บทที่ 10: การรบในสหภาพโซเวียต

2503 Words
ช่วงหลังกลางปี 1942 กองทัพเยอรมันก็ถูกตรึงกำลังเอาไว้ด้วยกองทัพแดงของสหภาพโซเวียตที่สดใหม่กว่า และทรัพยากรก็กำลังร่อยหรอลงทุกขณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘น้ำมัน’ อันเป็นยุทธปัจจัยหลักในการทำสงครามยานเกราะ แม้พวกเขาจะมีแหล่งน้ำมันดิบในโรมาเนียซึ่งเป็นพันธมิตรของตนเอง แต่นั่นก็ไม่เพียงพอที่จะขับเคลื่อนกองทัพให้ทำการรบต่อไปได้ เยอรมนีจึงมองหาความเป็นไปได้ใหม่ที่จะเสาะแสวงหาน้ำมันมาป้อนให้กับกองทัพ และแหล่งที่พวกเขาหมายตาเอาไว้คือ ‘แหล่งน้ำมันในเทือกเขาคอเคซัส’ อันอุดมสมบูรณ์ของสหภาพโซเวียต ดังนั้น กองทัพเยอรมันจึงรุกเข้าสู่พื้นที่นั้นในทันที แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเท่าไหร่นัก เพราะมันถูกป้องกันด้วยกองทัพแดงที่พร้อมจะสละชีวิตเพื่อรักษาทุกตารางนิ้วของพื้นที่ดังกล่าว และการรุกของเยอรมันนั้นเปรียบเสมือนการยื่นแนวรบเข้าไปในพื้นที่ของกองทัพแดง ดังนั้น พวกเขาจำเป็นที่จะต้องแบ่งออกเป็นสองส่วน ได้แก่ กลุ่มกองทัพ A ที่ทำการรุกเข้าไปยังกลุ่มเทือกเขาคอเคซัสเพื่อยึดแหล่งน้ำมัน ส่วนกลุ่มกองทัพ B รุกไปบริเวณแม่น้ำวอลก้าเพื่อรักษาปีกให้แก่กลุ่มกองทัพ A กลุ่มกองทัพ B จำเป็นที่จะต้องยึดเมืองหนึ่งตามคำสั่งของกองบัญชาการ อันได้แก่ ‘สตาลินกราด’ ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งชื่อตาม โจเซฟ สตาลิน ผู้นำของสหภาพโซเวียต และกองทัพที่เหลือของเยอรมันจำเป็นที่จะต้องรักษาแนวรบเอาไว้ เพื่อปกป้องเส้นทางลำเลียงและขนส่งยุทธปัจจัยไปยังแนวหน้า กองร้อยของโทมัสเองก็ได้รับคำสั่งมาเช่นกัน 20 สิงหาคม 1942, หมู่บ้านแห่งหนึ่งทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองคาร์คอฟ, สหภาพโซเวียต กองร้อยของโทมัสเข้าประจำการที่ตัวหมู่บ้านขนาดใหญ่ ภายใต้การบังคับบัญชาของกองพลทหารราบ พวกเขาสับเปลี่ยนกำลังกับหน่วยก่อนหน้าที่มีสถานภาพ ‘ละลายหายทั้งกองพล’ เพราะการต่อสู้กับทหารโซเวียตทั้งวันทั้งคืน กองร้อยของโทมัสมีทหารทั้งหมด 3 หมวด หมวดละ 40 นาย โทมัสจึงแบ่งให้แต่ละหมวดทำหน้าที่รักษาการณ์พื้นที่รอบหมู่บ้าน โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ส่วนหน้ามีหมวด 1 เป็นแนวหน้ารับหน้าที่รับการโจมตีจากข้าศึกเป็นหมวดแรก บัญชาการโดย จ่าสิบตรีวาร์กเนอร์ และส่วนกลางของหมู่บ้านจัดกำลังทหารของหมวดที่ 2 เอาไว้คอยสนับสนุนหมวดที่ 1 ในกรณีที่เกิดการเพลี่ยงพล้ำในระหว่างการต่อสู้กับข้าศึก บัญชาการโดย จ่าสิบโทชไตน์เนอร์ ส่วนท้ายของหมู่บ้านคือกองบัญชาการของกองร้อยและส่วนของหมวดที่ 3 ป้องกันกรณีข้าศึกโอบล้อมเข้าตีกำลังหลักจากทางด้านหลัง บัญชาการโดย โทมัสและสิบเอกชิลเลอร์ กองร้อยของโทมัสอยู่ห่างจากกองร้อยอื่นๆ ในกองพันของกองพลทหารราบ เพราะอย่างนั้นแล้ว หากเกิดกรณีที่เลวร้ายที่สุดอย่างจุดยุทธศาสตร์ถูกยึดเอาไว้ได้ กำลังเสริมจะมาช้ากว่าปกติ และตำแหน่งที่โทมัสประจำการอยู่นั้นอยู่ระหว่างรอยต่อของแนวรบอย่างพอดิบพอดี เพราะอย่างนั้นแล้วหากกองร้อยของเขาถูกตีแตก แนวรบของกองพันจะมีรอยรั่ว และอาจจะนำไปสู่การที่กองพลทหารราบที่เขาสังกัดอยู่ถูกตีแตกได้ ความกดดันจึงตกมาอยู่ที่ทหารทุกคนในกองร้อยของโทมัส แต่เคราะห์ยังดีที่เบื้องบนเล็งเห็นว่าจุดยุทธศาสตร์ที่โทมัสประจำการอยู่นั้นเป็นจุดที่สำคัญในแนวรบ พวกเขาจึงให้การสนับสนุนด้วยหมวดยานเกราะ 1 หมวด ซึ่งมียานเกราะชนิดแพนเซอร์ 4 จำนวน 4 คัน และเสริมกำลังด้วยปืนใหญ่อัตตราจรชนิดพันเซอร์เฮาบิทซ์ ฮุมเมิล จำนวน 3 คัน บัญชาการโดยจ่าสิบโทเฮาทซ์ ชมิตซ์เทิล พร้อมทหารราบยานเกราะอีกจำนวน 1 กองร้อย บัญชาการโดย ร้อยเอกร็อล์ฟ ไฮท์มันน์ นั่นทำให้ในตอนนี้การรักษาพื้นที่ของหมู่บ้านนั้นเริ่มที่จะมีขนาดใหญ่มากขึ้น และสามารถมองภาพรวมได้อย่างคร่าวๆ ช่วงเย็นของวันที่ 24 สิงหาคม 1942 โทมัสพร้อมกับร็อล์ฟและเฮาทซ์ ได้รับการรายงานข่าวจากสิบเอกชิลเลอร์ว่ากองทัพที่ 6 ของเยอรมันได้ทำการเปิดฉากการยึดเมืองสตาลินกราดขึ้นแล้วเมื่อวานนี้ โทมัสและร็อล์ฟหารือกันในเรื่องของการสถาปนาแนวรับการโจมตีของทหารโซเวียต พวกเขาร้องขอไปยังหน่วยปืนใหญ่ที่อยู่แนวหลังให้ทำการยิงปูพรมตามพิกัดที่พวกเขาระบุในทันทีที่พวกเขาร้องขอ เพราะพวกเขาสองคนรู้ดีว่าหากปล่อยให้ทหารโซเวียตวิ่งเข้ามาประชิดได้ นั่นอาจจะเป็นการยากสำหรับฐานปืนใหญ่ที่จะยิงคุ้มกันพวกเขา เพราะมีความเสี่ยงที่จะโดนพวกเดียวกันเอง “ผมว่าเราควรวางกำลังทหารไว้ที่ปีกสองข้าง ตรงนี้และตรงนี้ คุณเห็นว่ายังไงบ้าง?” ร็อล์ฟถามโทมัส ในขณะที่พวกเขายืนมองแผนที่ เขาชี้ไปยังจุดที่คาดว่าน่าจะป้องกันได้ง่ายและมองเห็นได้อย่างทั่วถึงอย่างเนินเขาใกล้ๆ หมู่บ้านตรงทิศเหนือ และที่ราบทางทิศใต้ “หมวดที่ 2 วางกำลังไว้ตรงนี้ไม่ดีกว่าเหรอ?” โทมัสชี้ตำแหน่งที่ถอยร่นลงมาเล็กน้อยบริเวณที่เป็นป่าขนาดย่อม เพราะที่ราบทางทิศใต้นั้นเสี่ยงเกินไปที่จะให้หมวดที่ 2 ประจำการอยู่ เนื่องจากเป็นพื้นที่โล่ง ซึ่งง่ายต่อการถูกซุ่มยิงด้วยพลแม่นปืนและถูกถล่มด้วยปืนใหญ่ของฝ่ายโซเวียต “อืม…ตรงนี้ก็เหมาะ งั้นผมจะให้คนของผมไปดักรอตรงนี้ก็แล้วกัน ป้องกันพวกมันรุกมาจากทิศทางนี้ ซึ่งจะกระหนาบแนวรบในหมู่บ้านของคุณด้วย” ร็อล์ฟพูด พลางวงกลมพื้นที่ที่เขาจะต้องส่งคนไปประจำการอยู่ เพื่อป้องกันแนวรับหลักที่ตั้งอยู่ภายในหมู่บ้าน “ตกลง ส่วนเรื่องยานเกราะ ไว้ใจผมได้เลย ผมจะเป็นกำลังเสริมให้พวกคุณเอง!” เฮาทซ์พูดพร้อมกับตบหน้าอกตัวเองเบาๆ ราวกับกำลังจะบอกว่า ‘อย่าได้กังวลใจ ผมอยู่นี่แล้ว’ “เรื่องการสนับสนุนและต่อสู้กับยานเกราะฝ่ายข้าศึกคงต้องขอฝากคุณด้วยแล้วล่ะ” โทมัสพูด “ผมจะวางยานเกราะสองคันไว้ตรงหัวมุมนี้ ดักซุ่มพวกโซเวียตที่เข้ามาอย่างประมาท ส่วนอีกสองคันจะอยู่ตรงสี่แยกนี้ ปกป้องทางที่จะนำไปสู่กองบัญชาการและป้องกันแนวรับสองด้านได้ด้วย ในกรณีที่พวกเขาร้องขอกำลังเสริมจากรถถัง” เฮาทซ์พูดขึ้นพร้อมชี้ในแผนที่ “ตกลง คนของผมจะให้การสนับสนุนคนของคุณเอง” ร็อล์ฟพูดขึ้น เพราะเขาคือหน่วยทหารราบยานเกราะที่มีหน้าที่ปกป้องยานเกราะด้วยชีวิต “งั้นเอาตามนี้นะ วันนี้แยกย้ายกันไปพักผ่อนเถอะ ผมว่าพรุ่งนี้เราอาจจะเจองานหนัก” โทมัสพูดสรุปการประชุมแผนการป้องกันหมู่บ้าน ก่อนที่ทั้งสามคนจะแยกย้ายกันไปพักผ่อนและถ่ายทอดคำสั่งไปยังหน่วยของตัวเองตามแผนที่ประชุมเอาไว้ . 3 วันมาแล้วที่หมู่บ้านแห่งนี้ยังเงียบสงบ ราวกับว่าทหารโซเวียตลืมไปแล้วว่ากำลังทำสงครามกับทหารเยอรมันอยู่ แต่ความเงียบสงบนั้นก็ถูกทำลายลงในเช้ามืดของวันที่ 4 เมื่อทหารฝ่ายโซเวียตได้ทำการเปิดฉากสมรภูมินองเลือดด้วยจรวดหลายลำกล้องชนิดคัตยูช่า และปูพรมตามมาด้วยปืนใหญ่ที่ถล่มตัวหมู่บ้านจนทุกอย่างพินาศย่อยยับ ก่อนที่กำลังหลักของพวกเขาจะรุกข้ามลำธารมาเข้าสู่หมู่บ้าน ทหารเยอรมันที่ดูจะมึนๆ งงๆ กับสถานการณ์ตรงหน้า เมื่อตั้งสติได้แล้วก็เห็นว่าทหารโซเวียตกำลังรุกเข้ามาใกล้ พลวิทยุของกองร้อยจึงวิทยุไปยังฐานปืนใหญ่ของฝ่ายตัวเองเพื่อของการสนับสนุนในทันที ร่างของทหารโซเวียตนับสิบคนกระเด็นลอยขึ้นฟ้าจากอำนาจการทำลายล้างของกระสุนปืนใหญ่ฝ่ายเยอรมัน มันทำให้พวกเขาเคลื่อนตัวได้ช้าลงเท่านั้น แต่นั่นก็มากพอที่จะทำให้ทหารเยอรมันรวมตัวและโต้กลับไปได้ หมวด 1 ที่รับอยู่แนวหน้าจำเป็นต้องถอยร่นกลับมาในหมู่บ้าน เนื่องจากพวกเขาเผชิญกับยานเกราะของฝ่ายโซเวียต แต่พวกเขาไม่มีอาวุธมากพอที่จะทำลายมันได้ แม้ว่าทหารช่างจะสามารถทำลายพวกมันได้ 1 คันด้วยระเบิด แต่มันยังมีอีกเป็นสิบคันที่กำลังวิ่งเข้ามาใส่แนวรบของเยอรมัน ทหารเยอรมันถอยร่นมาจนถึงจุดที่ยานเกราะฝ่ายตนซุ่มกำลังอยู่ และทหารโซเวียตที่ตามมาด้วยความย่ามใจก็ถูกโต้กลับในทันที ยานเกราะของทั้งสองฝ่ายเปิดฉากยิงกันอย่างดุเดือด อาศัยเหลี่ยมและมุมของหมู่บ้านในการปะทะกัน ส่วนทหารราบก็เข้าตะลุมบอนกันด้วยอาวุธทุกชนิดที่จะหาได้ การรบนั้นสับสนวุ่นวายเป็นอย่างมากและกินเวลายาวนานหลายชั่วโมง จนกระทั่งเวลา 11.00 นาฬิกา ฝ่ายโซเวียตก็จำเป็นที่จะต้องถอย เพราะพวกเขาสูญเสียไปเยอะเกินกว่าที่จะทำการรบต่อไปได้ หลังจากที่ทุกอย่างสงบลง โทมัสและร็อล์ฟก็เช็คยอดของกองร้อยของตัวเองว่าบาดเจ็บหรือเสียชีวิตไปกี่คน โทมัสเสียทหารไป 25 นาย บาดเจ็บสาหัสอีก 13 นาย หนึ่งในผู้ที่บาดเจ็บนั้นมีจ่าสิบตรีวาร์กเนอร์อยู่ด้วย ส่วนร็อล์ฟนั้นสูญเสียทหารไป 12 นาย บาดเจ็บสาหัสอีก 5 และพวกเขาจำเป็นจะต้องส่งทหารที่บาดเจ็บกลับไปแนวหลังด้วยรถบรรทุกของกองร้อย ยืนคุยกันอยู่สักพักว่าจะทำอะไรกันต่อไป เฮาทซ์ก็เดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ โทมัสจึงเอ่ยถามขึ้นมา “มีอะไรหรือเปล่า?” “ไอ้พวกโซเวียตบ้านั่นมันทำลายปืนใหญ่อัตตราจรของผมไป 1 คัน พลขับก็ตายหมด เจอกันคราวหน้าผมจะเอาพวกมันตายให้หมดเลยคอยดู” เฮาทซ์พูดอย่างหงุดหงิด “ใจร่มๆ ไว้เถอะ คุณก็รู้ว่าอารมณ์เสียไปก็เปล่าประโยชน์ สงครามก็แบบนี้แหละ” ร็อล์ฟพูดขึ้น พลางยกบุหรี่ขึ้นมาดูด ก่อนจะยื่นให้เฮาทซ์ ซึ่งเขาก็รับไปแต่โดยดี แต่พอยื่นให้โทมัส เขาก็ปฏิเสธว่า “ผมไม่สูบบุหรี่” ร็อล์ฟจึงเก็บบุหรี่ลงในกระเป๋า . การรบในวันถัดๆ มายิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ทหารโซเวียตนับพันคนวิ่งรุกฝ่าห่ากระสุนทั้งเล็กและใหญ่ของเยอรมันเข้ามา จนกระทั่งประชิดตัวได้ จ่าสิบโทชไตน์เนอร์ ผู้บังคับหมวดที่ 2 ของกองร้อยของโทมัสถูกยิงเสียชีวิต ขณะที่กำลังนำการรบขั้นตะลุมบอนภายในหมู่บ้าน ตามมาด้วยยานเกราะชนิดแพนเซอร์ 4 อีก 2 คัน และปืนใหญ่อัตตราจรอีก 1 คัน ส่วนยอดผู้เสียชีวิตฝ่ายเยอรมันนั้นทะยานแตะหลักร้อย ส่วนทหารโซเวียตนั้นแตะหลักพัน “เราคงปกป้องหมู่บ้านต่อไปไม่ได้แล้วล่ะ เต็มที่ก็ 2 วัน ถ้าหากกำลังเสริมยังไม่มาแบบนี้” โทมัสพูดกับร็อล์ฟและเฮาทซ์ ขณะที่กำลังวางแผนการรบ นับตั้งแต่ตั้งรับในหมู่บ้านแห่งนี้มาได้ราวๆ 1 เดือน พวกเขาสามคนยังไม่เห็นวี่แววของกำลังเสริมเลยแม้แต่นิดเดียว มีมาให้ครั้งหนึ่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เป็นทหารจำนวน 120 คน พร้อมกับยานเกราะชนิดกึ่งสายพานอีก 3 คัน แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะพวกหน้าใหม่นั้นตื่นสงครามมากเกินไป พอได้ยินเสียงปืนใหญ่ระดมยิงก็วิ่งออกจากหลุมบุคคลทิ้งตำแหน่งตัวเองไปเสียอย่างนั้น บ้างโดนฆ่าตายระหว่างการต่อสู้ บ้างโดนกระสุนปืนใหญ่จนร่างแหลกกระจาย ส่วนยานเกราะกึ่งสายพานนั้นถูกทำลายลงจนหมดหลังจากการต่อสู้ครั้งที่ 12 นับตั้งแต่พวกเขาย่างเท้าเข้ามาในหมู่บ้านแห่งนี้ โทมัสพยายามร้องขอกำลังเสริมเพื่อที่ให้สามารถทำการรบต่อไปได้ แต่คำขอนั้นก็ถูกปฏิเสธไป เพราะพวกเบื้องบนเห็นว่าการรบที่เมืองสตาลินกราดนั้นสำคัญยิ่งกว่า จนเขาต้องสบถออกมา “จะให้กูถอยจนไอ้พวกเวรนั่นโดนล้อมเลยไหม เวรเอ้ย!!” แต่คำสั่งคือ ตรึงกำลังรักษาพื้นที่จนกว่าตัวจะตาย และห้ามถอยหากไม่มีคำสั่งที่เป็นรูปธรรม โทมัส ร็อล์ฟ และเฮาทซ์ จึงทำได้แค่ต้องทำตาม พวกเขาสามคนรู้ดีว่าฤดูหนาวกำลังจะมาถึงในอีกไม่ช้านี้ และในสภาวะที่ขาดแคลนยุทธภัณฑ์กันความหนาวแบบนี้ ทหารของพวกเขามีแต่ตายกับตายเท่านั้น และแล้วสิ่งที่พวกโทมัสหวาดกลัวก็มาถึง ฤดูหนาวอันแสนโหดร้ายได้เคลื่อนตัวเข้ามาปกคลุมพื้นที่อันกว้างใหญ่ไพศาลของสหภาพโซเวียต แช่แข็งทุกๆ อย่างเอาไว้ใต้ผืนหิมะสีขาว ยังดีที่ก่อนหน้าที่ฤดูหนาวจะมาถึง ยุทธภัณฑ์สำหรับกันความหนาวก็ถูกส่งมาพอดี แต่มันก็ยังนับว่าขาดแคลนอยู่ดี ทหารโซเวียตเปิดฉากการรุกเหมือนกับทุกๆ ครั้ง และคอยตามเก็บเหล่าทหารเยอรมันที่ประมาทด้วยพลแม่นปืนฝีมือฉมัง จนทหารเยอรมันหลายนายต้องสังเวยชีวิตในขณะที่ออกไปรื้อค้นหาอุปกรณ์กันหนาวจากทหารโซเวียต โทมัสฉลองปีใหม่ด้วยกันกับร็อล์ฟและเฮาทซ์ด้วยเนื้อกระป๋องคนละอันและขนมปังอย่างดีเท่าที่จะหาได้ในสนามรบ พวกเขาสามคนไม่รู้ว่าสงครามนี้จะยาวนานไปอีกเท่าไหร่ และจะต้องอยู่ตรงนี้ไปอีกนานไหม แต่ที่เขารู้คือพวกเขาต้องมีชีวิตรอดกลับไปให้ได้ จนกระทั่ง… 5 กุมภาพันธ์ 1943 กองร้อยของโทมัสและร็อล์ฟได้รับคำสั่งตรงจากกองพลทหารราบให้คุ้มกันกองกำลังหลักที่ถอนตัวออกจากพื้นที่การรบ และเมื่อหน่วยสุดท้ายผ่านไป พวกเขาได้รับอนุญาตให้ถอนกำลังออกจากพื้นที่รักษาการณ์ และให้ไปรายงานตัวต่อผู้บังคับบัญชาที่เมืองคาร์คอฟ เพื่อรวบรวมกำลังทั้งหมด โทมัสสงสัยว่าทำไมถึงได้รับคำสั่งให้ถอนทัพ สิบเอกชิลเลอร์จึงรายงานต่อเขาว่า “กองทัพที่ 6 ของเยอรมันประกาศยอมจำนนต่อกองทัพแดงที่เมืองสตาลินกราดแล้ว” ความปราชัยนี้เองที่ทำให้โทมัสเริ่มเห็นเค้าลางของหายนะที่จะเกิดขึ้นกับเยอรมนีในอนาคตแล้ว และที่ต้องถอนกำลังก็เพราะ ถ้าหากพวกเขาตกอยู่ในวงล้อมในตอนนี้ จะไม่มีหน่วยไหนหรือกองทัพใดเข้ามาช่วยเหลือ พวกเขาจำเป็นที่จะต้องยอมแพ้หรือฆ่าตัวตายเท่านั้น เพราะอย่างนั้นแล้ว การอยู่ต่อหรือฝ่าฝืนคำสั่งถือเป็นเรื่องที่ไม่ฉลาดเอาเสียเลย…
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD