ตัดพ้อ

1367 Words
บริษัทกรุปใหญ่ แตกสาขาสายงานออกไปนับไม่ถ้วน เป็นที่ยกย่องถึงความเก่งและแกร่งของใครคนนึง ที่สร้างเครือข่ายเอาไว้ให้ลูกตัวเองนั้นได้มีงานทำกันทุกคน และลูกแต่ละคนก็ไม่เคยทำหล่อนผิดหวังสักครั้ง ยกเว้นก็แต่คราวนี้ กับลูกคนกลางของหล่อน ที่กำลังนั่งแถลงข่าว อยู่ในจอทีวี ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ตอบคำถามของนักข่าวได้อย่างฉะฉาน ใช้วาจาเสมือนรู้สึกผิดซะเต็มประดา และอ้างทุกอย่างคือเรื่องเข้าใจผิดกัน ทว่า แววตานั้นกลับไม่ได้รู้สึกผิดอะไรด้วย อดทำคุณนายอารีย์แค่นยิ้มออกมาไม่ได้ ต่อพฤติกรรมความก้าวร้าวที่ลูกชายนั้นมี นึกย้อนกลับไปถึงใครคนหนึ่ง กับสีหน้าฉงนเหนื่อยใจเกินบรรยาย .....นิสัยเหมือนสามีเธอตอนมีชีวิตอยู่ไม่มีผิด ...... “ เตรียมรถ ฉันจะออกไปหาเจ้านั่นที่บริษัท" “ ครับผม" ร่างสูงตระหง่านที่เพิ่งกลับเข้ามาในห้องทำงานตน หลังจากแถลงข่าวเสร็จ ยืนหันหลังให้กับแฟ้มใหญ่ทุกแฟ้มที่มีเลขาอุ้มหอบอยู่ หันหน้าออกไปทางวิวหน้าต่าง ด้วยท่วงท่ามือล้วงกระเป๋ากางเกง ปากเม้มเข้ากันแน่น เป็นเส้นตรงเส้นเดียว คิ้วหย่อนชนกันยุ่งเหยิง บ่งบอกถึงความร้อนใจ สมองต้องคิดอะไรบางอย่างอยู่ จนกระทั่งต้องชะงักกึก หลังจากมีใครบางคนเดินเข้ามา ด้วยอำนาจที่มีมากกว่าใครในนี้เลยไม่ต้องขออนุญาตใครเลยก็ได้ “ แค่การแถลงข่าวด้วยคำพูดไร้เนื้อแบบนั้น คงไม่ทำให้แกเหม่อลอย ถึงขนาดสะดุ้ง ที่เห็นฉันมาหรอกนะ" “ นายแม่..” เสียงทุ้มแผ่วดังขึ้นพร้อมกับหน้านิ่งหันกลับมา คุณนายอารีย์โบกมือเชิงขอให้เลขาออกไปก่อน ส่วนหล่อนนั้นนั่งตรงโซฟา “ บทที่ให้สัมภาษณ์สาบานสิว่า คนมีความรู้เขาใช้กัน" “................” “แกเป็นถึงกรรมการผู้บริหาร จะทำอะไรคิดบ้างนะคอป" เปิดประเด็นทันที ไม่เปิดโอกาสให้ร่างสูงได้เตรียมตัว “ ผมคิดตลอดเวลา จนสมองผมจะแตกตายเข้าสักวัน” “ คอป!" “ กับอีแค่พนักงานถ่อยๆ คนนึง ไม่เห็นต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้นี่ครับแม่!" “ ...............” ประโยคที่แทรกเสมือนขวานผ่าซากนั้น ไม่ต่างกันเลยกับสายฟ้ายามผ่าลงมาตอนฝนตก คุณนายอารีย์ยืนขึ้นเต็มความสูง ก้าวเท้าเข้ามายืนตรงหน้าคุณคอป ก่อนจะ.. เพี๊ยะ!!! ต่อหน้าต่อตาคนติดตามสองคน ที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่ข้างหลัง ทว่าทำตัวไม่ต่างเลยกับหุ่นยนต์ตัวหนึ่ง ซึ่งต่อให้แม่ลูกคู่นี้ชักมีดออกมาฆ่ากันตาย บอดี้การ์ดที่ถนัดเอาแต่ทำตามคำสั่งคงไม่กล้าที่จะแย้งอะไร “ เมื่อไหร่ จะเลิกทำตัวมีปัญหาสักที เมื่อไหร่จะเลิกดูถูกคน แกดูเคลคิมเป็นตัวอย่างสิ เขาไปถึงไหนต่อไหนกันแล้ว" “ เลิกเอาผมไปเปรียบเทียบกับใครสักทีเถอะครับ ตราบใดที่ความรู้สึกของนายแม่ยังไม่มีความเท่าเทียม ผมทำอะไรไปก็คงจะผิด" “ คอป!" “ กลับบ้านดีๆ นะครับ ผมขอโทษที่อยู่คุยนานกว่านี้ไม่ได้ มีคุยงานกับลูกค้าต่อตอนบ่ายโมง ขอตัวนะครับ" “ นี่แก!" ตัดบทเพียงแค่นั้น คุณคอปก็เดินออกมาเลย ไม่สนว่าคนข้างหลังจะเป็นยังไงบ้าง ด้วยสีหน้าที่เฉยชา ทว่ามีความรู้สึกแย่มากมายซ่อนอยู่ภายในเต็มไปหมด “เดี๋ยวค่ะเจ้านาย ยังมีเอกสารด่วนที่เจ้านายจะต้องเซ็นนะคะ เจ้านายคะ เจ้านาย" ซึ่งแม้แต่เลขาเรียก เขาก็ยังไม่คิดจะหันกลับมาเลย ลำบากคุณนายอารีย์ที่เดินตามหลังมาต้องเหนื่อยใจอยู่เป็นระลอก “ ปล่อยเขาไป เดี๋ยวฉันเซ็นแทนเอง เอาไปให้ฉันในห้องทำงาน" “ ค่ะท่านประธาน" เอี๊ยด!!! เสียงล้อลากสนั่นหวั่นไหวหลังถึงที่หมาย คนขับลงมาด้วยอารมณ์เดือดดาลสุดๆ วันนี้เขาอยากจะเมาให้มันหัวทิ่ม เมาจนไม่มีสติพอจะให้คิดเรื่องงานให้รู้แล้วรู้รอด ทว่า มาได้เพียงครึ่งทางกลับไม่มีอารมณ์ซะงั้น เปลี่ยนความคิดพอๆ กันกับทิศทางลม หนีไม่พ้นมานั่งดื่มคนเดียวอยู่ในคอนโดตัวเอง จนกระทั่งเที่ยงคืน บรั่นดีเพียวๆ ลดปริมาณหมดไปจากขวดมากกว่าสิบแก้ว คุณคอปเริ่มเมาแอ๋ ทว่ายังมีสติพอที่จะไม่รับสายใครทั้งสิ้น ซึ่งโทรเข้ามาตอนนี้หลายสายจนนับไม่ถ้วนแล้ว ‘ ริซ่า ‘ ‘ คิมหันต์’ และ.... ‘ นายแม่ ‘ “ ฮึ..” เขาไม่คิดจะสนใจใครสักคน โดยเฉพาะนายแม่ อันที่จริงมันก็คงจะเป็นเรื่องปกตินั่นแหละ ที่คนอย่างคุณคอปจะเมา เพราะเขาเมามายแบบนี้ไม่ว่างเว้นมานานแล้ว อยู่ที่จะเมานิดเมาน้อย หรือไม่เมาเลยก็เท่านั้น เคร้ง! นิสัยตอนเมาเขาไม่ใช่คนชอบโวยวายอะไรหรอก จัดไปทางนั่งเงียบเป็นเป่าสากซะมากกว่า ใช้เพียงแววตาฉ่ำหวานเย้ายวนมากกว่าคำพูดเท่านั้น ที่มองสาวคนไหนแล้วเป็นต้องติดกับ ทว่าวันนี้ เปลี่ยนเป็นเครียดตึงแทน ต่างกันโดยสิ้นเชิง เขาถอดเสื้อออก เผยให้เห็นผิวท่อนบนขาวเนียนละเอียด กล้ามเนื้อเป็นมัดๆ ส่วนท่อนล่างเหลือเพียงกางเกงยีนที่มีขอบเขตระหว่างจุดเชื่อมต่อความโป๊แค่เข็มขัดเส้นเดียว เดินไปนั่งบนขอบระเบียงทั้งที่เมา อัดบุหรี่เข้าปอดพ่นควันตุ้ยๆ ไม่กลัวว่าจะตกลงไปตาย ขมวดคิ้วยามเผยอปาก เสมือนคือจังหวะการระบายความเครียดออก พลันมาชะงักด้วยเสียงนี้ ที่โชยมาทางขวามือของข้างๆ ห้อง “ ยังเลยค่ะ ยังไม่กลับ" “ ไม่ค่ะ ไม่ไปตามแล้ว บลูทำงานไม่เต็มที่มาหลายวันก็เพราะเขา" “ พอทีเถอะค่ะแม่! ลำพังแค่เรื่องของตาบีมก็ปวดหัวพออยู่แล้ว อาทิตย์หน้าบีมจะต้องถ่ายเลือด แม่ควรจะมานะคะ" ก่อนประโยคสุดท้ายจะทำเขาชะงัก ถึงพ่นกับควันจังหวะ เพราะอยู่ดีๆสาวข้างห้องเกิดตะเบ็งเสียงสั่น ร้องไห้ออกมาไม่สนว่าใครจะได้ยิน “ อะไรวะ" ทำคุณคอปสบถเสียงเบา เลี่ยงความงงในใจไม่ได้ ความอยากรู้อยากเห็นสั่งให้เขาก้าวเข้าไปใกล้อีกนิดหนึ่ง ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้หนาอย่างเงียบเชียบที่สุด “ งั้นแม่ก็ดูแลเขาเองเลยสิคะ ทำไมล่ะ ทั้งๆที่บอลเขาก็ลูก ทำแบบนี้ไม่ต่างเลยกับคนเห็นแก่ตัว" แต่เหมือนคุณคอปจะคิดผิด ที่มานั่งฟังอยู่แบบนี้ เพราะการที่ได้ยินเสียงร้องไห้ มันทำให้เขานั้นคิดเรื่องอื่น นอกเหนือไปจากเรื่องของตัวเอง ตอกย้ำให้รู้ว่าหญิงสาวข้างห้องกำลังมีปัญหา หล่อนอาจกำลังเจออะไรบางอย่างที่หนักอึ้งอยู่ ถึงขั้นมาปล่อยโฮไม่สนใจใครแบบนี้ มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆเลย แล้วเจ้าหล่อนจะรู้ไหม การมายืนคุยโทรศัพท์อยู่ตรงระเบียงแบบนี้ มันอาจจะเก็บเสียงดีกว่าในห้องก็จริง แต่มันทำคนซึ่งยืนอยู่ระเบียงข้างๆ กัน ได้ยินมันชัดเจนนะ “ค่ะ งั้นก็สุดแล้วแต่ความพึงพอใจของแม่เลยค่ะ" เสียงถอดหายใจดังระงม นั่นหมายความว่าตอนนี้บลูได้ตัดขาดการสนทนานั้นแล้ว ทว่า ยังคงยืนอยู่ที่เดิม ไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหน ทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้ไม้ลักษณะเดียวกันกับคุณคอป พร้อมปล่อยโฮออกมาหนักว่าเดิม “ ฮึก...ฮื้อๆๆ พ่อ... บลูเหนื่อยเหลือเกินจ้ะ " กอดตัวเองแน่น ท่ามกลางมวลอากาศยามดึก ซึ่งเล้าโลมให้ใจเหงาเท่าทวีคูณ หล่อนจะรู้ไหม หากไม่มีกำแพงนั้นคั่นอยู่ระหว่างกลาง ภาพที่เห็นไม่ต่างเลยกับแผ่นหลังของหล่อนนั้น แนบอิงอยู่กับใครบางคน ที่ตอนนี้เอาแต่นั่งก้มหน้านิ่ง สองมือกุมผสานเข้าหากัน แถมเขาคนนั้นก็สร่างเมาเป็นปลิดทิ้ง นับตั้งแต่ได้ยินเสียงอู้อี้ของเธอ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD