หลังจากที่กองทัพที่ 6 ของเยอรมนีปราชัยต่อกองทัพแดงของสหภาพโซเวียตที่สตาลินกราดแล้ว เยอรมันก็ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ พวกเขากลายเป็นฝ่ายตั้งรับและถูกไล่ต้อนบ้าง
มีหลายหน่วยถูกล้อมและตกเป็นเชลยศึกของสหภาพโซเวียต และสภาพความเป็นอยู่ของเชลยศึกนั้นไม่ได้สวยหรูเท่าไหร่นัก ทหารเยอรมันจำนวนมากต้องถูกเกณฑ์ไปใช้แรงงานลึกเข้าไปในไซบีเรียอันหนาวเหน็บของสหภาพโซเวียต
บ้างถูกสังหารเพราะความโกรธที่พวกเขาเคยกระทำไว้กับสหภาพโซเวียตเมื่อครั้งที่ปฏิบัติการบาร์บารอสซ่าได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อหลายปีก่อน
แม้จะตกเป็นฝ่ายที่ต้องถอยร่น กองทัพเยอรมันยังคงแสดงความพยศออกมาราวกับกำลังจะบอกว่า ‘หากจะทำลายเยอรมนี ต้องผ่านกองทัพเยอรมันไปก่อน’
พวกเขาตีโต้กองทัพแดงได้ที่สมรภูมิเมืองคาร์คอฟ และยึดเมืองกลับคืนมาได้ ในเดือนมีนาคม 1943 และนอกจากนั้นพวกเขายังได้ทำการรุกคืบไปข้างหน้าเพื่อช่วงชิงจังหวะต่อเนื่องจากความได้เปรียบนี้
นั่นนำไปสู่แผนปฏิบัติการอันยิ่งใหญ่ที่สุดของเยอรมันที่หมายมั่นจะบดขยี้กองทัพแดงให้หมดสภาพการรบ และในภายหลังจะถูกขนานนามว่า
“สมรภูมิเมืองคูสค์ (Battle of Kursk)”
ปฏิบัติการนี้เยอรมนีทุ่มสรรพกำลังทั้งหมดที่มีในแนวรบตะวันออกเพื่อเดิมพันครั้งยิ่งใหญ่ ยานเกราะจำนวนมากมายมหาศาลของทางฝั่งนาซีเยอรมนีและสหภาพโซเวียตต่างถูกนำมาใช้ในสมรภูมินี้
การรบเริ่มต้นขึ้นในเดือนกรกฎาคม 1943 เมื่อเยอรมนีฝ่าแนวออกตีรุกเข้าสู่แนวรบของสหภาพโซเวียตด้วยการรบแบบสายฟ้าแลบ ที่บริเวณย่านนครคูสค์ในสหภาพโซเวียต
.
“หัวหน้า!! เราควรทำยังไงดีครับ?”
สิบเอกชิลเลอร์คลานเข้ามาหาโทมัส ขณะที่พวกเขาหมอบอยู่ที่หลังซากยานเกราะของสหภาพโซเวียตที่ถูกทำลายไป
ตอนนี้กองร้อยของโทมัสกำลังหยุดชะงัก และขาดความต่อเนื่อง เนื่องจากตรงหน้าของพวกเขามีกองกำลังของโซเวียตตั้งขวางทางอยู่ และพวกเขามียานเกราะชนิด T-34 คอยสนับสนุนอยู่ ต่างจากกองร้อยของโทมัสที่เป็นเพียงกองร้อยทหารราบทั่วไป
“เอาล่ะ!! เรามาดูกัน หน่วยยานเกราะของเราอยู่ไหนกันนะ?”
โทมัสพูดพลางกางแผนที่ไปด้วย ในขณะเดียวกันกับที่เขาหลบกระสุนที่สาดมาอย่างไร้ทิศทาง
“หน่วยยานเกราะที่ใกล้เราที่สุด ห่างออกไป 3 ไมล์ทางทิศใต้จากตำแหน่งของเราครับ!”
ชิลเลอร์ชี้ให้โทมัสดู
“วิทยุไปบอกพวกเขาที ว่าเราขอการสนับสนุนจากพวกเขา”
โทมัสพูด
กองร้อยของโทมัสพลัดหลงกับกองพลทหารราบที่สังกัดอยู่ เนื่องจากความรวดเร็วของยุทธวิธีการโจมตีแบบสายฟ้าแลบ ดังนั้นในตอนนี้พวกเขาจึงระส่ำระสายเป็นอย่างมาก เคราะห์ยังดีที่พวกเขามีผู้บังคับบัญชากองร้อยอย่างโทมัสที่ยังคงมีสติดีครบถ้วน
“ทราบแล้วครับ!!”
ชิลเลอร์รับคำสั่ง ก่อนจะออกวิ่งฝ่าห่ากระสุนไปหาพลวิทยุของกองร้อย
เขาโผกระโจนไปที่หลุมที่เกิดจากกระสุนปืนใหญ่ ในนั้นมีทหารเยอรมันสามนาย และพวกเขากำลังยิงโต้ตอบทหารโซเวียตอยู่
“พวกนายเห็นพลวิทยุของกองร้อยไหม?”
ชิลเลอร์ถามทั้งสามคน
“หมอนั่นอยู่ด้านหลังครับ!! ตรงเนินดินตรงนั้น ตรงนั้นปลอดภัยที่สุดแล้ว!!”
ทหารคนหนึ่งพูด ก่อนจะบรรจุกระสุนใส่ปืนประจำกาย และยิงโต้ตอบทหารโซเวียตอีกครั้ง
“โอเค! ยิงคุ้มกันฉันที!”
ชิลเลอร์พูด ก่อนที่จะโผออกไปอีกครั้ง โดยมีทหารเยอรมัน 3 คนนั้นยิงคุ้มกันกดหัวไม่ให้พวกโซเวียตขึ้นมาได้
ทุกอย่างดูสับสนวุ่นวายไปหมด ยานเกราะฝั่งโซเวียตยังคงระดมยิงใส่ทหารเยอรมันที่หลบอยู่อย่างหนัก แต่ทหารราบกลับรุกเข้ามาไม่ได้ เพราะถูกทหารเยอรมันยิงต้านทานอย่างหนักด้วยอาวุธหลากชนิด
ชิลเลอร์กระโจนเข้าไปหลบหลังเนินดินตามที่ 3 คนนั้นบอก แล้วเขาก็ได้พบกับพลวิทยุประจำกองร้อยที่กำลังพยายามติดต่อกับกองพลทหารราบที่พวกตนสังกัดอยู่ เพื่อยืนยันตำแหน่งของตัวเอง ในสภาวะที่กองร้อยกำลังมืดแปดด้านเหมือนกับคนตาบอดเช่นนี้
“นี่คือกองร้อย B มีใครในกองพลทหารราบยานเกราะที่ 20 ได้ยินพวกเราไหม? ทราบแล้วเปลี่ยน มีใครได้ยินพวกเราไหม?”
พลวิทยุตะโกนใส่วิทยุสนามประจำกองร้อย
“เอาล่ะไอ้หนู หยุดติดต่อพวกเขาก่อน ฟังฉัน!! ติดต่อไปหาหน่วยยานเกราะของเราเดี๋ยวนี้!! นี่เป็นคำสั่งจากท่านร้อยเอก!!”
ชิลเลอร์ออกคำสั่ง
พลวิทยุจึงรีบติดต่อหน่วยยานเกราะทันทีตามคำสั่ง
“นี่คือกองร้อย B สังกัดกองพลทหารราบยานเกราะที่ 20 ติดต่อหน่วยยานเกราะของกองพลยานเกราะที่ 47 ทราบแล้วเปลี่ยน!!”
พลวิทยุติดต่อหน่วยยานเกราะที่ปฏิบัติการอยู่ใกล้เคียงกับหน่วยของพวกเขา
“นี่คือหน่วยยานเกราะแห่งกองพลยานเกราะที่ 47 ทราบแล้วเปลี่ยน!”
พลวิทยุประจำยานเกราะของกองร้อยยานเกราะที่สังกัดกับกองพลยานเกราะที่ 47 ตอบกลับมาผ่านทางวิทยุ
“ตอนนี้พวกเราถูกยิงกดอย่างหนักจากยานเกราะฝ่ายข้าศึก พวกคุณพอจะเข้ามาช่วยพวกเราได้ไหม เปลี่ยน!”
พลวิทยุของกองร้อย B พูดกลับไป
“ทราบแล้วเปลี่ยน หมวดยานเกราะที่ 2 กำลังจะไปช่วยพวกคุณเดี๋ยวนี้ ขอทราบตำแหน่งของคุณด้วย เปลี่ยน!”
พลวิทยุประจำกองร้อยยานเกราะตอบกลับมา
จากนั้นพลวิทยุจึงแจ้งพิกัดที่พวกเขาอยู่คร่าวๆ ให้ทางฝั่งนั้นทราบ หลังจากวางสายแล้ว พลวิทยุจึงหันมาแจ้งชิลเลอร์ในทันที
“อีกราวๆ 15 นาทีครับท่าน ยานเกราะของพวกเราจะมาถึงแล้ว”
พลวิทยุรายงาน
“ฉันจะกลับไปรายงานท่านร้อยเอก นายเองก็ระวังตัวดีๆ ด้วยล่ะ!”
ชิลเลอร์พูดจบก็วิ่งออกไปในทันที
จังหวะนั้นเองที่กระสุนปืนใหญ่จากรถถังตกลงที่ข้างๆ ตัวของสิบเอกชิลเลอร์ จนตัวเขากระเด็นกลิ้งไปหลายตลบ
“สิบเอกโดนยิง!! ยิงคุ้มกัน!!”
ทหารเยอรมันที่อยู่ใกล้ๆ พุ่งเข้าไปหาชิลเลอร์ในทันที พร้อมกับลากเขาเข้าไปยังที่กำบังใกล้ๆ
“แพทย์สนาม!! แพทย์สนาม!! สิบเอกโดนยิง!!”
ทหารเยอรมันอีกนายตะโกนเรียกแพทย์สนามประจำกองร้อย
อาการของชิลเลอร์นั้นสาหัสมาก ขาขวาของเขาแหลกเละไม่มีชิ้นดี และเขากำลังจะตายจากการเสียเลือด!!
“เกิดอะไรขึ้น!!”
โทมัสที่ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายรีบวิ่งฝ่ากระสุนเข้ามาดู
“สิบเอกโดนยิงครับ! แพทย์สนาม! แพทย์สนามโว้ย!!!”
ทหารเยอรมันรายงานแก่โทมัส พร้อมตะโกนเรียกแพทย์สนามให้มาดูอาการไปด้วย
“ท่าน…ร้อยเอก…อีก…15…นาที…ยานเกราะ…กำลัง…จะมา…ครับ…ท่าน…”
ชิลเลอร์รายงานโทมัส
“เงียบก่อนชิลเลอร์ พวกเราจะปฐมพยาบาลให้นาย นายต้องรอด! เข้าใจไหม! นี่เป็นคำสั่ง!”
โทมัสออกคำสั่งเสียงขรึม แต่ใบหน้าของเขาเหยเกเพราะกำลังร้องไห้
เพราะชิลเลอร์คือทหารคนสนิทของเขา นับตั้งแต่วันที่เขาเข้ารับราชการในกองทัพบกเยอรมัน ชิลเลอร์คือผู้ช่วยที่ดีของเขาเสมอมา เป็นพ่อทูนหัวของยาคอป เป็นเพื่อนร่วมรบของเขาในทุกสมรภูมิ เป็นทหารที่ซื่อตรงที่สุดเท่าที่โทมัสเคยพบมา
ถ้าชิลเลอร์ต้องมาตายในสมรภูมินี้ มันคือสิ่งที่น่าเศร้าที่สุด โทมัสยังไม่อยากส่งจดหมายให้กับภรรยาของชิลเลอร์ที่มีลูกชายวัยเดียวกันกับยาคอป
“แพทย์สนาม!! แพทย์สนามมันไสหัวไปอยู่ไหนวะ!! ไอ้เหี้ยเอ้ย!! กูตะโกนจนคอจะแตกแล้ว!!!”
ทหารเยอรมันคนเดิมตะโกนเรียกแพทย์สนามซ้ำอีกครั้ง
“มาแล้ว!”
แพทย์สนามประจำกองร้อยวิ่งเข้ามาหาพวกเขา 4 คน
“ห้ามให้เขาตาย นี่คือคำสั่ง!!”
โทมัสสั่งเสียงขรึม
“ไม่ไหวหรอกครับท่าน ขาแหลกละเอียดซะขนาดนี้ ถ้ารอดไปได้นี่คงปาฏิหาริย์สุดๆ แล้วครับ”
แพทย์สนามพูดหลังประเมินอาการของชิลเลอร์เสร็จ
“ฉันสั่งให้รักษา! นายก็ต้องรักษา! นี่คือคำสั่ง!!”
โทมัสตะคอกใส่
“ผมจะทำให้ดีที่สุดครับท่าน!”
แพทย์สนามรายนั้นรับคำสั่ง แม้จะรู้ดีว่าปาฏิหาริย์นั้นไม่มีอยู่เลยก็ตาม
“ท่านร้อยเอก…ผม…ฝากจดหมายนี้…ไปให้…ภรรยา…ของผมด้วย…ครับ…”
ชิลเลอร์ล้วงเข้าไปในเสื้อ ก่อนที่จะหยิบจดหมายสีขาวออกมา และยื่นมันให้กับโทมัส
“นายเก็บไว้เองเถอะชิลเลอร์…นายต้องส่งมันเองกับมือนาย…เข้าใจไหม…”
โทมัสกลั้นน้ำตามพร้อมกุมมือลูกน้องคนสนิท
“ผมไม่ไหวแล้วครับท่าน…”
ชิลเลอร์พูดแค่นั้น ก่อนที่จะหลับตาลงช้าๆ และจากไปอย่างสงบท่ามกลางเสียงปืนเสียงกระสุนที่ดังอยู่รอบๆ
“โถ่เว้ยๆๆๆๆๆๆๆๆ!!! ไอ้พวกโซเวียตสารเลว!!!!!!! กูจะฆ่ามึง!!!”
โทมัสตะโกนออกมาด้วยความโกรธแค้น พร้อมกับหยิบปืนขึ้นไปยิงตอบโต้ทหารโซเวียต
กระสุนของเขาโดนทหารโซเวียตนายหนึ่งที่กำลังวิ่งอยู่จนล้มลง และอีกนัดโดนทหารโซเวียตที่บังเอิญโผล่ขึ้นมาจากที่กำบังพอดีจนถึงแก่ความตาย
เขาโกรธพวกมันที่มาฆ่าลูกน้องคนสนิทของเขา โกรธพวกเบื้องบนที่ออกคำสั่งไร้สาระพาลูกน้องเขามาตายในดินแดนเส็งเคร็งนี่ โกรธโชคชะตาของชิลเลอร์ที่อายุสั้นเกินไป โกรธทุกสิ่งทุกอย่างที่นำพาเขามาอยู่ในจุดนี้
โทมัสไม่สามารถจินตนาการเลยว่าเขาจะไปพบหน้าภรรยาของชิลเลอร์ได้อย่างไร และจะพูดแบบไหนเพื่อปลอบประโลมเธอผู้สูญเสียสามีไปในสงคราม เขาควรจะทำยังไงดี?
หลังจากยิงตอบโต้กันอยู่สักพัก ยานเกราะของฝั่งโซเวียตก็ระเบิดออก ป้อมปืนของมันบินสูงขึ้นฟ้า ทหารเยอรมันยืนงงกับภาพตรงหน้าสักครู่ ก่อนจะร้องเฮออกมาด้วยความดีใจ
เพราะเมื่อพวกเขาหันไปทางด้านขวาก็พบกับยานเกราะชนิดแพนเซอร์ 4 จำนวน 4 คัน พร้อมทหารราบยานเกราะในกองพลทหารราบยานเกราะที่ 20 ที่ส่งกำลังมาช่วยเหลือกองร้อยในสังกัด เพื่อขับไล่ทหารโซเวียตให้ถอยกลับไปยังแนวรบของตัวเอง
หลังจากเคลียร์พื้นที่เสร็จแล้ว ทหารเยอรมันได้ควบคุมตัวเชลยศึกมาไว้ที่จุดเดียวกัน พวกเขามีประมาณ 40 คน และมี 6 คนในนั้นที่เป็นพลขับยานเกราะ
“ทำไมพวกแกมาช้าวะ!! เห็นไหม!! ลูกน้องของฉันต้องตายไปกี่คน!!”
โทมัสตรงปรี่เข้าไปคว้าคอเสื้อของผู้บังคับหมวดยานเกราะที่ 2 ด้วยอารมณ์ที่คุกรุ่น
“เฮ้ๆ เราก็มาเร็วเท่าที่เราจะเร็วได้แล้วนะ!!”
ผู้บังคับหมวดพูดกับโทมัส
“นี่เร็วแกแล้วเหรอ!! แกจะรับผิดชอบยังไงกับทหารที่ตายไปวะ!!”
โทมัสสบถ
“แล้วพวกเราจะทำยังไงได้ล่ะวะ!! พวกแกเองนี่หว่าที่หลงกับกองพันของตัวเอง มาโทษพวกเราได้ยังไง!!”
ผู้บังคับหมวดยานเกราะตะคอกกลับ
“ท่านร้อยเอกครับ พอเถอะครับท่าน!”
ลูกน้องในกองร้อยของโทมัสเข้ามาแยกโทมัสกับผู้บังคับหมวดยานเกราะออก เพราะหากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป พวกเขาได้วางมวยกันจริงๆ อย่างแน่นอน
“โถ่เว้ย!!”
โทมัสกระฟัดกระเฟียดออกจากกลุ่มทหารเยอรมัน ก่อนจะเดินไปหาเรื่องกับพวกเชลยศึก
“ใครมันเป็นพลขับยานเกราะวะ พามันออกมาเดี๋ยวนี้!!”
โทมัสออกคำสั่งกับลูกน้อง
ทหารโซเวียต 6 คนเดินออกมายืนเรียงหน้ากระดาน พวกเขาล้วนแต่เป็นพลขับยานเกราะของฝ่ายโซเวียตทั้งสิ้น
โทมัสมองพวกเขาปราดเดียว ก่อนจะชักปืนลูเกอร์ประจำตัวขึ้นมายิงแสกหน้าเชลยศึกคนแรกในทันที ก่อนจะตามมาด้วยคนที่ 2 และ 3 จนกระทั่งเชลยศึกที่เป็นพลขับทั้ง 6 คนถูกสังหารจนเกลี้ยง
“ส่งพวกที่เหลือให้แนวหลัง กำชับด้วยว่า ฉันขอให้ส่งพวกมันไปที่ค่ายกักกันมรณะ”
โทมัสออกคำสั่งกับลูกน้องในหน่วย
“ทราบแล้วครับท่าน!”
สิบโทเฟาล์ เออร์บาน ผู้ที่เข้ามารับตำแหน่งทหารคนสนิทของโทมัสต่อจากสิบเอกชิลเลอร์รับคำสั่ง
แม้จะสูญเสียเพื่อนร่วมรบคนสำคัญไป แต่โทมัสก็ยังคงต้องพาลูกน้องในหน่วยตะลุยฝ่าแนวข้าศึกต่อไป เขาต้องเก็บความเศร้าไว้ในใจ และพุ่งเป้าไปที่เป้าหมายที่ใหญ่กว่า
แต่เป็นที่น่าเสียดายที่กองทัพเยอรมันและโทมัสไปไม่ถึงฝั่งฝัน พวกเขาถูกหยุดเอาไว้ด้วยกองทัพแดง ก่อนจะถูกดันและผลักให้กลับไปยังแนวรบของตัวเอง
สมรภูมิเมืองคาร์คอฟจบลงด้วยความปราชัยของกองทัพเยอรมัน และการสูญเสียยานเกราะจำนวนมากในสมรภูมิตะวันออกบนดินแดนของสหภาพโซเวียต และในยุทธการโปโรฮอฟก้า กองทัพอากาศเยอรมันได้พ่ายแพ้ต่อกองทัพอากาศของสหภาพโซเวียตอย่างย่อยยับ
บัดนี้กองทัพเยอรมันจำเป็นต้องล่าถอยออกมา แม้จะบอกว่าเป็นการล่าถอยเพื่อสงวนกำลัง แต่บัดนี้ ทหารเยอรมันทั้งหลายรู้แล้วว่า
“พวกเขากำลังจะแพ้สงครามในทิศตะวันออก”
.
ในขณะที่กองพลทหารราบยานเกราะที่โทมัสสังกัดอยู่กำลังคุ้มกันหน่วยอื่นๆ ที่กำลังล่าถอยไปที่จุดรวมพลนั้น กองทัพแดงที่ไล่ตามมาติดๆ ก็ได้เข้าปะทะกับพวกเขาในทันที
กองร้อยของโทมัสคือหนึ่งในตัวแปรที่ต้องถ่วงเวลาเอาไว้ให้นานที่สุด พวกเขาประเคนทุกอย่างที่มีให้แก่ข้าศึก มอบความตายให้กับผู้ที่เหยียบก้าวเข้ามาใกล้แม้เพียงหนึ่งหลา
‘ปัง!’
โทมัสที่บัญชาการรบนั้นถูกยิงจนล้มลง
กระสุนพุ่งเจาะทะลุสีข้างของเขาและฝังตัวอยู่ด้านใน
“ร้อยเอกโดนยิง!! ยิงคุ้มกัน!!”
สิบโทเฟาล์วิ่งเข้าไปดูอาการของโทมัสในทันที พร้อมกับแพทย์สนามประจำกองร้อยที่วิ่งเข้ามาด้วยเช่นกัน
“ผมว่าเราควรถอนกำลังกันได้แล้ว อยู่นี่ต่อไป…เราได้โดนล้อมแน่ๆ”
แพทย์สนามพูด
“งั้นพาท่านร้อยเอกไป พวกเราจะคุ้มกันให้เอง!!”
สิบโทเฟาล์พูดกับแพทย์สนาม
“ทราบแล้วครับ!!”
แพทย์สนามรับคำสั่ง ก่อนที่เขาจะแบกร่างของโทมัสวิ่งไปที่รถบรรทุกกึ่งสายพานของกองร้อย
“ไปได้เลย! พวกเราจะคุ้มกันหน่วยอื่นๆ เอง!”
แพทย์สนามพูดกับพลขับ
“รีบตามมาแล้วกัน!”
พลขับพูด ก่อนจะขับพาโทมัสออกจากสนามรบ มุ่งหน้าสู่แนวหลัง ทิ้งทุกๆ คนเอาไว้ที่เบื้องหลัง ที่ไม่ต่างอะไรจากนรกบนดิน
ไม่นานหลังจากนั้น กองร้อย B สังกัดกองพลทหารราบยานเกราะที่ 20 ก็ถูกระบุในเอกสารว่า ‘ละลายหายทั้งกองร้อย’ เพราะพวกเขาสู้จนยิบตา สู้จนกระทั่งตกอยู่ในวงล้อมของฝ่ายโซเวียต และเหลือทหารคนสุดท้าย
และผู้รอดชีวิตมีเพียง โทมัส ฮอฟมัน ผู้บังคับกองร้อยเท่านั้น
.
“บ้าเอ้ย!!!”
นายทหารระดับสูงของเยอรมันตะโกนขึ้นอย่างเจ็บใจ เพราะพวกเขาพ่ายแพ้หมดทุกทางในดินแดนของสหภาพโซเวียต
“พวกเราแพ้แล้วล่ะ…ที่เหลือก็รอแค่ให้พวกมันมาเหยียบชานกรุงเบอร์ลินของเราบ้าง…”
นายทหารอีกคนพูดขึ้น
“ยานเกราะของเราละลายหายไปหมดเลย เครื่องบินก็ด้วย ไม่เหลืออะไรเลย…”
นายทหารอีกคนที่ยืนอยู่หัวโต๊ะพูด
“เราปิดบัญชีพวกอังกฤษไม่ได้ พวกมันยังเป็นภัยกับเราอยู่ แถมทางตะวันออกก็ยังเพิ่มพวกโซเวียตมาอีก พวกอเมริกันก็พึ่งจะตีกองทัพน้อยแอฟริกันของพวกเราแตกไป เหลือแค่รอให้พวกมันยกพลขึ้นบกแล้วมายึดเอาเยอรมันไปแล้วล่ะ”
นายทหารคนแรกพูด
“พวกอเมริกันผลิตเรือขนส่งได้ไวกว่าที่เราผลิตตอร์ปิโดเสียอีก”
นายทหารคนที่สองพูด พลางดูแผนที่ขนาดใหญ่ที่วางบนโต๊ะ
“นับวันรอความพ่ายแพ้ได้เลย”
นายทหารคนที่สามพูดขึ้น
“ตอนนี้ซิซิลีก็ตกเป็นของพวกสัมพันธมิตรแล้ว ไม่นับอิตาลีที่เริ่มจะสั่นคลอนจากภายในอีก เราถูกโดดเดี่ยวโดยสิ้นเชิงแล้วล่ะ…ไม่สิ! ยังมีเรากับญี่ปุ่นอยู่นี่นา”
นายทหารคนที่สองพูด
เหตุที่เป็นเช่นนี้ ต้องย้อนกลับไปเมื่อหลายเดือนก่อน กองทัพน้อยแอฟริกันที่นำโดยพลเอกอาวุโส แอร์วิน รอมเมลนั้นสกัดกั้นสหรัฐอเมริกาเอาไว้ได้
และไม่นานนักจากความดีความชอบนั้น พลเอกอาวุโส แอร์วิน รอมเมล ก็ถูกเลื่อนขั้นเป็นจอมพลและต้องถูกเรียกตัวกลับเบอร์ลินเพื่อวางแผนการรบครั้งใหม่
เยอรมนีส่งแม่ทัพคนใหม่มากุมบังเ**ยนกองทัพน้อยแอฟริกันและสนับสนุนยุทธปัจจัยต่างๆ ให้ แต่นั่นก็เหมือนกับการส่งพวกมันมาละลายเล่นในแอฟริกา
เพราะกองทัพสัมพันธมิตรเองก็มีแม่ทัพสมองเพชรที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าจอมพลรอมเมลเลย นั่นก็คือ
‘เบอร์นาร์ด มอนต์โกเมอรี’ แห่งสหราชอาณาจักร ผู้ที่ถ้าหากรอมเมลได้รับฉายา ‘จิ้งจอกทะเลทราย’ เขาผู้นี้จะมีฉายา ‘หนูทะเลทราย’ เนื่องจากคอยบัญชาการกองทัพสหราชอาณาจักรเข้าปะทะกับกองทัพเยอรมันของรอมเมลอยู่บ่อยครั้ง
และอีกคนหนึ่งคือ
‘จอร์จ เอส. แพตตัน’ แห่งสหรัฐอเมริกา นายพลผู้พยศราวกับม้าศึก และมีแนวคิดที่สุดโต่ง ผู้ใฝ่ฝันที่จะได้นำทัพเข้าต่อกรกับรอมเมล
พวกเขาสองคนนี้บัญชาการรบกองทัพสัมพันธมิตรจนกระทั่งกองทัพน้อยแอฟริกันยอมจำนนต่อพวกเขาในการรบครั้งสุดท้ายที่ตูนิเซีย อันเนื่องมาจากการขาดยุทธปัจจัยทางสงครามที่เพียงพอในการทำสงครามต่อ
และด้วยความต่อเนื่องของสงคราม สัมพันธมิตรได้ยกพลขึ้นบกที่ซิซิลีในวันที่ 9 กรกฎาคม 1943 บุกยึดครองส่วนหนึ่งของอิตาลี นั่นทำให้อิตาลีระส่ำระสายอย่างหนัก
พันธมิตรร่วมรบของเยอรมนีอย่างอิตาลีกำลังจะแปรพักตร์เข้ากับฝ่ายสัมพันธมิตร
นาซีเยอรมนีประสบปัญหาในการทำสงคราม อันเนื่องมาจากพวกเขาเปิดแนวรบหลายแนวรบจนเกินไป อีกทั้งการเปลืองทรัพยากรในการตามล่ากองกำลังใต้ดินในประเทศที่ถูกยึดครอง และการกำจัดชาวยิวตามแนวคิดของพรรค
ทรัพยากรอันมีค่าและยากที่จะหาทดแทนถูกละลายไปจนแทบจะทั้งหมด กองทัพเยอรมันในตอนนี้จึงอ่อนเปลี้ยง่ายต่อการผลักให้ล้มลงไปกองกับพื้น
ทุกความปราชัยของเยอรมนีที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็น การทัพที่ตูนิเซีย, ปฏิบัติการยึดครองเกาะซิซิลี, สมรภูมิเมืองคูสค์, ยุทธการโปโรฮอฟก้า ฯลฯ เป็นสัญญาณบ่งบอกว่า
“เยอรมนีกำลังจะพ่ายแพ้สงคราม”
และพวกเขาไม่อาจที่จะเลี่ยงชะตากรรมนี้ไปได้ ไม่มีแม้แต่หนทางเดียว