บทที่ 19: แวร์เนอร์ ฮอฟมัน กับการรบครั้งสุดท้ายที่ทิศตะวันตก

2606 Words
ล่วงเข้าปลายเดือนพฤศจิกายน 1944 เยอรมนีก็ถูกล้อมเอาไว้ 3 ทิศทาง ทางตะวันออกมีกองทัพแดงนับล้านคนกำลังเคลื่อนพลเข้ามาอย่างรวดเร็วในทุกๆ วัน ทางด้านทิศใต้ พวกสัมพันธมิตรตะวันตกก็หยุดการเคลื่อนทัพเอาไว้ที่ตอนกลางของอิตาลี ส่วนทิศตะวันตกนั้น พวกสัมพันธมิตรตะวันตกก็กำลังเคลื่อนพลเข้ามาประชิดแผ่นดินเยอรมนีอยู่ ทางเบื้องบนมองไม่เห็นหนทางที่จะชนะสงครามได้เลย และพวกเขาได้คิดแผนปฏิบัติการหนึ่งขึ้นมา เพื่อที่จะทำลายกองทัพของสัมพันธมิตรตะวันตกให้ได้มากที่สุด ก่อนจะบีบบังคับให้ขึ้นมาสู่โต๊ะเจรจาเพื่อสงบศึก ปฏิบัติการนี้จะเริ่มต้นในวันที่ 16 ธันวาคม 1944 โดยจุดเริ่มต้นอยู่ที่ป่าอาร์แดน พรมแดนระหว่างเยอรมนี ฝรั่งเศส เบลเยี่ยมและลักเซมเบอร์ก โดยเยอรมนีจะใช้แผนการรุกรานแบบสายฟ้าแลบ เพื่อทำลายการตั้งรับของสัมพันธมิตรที่กำลังประมาทด้วยเห็นว่าเป็นฤดูหนาว เยอรมนีคงจะไม่กล้าเปิดปฏิบัติการในช่วงนี้ โดยจุดมุ่งหมายคือการยับยั้งไม่ให้ฝ่ายสัมพันธมิตรใช้ท่าเรือแอนต์เวิร์ปในเบลเยี่ยม และล้อมกองทัพทั้งสี่กองทัพของฝ่ายสัมพันธมิตร ก่อนจะบดขยี้พวกเขา และบีบให้ทางฝั่งนั้นต้องมาขึ้นโต๊ะเจรจาสงบศึก เยอรมนีจึงเรียกระดมพลครั้งใหญ่ครั้งสุดท้ายเพื่อปฏิบัติภารกิจในทิศตะวันตกครั้งนี้ให้สำเร็จ . แวร์เนอร์ ฮอฟมัน น้องชายคนที่ 1 ของโทมัสที่สังกัดอยู่ในกองพลยานเกราะเอสเอสที่ 1 ‘ไลบ์ชตันดาร์เทอร์ เอสเอส อดอล์ฟ ฮิตเลอร์’ เขาจำเป็นที่จะต้องเข้าร่วมปฏิบัติการนี้ด้วย ยศของเขา ณ ปัจจุบันคือ เอสเอส-อุนเทอร์ชตวร์มฟือเรอร์ หรือเทียบเท่า ร้อยตรี ของทางกองทัพบกเยอรมัน แวร์เนอร์ผ่านสมรภูมิรบมาหลายแห่งทั้งในทิศตะวันออกกับพวกสหภาพโซเวียต และทิศตะวันตกกับพวกสัมพันธมิตรตะวันตก แต่ทุกครั้งเขาจะรอดชีวิตกลับมาได้อย่างปาฏิหาริย์ ได้รับความดีความชอบมากมายในระหว่างปฏิบัติการ แต่ในขณะเดียวกัน มือของเขาก็เปื้อนเลือดของประชาชนผู้บริสุทธิ์ไปเป็นจำนวนมาก จำนวนครั้งของการก่ออาชญากรรมสงครามของแวร์เนอร์และกองพลยานเกราะเอสเอสที่ 1 ในช่วงที่ทำสงครามนั้นยาวจนชนิดที่ว่าให้พูดหรือเขียนทั้งวันก็ยังไม่จบ แวร์เนอร์เคยสังหารประชาชนผู้บริสุทธิ์เพียงเพราะความสนุก และเขาจะชอบเก็บของที่ระลึกจากซากศพที่ตายด้วยคมกระสุนของเขาทุกครั้ง โดยเฉพาะพวกประชาชนในสหภาพโซเวียต ที่ต้องเสียชีวิตเพราะเขาก็มีมากมายนับร้อยคนแล้ว ก่อนที่จะไปรายงานตัวต่อผู้บังคับบัญชา แวร์เนอร์รู้ดีว่าการรบครั้งนี้เป็นการทะเยอทะยานครั้งสุดท้ายของเยอรมนี และพวกเขาจะพลาดไม่ได้อย่างเด็ดขาด เพราะหากพลาดขึ้นมา นั่นหมายถึงจุดจบของเยอรมนีอย่างที่ไม่มีอะไรจะมาขวางได้อีกต่อไป อีกทั้งเขายังได้ทราบข่าวการสูญเสียพี่ชายจากพี่สะใภ้ของตัวเอง (เฟลิเซีย) และพ่อกับแม่ของเขาจากกึนเทอร์แล้ว นั่นสร้างความเสียใจให้กับเขาเป็นอย่างมาก แต่คนที่ตายไปแล้วย่อมไม่รับรู้อะไรแล้ว แต่คนที่ยังอยู่จำเป็นที่จะต้องสู้ต่อไปเท่านั้น เพื่อความอยู่รอดของตัวเองและคนอื่นๆ . “ผมไปนะที่รัก…” แวร์เนอร์สวมหมวก ก่อนจะหันมาคุยกับเอ็ลซ่าที่เป็นภรรยาของตัวเอง “กลับมาให้ได้อย่างปลอดภัยนะคะที่รัก” เอ็ลซ่ากุมมือของแวร์เนอร์อย่างแผ่วเบา เธอไม่อยากให้เขาไปเลย แต่เธอก็ขวางเขาไม่ได้ เพราะมันคือหน้าที่ “ผมสัญญาว่าจะกลับมาอย่างปลอดภัย…คุณเองก็ดูแลเจ้าตัวน้อยดีๆ นะ” แวร์เนอร์ให้คำมั่นสัญญากับภรรยา พร้อมลูบไปที่ท้องของเธอ ที่ภายในนั้นมีเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาและเธออยู่ “ค่ะ…” เอ็ลซ่ารับคำ ก่อนจะจุมพิตแวร์เนอร์ แวร์เนอร์ยิ้มจางๆ ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป โดยมีภรรยายืนโบกมือลาอยู่ด้านหลัง ไม่รู้ทำไม แต่เธอรู้สึกว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้เห็นหน้าเขา… แวร์เนอร์ขึ้นรถไฟต่อมายังเมืองดอร์ทมุนด์เพื่อมาลาพี่สะใภ้และหลานชายของตัวเอง ก่อนที่เขาจะต้องไปรายงานตัวต่อผู้บังคับบัญชาของกองพล . “คุณอา!” ยาคอปวิ่งเข้าไปกอดแวร์เนอร์ด้วยความคิดถึง เพราะตั้งแต่เกิดสงครามขึ้นเขาก็ไม่ได้เจอผู้เป็นอาอีกเลย “ตัวโตขึ้นเยอะเลยนะ ยาคอป” แวร์เนอร์ลูบศีรษะของหลานชายด้วยความเอ็นดู “มีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ แวร์เนอร์?” เฟลิเซียที่เดินตามออกมา เมื่อพบกับแวร์เนอร์จึงได้ถามขึ้น “ผมแค่จะมาบอกลาพวกพี่น่ะ…ผมต้องไปรบอีกแล้ว” แวร์เนอร์พูดเสียงเรียบ ราวกับการทำสงครามมันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของตัวเองไปแล้ว “งั้นเหรอ…” เฟลิเซียพูดเสียงอ่อนๆ “อื้อ! ผมคงจะไม่ได้กลับมาอีกนานเลยล่ะ…” แวร์เนอร์พูดกับเฟลิเซีย “รักษาตัวดีๆ นะ เธอต้องกลับมาให้ได้นะรู้ไหม สกุลฮอฟมันของเราเหลือกันอยู่ไม่กี่คนแล้ว…” เฟลิเซียพูดกับแวร์เนอร์ เพราะถ้าหากต้องเสียแวร์เนอร์ไป คนในสกุลฮอฟมันจะแทบไม่เหลือใครเลย “ผมไม่รู้เหมือนกันนะพี่ แต่จะพยายามมีชีวิตรอดกลับมาให้ได้” แวร์เนอร์พูด ไม่มีใครรู้ว่าตัวเองจะต้องตายเมื่อใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสงครามด้วยแล้ว ความตายอาจจะมาเยือนได้ทุกๆ เมื่อที่เผลอประมาท “ภรรยาของเธอตั้งครรภ์อยู่นี่ กลับมาให้ได้นะแวร์เนอร์ ถ้าเกิดเธอตายไป การที่เด็กคนหนึ่งต้องเกิดมาโดยที่ไร้พ่อ มันเป็นเรื่องที่น่าเศร้านะ” เฟลิเซียพูดกับแวร์เนอร์ด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ผมรู้…ผมจะพยายาม…” แวร์เนอร์พยักหน้าหงึกๆ “ไปดีมาดีนะฮะ คุณอา” ยาคอปพูดกับผู้เป็นอา “อื้ม! ยาคอป…ฟังอานะ ถ้าเกิดว่าอาแพ้พวกข้าศึก และพวกข้าศึกบุกเข้ามาแล้ว ให้เรากับแม่ไปที่เบอร์ลินนะ อากึนเทอร์อยู่ที่นั่นคงจะช่วยพวกเราได้” แวร์เนอร์กำชับผู้เป็นหลานชาย “ฮะ…” ยาคอปพยักหน้าหงึกๆ “งั้นผมไปนะพี่…” แวร์เนอร์ขยับหมวกเล็กน้อยเพื่อบอกลาพี่สะใภ้ “จ้ะ! ไปดีมาดีนะ” เฟลิเซียโบกมือลาแวร์เนอร์ ก่อนที่แวร์เนอร์จะเดินทางไปรายงานตัวกับผู้บังคับบัญชาที่กองพล เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ที่กำลังจะมาถึง . 16 ธันวาคม 1944 ป่าอาร์แดน, เบลเยี่ยม กองพลยานเกราะเอสเอสที่ 1 พร้อมด้วยหน่วยอื่นๆ เคลื่อนพลฝ่าแนวออกตี รุกคืบเข้าไปในพื้นที่ของฝ่ายสัมพันธมิตรตะวันตก เป้าหมายอยู่ที่ท่าเรือแอนต์เวิร์ปของเบลเยี่ยม ปฏิบัติการนี้ของเยอรมนีมีรูปร่างเหมือนลิ่มที่ยื่นเข้าไปในแนวรบของฝ่ายสัมพันธมิตร จึงถูกขนานนามในภายหลังว่า ‘ยุทธการตอกลิ่ม (Battle of Bulge)’ ฝ่ายสัมพันธมิตรที่ไม่ทันตั้งตัว เพราะชะล่าใจด้วยคิดว่าเป็นฤดูหนาว พวกเขาถูกถล่มด้วยอาวุธนานาชนิดของฝ่ายเยอรมัน และความรุนแรงของการโจมตีแบบสายฟ้าแลบนั้น ทำให้พวกเขาปั่นป่วนไปพอสมควรเลยทีเดียว แม้ว่าฝ่ายสัมพันธมิตรจะได้เปรียบเรื่องการครองน่านฟ้า แต่เมื่อสภาพอากาศปิด ท้องฟ้าไม่โปร่งใส เครื่องบินของฝ่ายสัมพันธมิตรไม่สามารถปฏิบัติการได้ นั่นทำให้กองทัพเยอรมันรุกไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็ว หลังจากดำเนินกลยุทธ์ได้ 1 สัปดาห์ กองทัพเยอรมันก็พบกับปัญหาที่ใหญ่หลวงที่ขัดขวางการเคลื่อนพลของพวกเขา นั่นก็คือ สายส่งกำลังบำรุงของพวกเขามาช้าเกินไป เนื่องจากพวกเขาเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว สายส่งกำลังบำรุงจึงตามไปยังแนวหน้าไม่ทัน จนทำให้ในบางที แนวหน้าของเยอรมันต้องชะลอตัวลงเพื่อรอกำลังบำรุงที่กำลังตามมา และนี่เป็นสัญญาณทีไม่ดีเอาเสียเลยสำหรับกองทัพเยอรมัน เพราะอีกไม่นานสภาพอากาศก็จะเปิด และภัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับพวกเขา หายนะจากฟากฟ้ากำลังจะมาเยือน โดยที่พวกเขาป้องกันตัวไม่ได้เลย “เราต้องรอไปอีกนานแค่ไหน?” แวร์เนอร์ถามลูกน้อง “อีกประมาณ 2-3 ชั่วโมงครับหัวหน้า” ทหารในกองร้อยของแวร์เนอร์ตอบ “บ้าเอ้ย! กำลังบำรุงที่ล่าช้ากำลังจะเล่นงานพวกเรา!” แวร์เนอร์สบถออกมาอย่างหัวเสีย แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากทำได้แค่รอ ยานเกราะของพวกเขาจำเป็นต้องมีน้ำมันในการรุกต่อไปข้างหน้า ไม่อย่างนั้นมันก็ไม่ต่างอะไรจากเศษเหล็กชิ้นโต . 24 ธันวาคม 1944 เสียงเครื่องบินดังกระหึ่มทั่วทั้งน่านฟ้าของป่าอาร์แดน หายนะที่กองทัพเยอรมันหวาดกลัวนั้นได้มาถึงแล้ว ในขณะที่บางหน่วยของกองทัพเยอรมันกำลังเคลื่อนที่ไปข้างหน้านั้น พวกเขาถูกโจตีด้วยเครื่องบินจู่โจม จนทหารทั้งหน่วยละลายหายไปจากการโจมตีนั้น หรือบางหน่วยก็พลัดหลงออกจากเส้นทางที่ควรจะต้องมุ่งหน้าไป นอกจากนั้นพวกเขายังพบกับปัญหาใหญ่หลวงอีกประการ นั่นคือ ข้าศึกสามารถต้านทานการบุกของพวกเขาได้แล้ว และกำลังจะเตรียมการตอบโต้คืน กองทัพเยอรมันในตอนนี้ไม่พร้อมที่จะทำการรบแบบยืดเยื้อเหมือนกับในอดีตอีกต่อไปแล้ว ถ้าหากต้องทำสงครามยืดเยื้อกันจริงๆ หายนะได้ตกเป็นของฝ่ายเยอรมันเป็นแน่ แต่มันไม่มีทางเลี่ยงได้อีกต่อไป เมื่อกองทัพเยอรมันถูกต้านทานเอาไว้อย่างเหนียวแน่นโดยกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรที่ตั้งหลักได้แล้ว และพวกเขาต้องทำสงครามแบบยืดเยื้อยาวนานออกไป กองทัพเยอรมันทำได้เพียงรอวันพ่ายแพ้เท่านั้น เพราะในตอนนี้ การไปถึงท่าเรือแอนต์เวิร์ปเป็นเพียงความฝันไปแล้ว พวกเขาทำการรบยืดเยื้อต่อไปอีกราวๆ 1 เดือน . 20 มกราคม 1945 “นี่กองร้อย B มีใครได้ยินเราไหม! เปลี่ยน!” พลวิทยุประจำกองร้อยของแวร์เนอร์วิทยุหาหน่วยที่อยู่ใกล้เคียง เพราะจากการโจมตีจากเครื่องบินครั้งล่าสุดทำให้หน่วยของพวกเขาพลัดหลงจากหน่วยอื่นๆ ในกองพล ในขณะเดียวกันนั้นเอง ที่เสียงของเครื่องบินได้ดังกระหึ่มอยู่เหนือศีรษะของพวกเขาอีกครั้ง “ทุกคน! หาที่หลบ!” แวร์เนอร์ออกคำสั่งกับลูกน้องในบังคับบัญชา เสียงหวีดหวิวของลมที่ปะทะกับปีกของเครื่องบินที่กำลังดิ่งลงมาหาพวกเขาที่เป็นเป้านิ่ง ก่อนที่หายนะจากฟากฟ้าจะทำลายกองร้อยที่ 2 ให้จนย่อยยับ “!!!!” เครื่องบินกราดกระสุนใส่ทหารเยอรมันที่วิ่งหนีตายอยู่เบื้องล่าง และมีทหารหลายนายถูกยิง แต่ผู้บังคับบัญชากองร้อยของพวกเขาอย่าง แวร์เนอร์ ฮอฟมัน ถูกเครื่องบินกราดยิงจนอาการสาหัส “หัวหน้า!!” หลังจากที่เครื่องบินบินผ่านไปแล้ว ทหารที่อยู่ใกล้แวร์เนอร์ที่สุดรีบวิ่งมาดูอาการของเขาในทันที “แพทย์สนาม!! แพทย์สนาม!!” เสียงตะโกนโหวกเหวกเรียกแพทย์สนามดังไปทั่วบริเวณ “ชิฟเฟ่อ…ฝากจดหมายนี้…ไปให้ภรรยาฉันที…” แวร์เนอร์หยิบจดหมายออกมาจากกระเป๋าเสื้อ มันชุ่มไปด้วยเลือดสีแดงฉาน และแวร์เนอร์กำลังจะตายเพราะการเสียเลือด “ไม่ครับ! หัวหน้าต้องรอด!…หัวหน้าจะมาตายที่นี่ไม่ได้นะครับ!” ชิฟเฟ่อ ลูกน้องคนสนิทของแวร์เนอร์พูดทั้งน้ำตา แพทย์สนามพยายามปฐมพยาบาลแวร์เนอร์อย่างสุดกำลังความสามารถ แต่บาดแผลของเขานั้นสาหัสจนเกินกว่าแพทย์สนามคนเดียวจะทำอะไรได้ “…” แวร์เนอร์ใช้เวลาในห้วงสุดท้ายของชีวิตไปกับการหวนรำลึกถึงวันวานสมัยที่เขายังเป็นเด็ก ความอดอยากที่พวกเขา 3 พี่น้องต้องเผชิญในมหาสงครามครั้งแรก ทุ่งดอกไม้ที่พวกเขาสามคนชอบไปวิ่งเล่นกัน พวกเขาสามคนมักจะเป็นอัศวิน โดยมีโทมัสเป็นพระราชา และเขาและกึนเทอร์จะเป็นอัศวินที่คอยอารักขาพระราชา เขายังคิดถึงซุปมันฝรั่งที่ผู้เป็นแม่มักจะทำให้ทานเสมอๆ คิดถึงวันวานที่ได้อ่านหนังสือพิมพ์และหลับไปในอ้อมกอดของผู้เป็นพ่อ ก่อนที่ภาพจะตัดไปที่เสียงกรีดร้องของผู้บริสุทธิ์ที่เขาได้ทำการสังหารไปตลอดช่วงเวลาของสงคราม เสียงอ้อนวอนขอชีวิต เสียงกรีดร้องด้วยความทรมาน เสียงสวดวิงวอนที่ดังเข้ามาในหัวของแวร์เนอร์ จนทำให้เขารู้สึกผิดและสำนึกในบาปที่ได้กระทำลงไป ‘ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงมหิทธานุภาพ ข้าพระองค์ได้สำนึกผิดในบาปเหล่านั้นที่ข้าพระองค์ได้ก่อขึ้นมา ขอพระองค์โปรดอภัยให้แก่ข้าพระองค์ผู้หลงทางในความมืดบอดนี้ด้วยเถิด’ แวร์เนอร์ภานาอยู่ในใจลึก เพื่อหวังว่าคำภาวนานี้จะทำให้พระผู้เป็นเจ้าให้อภัยกับการกระทำของเขา แม้เพียงสักนิดก็ยังดี “หัวหน้า! ตื่นสิครับ!! หัวหน้า!! อย่าพึ่งหลับนะครับ…” ลูกน้องของแวร์เนอร์เขย่าตัวของเขาเพื่อให้เขายังครองสติอยู่ แต่แวร์เนอร์นั้นกำลังจมอยู่กับความทรงจำเมื่อครั้งอดีตที่ไหลย้อนเข้ามาในหัว และเขาเจ็บจนเกินกว่าจะขยับตัวได้ แม้กระทั่งการหายใจยังรู้สึกว่ามันลำบาก “…” ไม่นานนักแวร์เนอร์ก็หมดลมหายใจไปทั้งแบบนั้น เขาจากไปอย่างสงบ ช่างแตกต่างจากผู้บริสุทธิ์นับร้อยที่ตกเป็นเหยื่อของเขาราวฟ้ากับเหว ลูกน้องในกองร้อยของแวร์เนอร์ต่างร่ำไห้ให้กับการจากไปของผู้บังคับบัญชา และหลังจากนั้นอีก 5 วัน กองทัพเยอรมันก็ปราชัยให้แก่กองทัพสัมพันธมิตรในสมรภูมิตอกลิ่ม กองทัพเยอรมันได้ล่าถอยข้ามกลับไปยังพรมแดนของตัวเอง บัดนี้กองทัพเยอรมันในทิศตะวันตกได้หมดสภาพในการต่อกรกับข้าศึกไปแล้วโดยสิ้นเชิง และไม่มีอะไรจะขวางไม่ให้กองทัพสัมพันธมิตรตะวันตกให้รุกเข้าสู่แผ่นดินแม่ของเยอรมนีอีกต่อไป จดหมายเปื้อนเลือดและแหวนแต่งงานของแวร์เนอร์ถูกส่งกลับไปยังเอ็ลซ่าผู้เป็นภรรยา เธอถึงกับล้มทั้งยืนและร่ำไห้จนแทบใจจะขาด เมื่อทราบว่าสามีของตนเสียชีวิตไปในสงคราม และนั่นเป็นอันตรายต่อลูกในครรภ์ของเธอเป็นอย่างมาก เฟลิเซียและยาคอปที่อยู่ที่ดอร์ทมุนด์ก็ทราบข่าวนี้แล้วเช่นกัน และพวกเขาก็เสียใจที่แวร์เนอร์จากไปทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เห็นหน้าผู้เป็นลูก และในตอนนี้มีเพียง เฟลิเซีย ยาคอป เอ็ลซ่า และกึนเทอร์เท่านั้น ที่ยังคงสืบสกุลฮอฟมัน การตายของแวร์เนอร์และความปราชัยต่อกองทัพสัมพันธมิตรของกองทัพเยอรมัน เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า ‘เยอรมนีกำลังจะพ่ายแพ้สงคราม’ และชาวเยอรมันทุกคน กำลังจะต้องประสบกับหายนะครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ หายนะที่รุนแรงเสียยิ่งกว่าการพ่ายแพ้ในมหาสงครามครั้งแรก…
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD