บัลลังก์หุ่นเชิด / 2

2132 Words
ภายในท้องพระโรงที่ยิ่งใหญ่ ภาพความหรูหราของการประดับประดา ดูจะชินตาเจินลี่หลัวไปเสียแล้ว นางมีโอกาสได้เข้ามาที่โถงแห่งนี้หลายคราว ด้วยตำแหน่งนางในรับใช้ฝ่ายห้องเครื่อง หญิงสาวสวมชุดสุดสีขาวย้อมชายผ้าด้วยสีคราม ปักลายดอกไม้ด้วยด้ายสีคราม ผมยาวสลวยถูกรวบไปครึ่งหัวแล้วปักประดับด้วยปิ่นสีเงินแต่งด้วยไข่มุกและพลอยสีน้ำเงินเข้ากับชุด แม้ตำแหน่งของเจินลี่หลัวจะไม่ได้ใหญ่โตนัก แต่ด้วยผลงานการรบของเจินฮุ่ยหมิงน้องชายของนาง ก็ทำให้ผู้คนต่างยำเกรง อีกทั้งเรื่องที่สองพี่น้องตระกูลเจินมีเลือดราชวงศ์อยู่ในตัวก็ไม่ได้ตายไปพร้อมกับมารดาของนาง เรื่องนี้ยังคงถูกพูดถึงอย่างลับๆ อยู่เรื่อยๆ “เนื่องด้วยในปีนี้มีเรื่องน่ายินดีเกิดขึ้น...” เสียงของพระพันปีดังก้องไปทั่วห้องโถงใหญ่ เนื่องจากนางนั่งอยู่บนพระที่นั่งที่สูงกว่าทุกชีวิตในห้องนี้ เว้นไว้เพียงบัลลังก์มังกร ที่ฮ่องเต้ฉินจื่อเหลียนบุตรชายของนางนั่งอยู่เท่านั้น “ท่านแม่ ให้ข้าได้เป็นผู้พูดเรื่องนี้เองเถิดเจ้าค่ะ” เสียงลูกชายพูดแทรกขึ้น แม้จะไม่ได้ดังมากนัก แต่ก็ดังพอที่จะทำให้หญิงชราชะงักและหยุดพูดในทันที “ข้า...ในนามของฮ่องเต้ ขอชี้แจงให้ทุกคนได้รับทราบโดยทั่วกัน ว่างานเถลิงราชย์ที่กำลังจะมาถึง ต้าหยางจะจัดให้ยิ่งใหญ่กว่าทุกปี ทั้งขบวนเสร็จ การเฉลิมฉลอง การประดับประดาโคม ตลอดไปจนถึงอาหารการกิน” สายตาของคนพูดจดจ่ออยู่ที่เพียง หญิงงามแถวนางในรับใช้กลุ่มห้องเครื่องเท่านั้น แม้ว่าเขาจะพูดภาพรวมด้านอื่นด้วยก็ตาม “เนื่องด้วยปีนี้เหล่าราชวงศ์จากแคว้นพันธมิตรจะมาร่วมงานมากกว่าทุกปี และมีเรื่องน่ายินดีอีกเรื่องที่ต้องประกาศให้ผู้มาร่วมงานทราบ” เสียงฮือฮาจากเหล่านางในรับใช้ ภายในห้องโถงใหญ่เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ บ้างก็รู้มาว่าจะฉลองที่รบชนะตงซาน เพราะปีก่อนไม่ได้จัดฉลองยิ่งใหญ่ เนื่องจากทรัพยากรอาหารยังขาดแคลน จากการทำสงคราม อีกทั้งยังต้องลดความรื่นเริง เพื่อไว้อาลัยแด่ทหารที่สละชีวิตเพื่อบ้านเมือง แต่ก็มีเหล่านางในรับใช้หลายคนที่ได้มีโอกาสเข้าถวายการรับใช้กับพระพันปี ทำให้รู้ข่าววงในว่าฮ่องเต้กำลังจะอภิเษกสมรสกับองค์หญิงต่างแคว้นเพื่อกระชับความสัมพันธ์ “จริงหรือเปล่าที่มีข่าวลือว่าตำแหน่งฮองเฮาจะไม่ว่างแล้ว” เสียงกระซิบจากด้านขวา ทำให้เจินี่หลัวที่นั่งนิ่งอยู่นานพลันใจหล่นวูบ ความรู้สึกนี้เคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้วครั้งหนึ่ง ตอนที่รู้ว่าฉินจื่อเหลียนต้องขึ้นครองบัลลังก์ และฮ่องเต้จะต้องแต่งตั้งฮองเฮาเคียงกาย แต่นานนับสิบปีที่ฉินจื่อเหลียนฝ่าฝืนกฎข้อนี้ เขาไม่ยอมแต่งตั้งฮองเฮาโดยอ้างว่าจะเลือกสตรีที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับตำแหน่งที่สุดด้วยตัวเอง และแม้ว่าพระพันปีจะไม่เห็นด้วย แต่ก็ไม่ได้บังคับให้ลูกชายแต่งงานกับใคร เพราะเห็นว่าฉินจื่อเหลียนนั้นก็ไม่ได้เสนอว่าจะแต่งกับคนที่นางไม่อยากได้มากที่สุด ซึ่งก็คือเจินลี่หลัวรักแรกของฉินจื่อเหลียน “ได้โปรดเงียบกันสักครู่ ข้ามีเรื่องต้องพูดอีกหลายเรื่อง” เสียงซุบซิบพลันเงียบสงบลงในทันที เมื่อได้ยินเสียงของฮ่องเต้ตะโกนขึ้น เขามองไปที่หญิงสาวคนเดิม เพื่อดูอาการของนาง คิดว่าในเสียงกระซิบเมื่อครู่คงมีบางคน พูดถึงเรื่องที่เขาไม่อยากเอ่ยไปเสียแล้ว สีหน้าของเจินลี่หลัวเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน แม้จะไม่ได้แสดงสีหน้าว่ากำลังรู้สึกอะไรอยู่ แต่ความเฉยชาในแววตาของนางก็จางลงกว่าปกติมาก “ปีนี้ต้าหยางจะได้ความสนับสนุนจากตงซาน ทำให้การจัดงานยิ่งใหญ่กว่าทุกปี” ฉินเหยาไป่มองท่าทางของบุตรชายแล้ว ก็รู้สึกอึดอัดใจจนต้องแทรกขึ้น “นอกจากงานเถลิงราชย์แล้ว ปีนี้จะมีงานหมั้นของฮ่องเต้กับองค์หญิงสามแคว้นเฉิงอี้ การจัดงานจึงจะยิ่งใหญ่ขึ้นเป็นเท่าตัว” สิ้นคำพูดของหญิงชราหัวใจของเจินลี่หลัวดั่งถูกดาบปักลงทะลุอก แม้จะทำใจมาโดยตลอดว่าอย่างไรก็ต้องมีวันนี้ แต่พอถึงเวลาจริงๆ ก็ยังมิอาจทำใจยอมรับได้ การประชุมที่โถงใหญ่สิ้นสุดลงเพียงไม่นาน แต่เสนาบดีก็ชี้แจงให้แต่ละฝ่ายส่งตัวแทนเข้าเฝ้าฮ่องเต้ที่ศาลากลางน้ำ เพราะต้องพูดคุยรายละเอียดของแต่ละฝ่ายอีกครั้ง โดยเจินลี่หลัวได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนของนางในรับใช้ฝ่ายห้องเครื่อง กองวัตถุดิบที่นางดูแลอยู่แล้ว ร่างบางเดินเข้าไปในศาลาด้วยความรู้สึกเจ็บปวด ตั้งแต่รู้เรื่องงานหมั้นละการอภิเษกที่จะเกิดขึ้น ทุกย่างก้าวดั่งเดินอยู่บนเข็มแหลมนับร้อยเล่ม ในนหัวไม่มีสมาธิจะคิดสิ่งใด หัวใจปั่นป่วนสับสนไปหมด จนแทบจะประคองบุคลิกสตรีเย็นชา ที่นางสร้างขึ้นมาเพื่อปิดบังความเจ็บปวดนานนับสิบปีไว้ไม่ได้ “เชิญนั่งก่อนเถิด” เสียงของคนที่ตั้งตารอให้ถึงคิวของห้องเครื่องกองวัตถุดิบเอ่ยเชื้อเชิญ หญิงสาวโค้งคำนับก่อนจะนั่งลงบนพรมสีคราม ซึ่งอยู่ต่ำกว่าชั้นที่ฮ่องเต้นั่งอยู่ ขณะที่เจินลี่หลัวนั่งลง นางรู้สึกถึงสายตาของฮ่องเต้ฉินจื่อเหลียนที่จ้องมองมาอย่างลึกซึ้ง นางพยายามตั้งสติและจดจ่อกับงานที่ทำอยู่ แต่ใจกลับเอาแต่วนเวียนอยู่กับข่าวการหมั้นหมายของเขากับองหญิงต่างแคว้น นางอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าเจ้าหญิงจากเฉิงอี้คนนั้นคือใครและนางเป็นอย่างไร หญิงสาวพยายามบอกตัวเองว่าไม่ควรสนใจ นางต้องยอมรับความเป็นจริงของฐานันดรที่ต่างกันระหว่างตัวเองกับฮ่องเต้และเดินหน้าต่อไป แต่เพียงพูดย่อมง่ายกว่าทำ หากมันง่ายเช่นนั้นเจินลี่หลัวผู้นี้คงออกเรือนกับชายอื่นไปนานแล้ว “หม่อมฉันเป็นผู้รับผิดชอบฝ่ายห้องเครื่องกองวัตถุดิบ เข้ามารับงานตามบัญชาขององค์ฮ่องเต้ ประสงค์สิ่งใดโปรดแจ้งกับหม่อมฉันได้เลยเจ้าค่ะ” เมื่อเจินลี่หลัวพูดจบ ก็เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะระหว่างคนทั้งสอง ฉินจื่อเหลียนจ้องมองนางอย่างอ้อยอิ่ง คนถูกจ้องรู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองเริ่มร้อนเพราะสายตาที่จ้องมาอย่างพิจารณาของอีกฝ่าย นางพยายามเบือนหน้าหนี แต่ก็ยังรู้สึกได้ว่าเขายังคงจ้องมาอย่างไม่วางตา “เจ้าสบายดีหรือไม่” ชายหนุ่มถือโอกาสนี้พูดคุยนอกเรื่องกับสตรีตรงหน้า ไม่บ่อยนักที่เขาจะมีโอกาสได้พูดคุยกับนางอย่างเป็นส่วนตัวเช่นนี้ “หม่อมฉันคิดว่าเราเข้าเรื่องกันดีกว่าเจ้าค่ะ ยังมีนางในรับใช้อีกหลายนางที่รอเข้าเฝ้าพระองค์” หญิงสาวไม่ตอบคำถามแต่เลือกที่จะตัดบท เพราะรู้ว่าหากตอบคำถามไป อีกฝ่ายต้องพาออกนอกเรื่องงานอย่างแน่นอน “เช่นนั้นข้าก็จะไม่อ้อมค้อม วนพิธีเถลิงราชย์ปีนี้จะมีการจัดพิธีหมั้นหมายของข้ากับองค์หญิงจากเมืองเฉิงอี้” แม้จะทำใจมาตั้งแต่ตอนได้ยินเหล่านางในรับใช้พูดคุยกันมาก่อนแล้ว แต่พอได้ยินจากปากของฉินจื่อเหลียนเองความรู้สึกทั้งหมดที่เจินลี่หลัวพยายามเก็บกลั้นก็แทบจะล้นทะลักออกมาทั้งหมด “เจ้าค่ะ มีสิ่งใดที่ประสงค์จะให้กองวัตถุดิบจัดหาเป็นพิเศษหรือไม่เจ้าคะ” แต่เจินลี่หลัวก็คือเจินลี่หลัว เด็กสาวที่เติบโตมาพร้อมบาดแผลตั้งแต่ลืมตาดูโลก นางเก่งกาจเรื่องการเก็บความรู้สึกยิ่งกว่าใคร เจ็บปวดแค่ไหนก็ไม่เคยแสดงให้ใครได้เห็น ทุกความรู้สึกถูกซ่อนเอาไว้ใต้แววตาไร้ความรู้สึกอย่างมิดชิด “ข้าไม่ได้ต้องการจะพูดเรื่องงาน แต่มีเรื่องที่สำคัญกว่านั้นอยากจะขอความเห็นจากเจ้า” “เช่นนั้นก็ว่ามาเถิดเจ้าค่ะ” “ท่านแม่อยากจะสู่ขอเจ้าให้กับหวงไช่ถิงและส่งไปอยู่ที่หลุนซาน เจ้าคิดเห็นว่าอย่างไร” ฉินจื่อเหลียนเลือกที่จะหยั่งเชิงของอีกฝ่ายด้วยคำถามที่กำลังจะเป็นปัญหาสำหรับเขาก่อน แต่ก็พอเดาคำตอบของอีกฝ่ายได้ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มารดาของเขาพยายามจับคู่ให้กับนาง “หม่อมฉันเคยตอบคำถามนี้มาหลายรอบแล้ว และหากให้สิทธิในการตัดสินใจกับหม่อมฉัน ก็ขอยืนยันด้วยคำตอบเดิมว่าไม่อยากจะออกเรือนเจ้าค่ะ” “ข้าก็ไม่รู้ว่าจะขัดต่อพระประสงค์ของพระพันปีได้อีกนานเท่าใด จึงได้คิดหาทางออกให้เจ้า” หญิงสาวตั้งใจฟังว่าทางออกของอีกฝ่ายคืออะไร เพราะนางเองก็รู้อยู่เต็มอกว่าคงปฏิเสธการแต่งงานแบบนี้ตลอดไปไม่ได้ สตรีอย่างไรก็ต้องออกเรือนในสักวัน เพียงแต่ว่าความดีความชอบของเจินฮุ่ยหมิงน้องชายของนางยังพอเป็นบารมีช่วยเหลือนางได้อยู่ในตอนนี้ “ข้าจะขอแต่งตั้งให้เจ้าเป็นสนมเอก หลังพิธีเสกสมรสของข้ากับองค์หญิงสามผ่านพ้นไปแล้วในระยะหนึ่ง” เจินลี่หลัวพลันเงยหน้าขึ้นมองคนพูดเมื่อได้ยินเช่นนั้น แม้ว่าในใจของนางจะยังคงมีเขาอยู่เสมอมา แต่ก็รู้ดีว่าพระพันปีจะไม่มีทางยินยอมย่างแน่นอน อีกทั้งนางเอกก็ไม่สามารถทำใจยอมรับเรื่องใอดีตได้ ว่าครั้งหนึ่งต้องสูญเสียมารดาไปเพราะพระพันปีเป็นคนสั่งการ “ฮ่องเต้เจ้าคะ ท่านก็รู้ว่าพระพันปีเกลียดแค้นคนตระกูลเจินมากเพียงใด ที่ทุกวันนี้พระพันปีให้โอกาสหม่อมฉันกับอาฮุ่ยได้มีชีวิตอยู่ ก็ทรงกรุณามากแล้วหม่อมฉันคงมิบังอาจ หยามพระเกียรติของพระพันปีด้วยการรับตำแหน่งสนมเอกได้เจ้าค่ะ” เจินลี่หลัวกล่าวปฏิเสธด้วยน้ำเสียงเรียบ “ลี่หลัวเจ้าก็รู้ว่าข้าไม่สามารถเห็นเจ้า...เป็นของชายอื่นได้” “พระองค์กำลังจะเสกสมรสนะเจ้าคะ” หญิงสาวพูดแทรกขึ้นและทำให้ฉินจื่อเหลียนเงียบไปชั่วขณะ เขาพยายามตั้งสติและกลับเข้าเรื่องสำคัญที่ต้องพูดกับหญิงสาวตรงหน้าให้จบ “มันคือหน้าที่ ข้าขึ้นครองบัลลังก์นานนับสิบปี ซึ่งตามหลักแล้วหลังครองบัลลังก์ข้าต้องมีฮองเฮาเคียงกาย ข้าพยายามปฏิเสธมาตลอดและมั่นใจว่าเจ้าเองก็รู้ว่าเพราะอะไร และข้าก็เชื่อด้วยว่าที่เจ้าไม่ยอมออกเรือนกับชายใดก็คงจะด้วยเหตุผลเดียวกัน” สายตาของชายหญิงทั้งสองสบประสานกัน ต่างฝ่ายต่างเงียบเพราะรู้อยู่เต็มอกว่าประโยคเมื่อครู่เป็นความจริงทั้งสิ้น “พระองค์ทรงรู้ดีว่าเรารักกันไม่ได้” “เพราะอะไรงั้นหรือลี่หลัว” “หม่อมฉันได้พูดเหตุผลไปแล้ว และหวังว่าพระองค์จะทรงพูดเรื่องงานเสียที เรานั่งคุยกันนอกเรื่องนานเกินไปแล้ว” “นี่แหละเรื่องที่ข้าต้องการจะคุยกับเจ้า คิดจริงๆ หรือว่าเรื่องเท่านี้ข้าจะเรียกประชุมรวมไม่ได้ ที่ต้องเรียกแต่ละฝ่ายเข้ามาพูดคุยส่วนตัวและเรียกเจ้ามาลำดับที่ 3 ก็เพราะต้องการหาข้ออ้างให้เราได้คุยกันเพียงลำพังต่างหาก” “เช่นนั้นหม่อมฉันคงต้องขอตัวเพคะ” หญิงสาวคำนับก่อนจะถอยตัวออกจากพรม แต่ก็ต้องชะงักเมื่อถูกฉินจื่อเหลียนเรียกเอาไว้ “ลี่หลัว...” หญิงสาวนิ่งเงียบรอฟังว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร “ในใจเจ้าไม่เหลือความรักของอีกแล้วจริงๆ หรือ” เจินลี่หลัวไม่ได้ให้คำตอบ นางขยับตัวถอยออกจากพรมไปยังจุดที่จะสามารถลุกยืนขึ้นได้ ก่อนจะเดินกลับออกมาพร้อมความรู้สึกเจ็บระบมในหัวใจ ‘สนมเอกงั้นหรือ...’ หญิงสาวคิดในใจ นางรู้ตัวเองดีว่าไม่อาจจะทนเห็นเขามีใครได้เช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นหากรับตำแหน่งสนมมาจริงๆ ก็จะเป็นได้เพียงแค่ตำแหน่งที่รองลงมาจากฮองเฮา หากไม่ได้เป็นสตรีเพียงหนึ่งเดียวของเขา สู้ไม่รับตำแหน่งใดเลยเสียยังดีกว่า
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD