่อเขาว่า
“กองทัพที่ 6 ของเยอรมันประกาศยอมจำนนต่อกองทัพแดงที่เมืองสตาลินกราดแล้ว”
ความปราชัยนี้เองที่ทำให้โทมัสเริ่มเห็นเค้าลางของหายนะที่จะเกิดขึ้นกับเยอรมนีในอนาคตแล้ว
และที่ต้องถอนกำลังก็เพราะ ถ้าหากพวกเขาตกอยู่ในวงล้อมในตอนนี้ จะไม่มีหน่วยไหนหรือกองทัพใดเข้ามาช่วยเหลือ พวกเขาจำเป็นที่จะต้องยอมแพ้หรือฆ่าตัวตายเท่านั้น
เพราะอย่างนั้นแล้ว การอยู่ต่อหรือฝ่าฝืนคำสั่งถือเป็นเรื่องที่ไม่ฉลาดเอาเสียเลย…