หนีเรียน

1405 Words
นี่เป็นการนั่งรถเมล์ครั้งแรกของพวกเราทั้งสามคน นั่งรถเมล์ครั้งแรกก็ไม่ได้แย่อย่างที่ฉันคิด บรรยากาศก็ดีลมตีหน้าดีแต่แอบร้อนไปหน่อย “เอ่อว่าแต่เราลงป้ายไหนอะ” นมสดถามทั้งสองขึ้นมา ก่อนที่ทั้งสองจะมองกลับมาที่คนถาม เชิงตอบว่าไม่รู้เหมือนกัน “เอาแบบนี้ละกัน งั้นเห็นห้างก็ลง” เอวาพูดขึ้น ทั้งสองพยักหน้าตอบเห็นด้วยกับเธอ ก่อนจะนั่งคุยเล่นกันตามประสาเพื่อน แถมยังนินทากระเป๋ารถเมล์ระยะประชิดเผาขนไปเลยทีเดียว ทั้งสามที่นั่งคุยนั่งดูโน่นนี่กันเพลินจนลืมดูป้ายแต่ละป้ายจนรถเมล์วิ่งเข้ามาจอดในอู่ “นี่ ๆ พวกเธอรถวิ่งสุดสายแล้วลงได้แล้ว” กระเป๋ารถเมล์ตะโกนบอกเด็กทั้งสาม เอวา นมสด และครัวซองต์ มองหน้ากันเลิ่กลั่กขึ้นมาทันทีก่อนจะพูดทวนคำพูดของกระเป๋ารถเมล์วัยกลางคน “รถสุดสาย?” “แล้วห้างพวกเราหายไปไหนอะ”ครัวซองต์ถามขึ้น ไม่รอคำตอบเอวารีบวิ่งไปถามกระเป๋ารถเมล์ทันที แล้วทั้งสองก็รีบวิ่งตามมา “พี่คะ รถคันนี้ไม่ผ่านห้าง xx เหรอคะ” “ผ่านแต่ต้องขึ้นอีกฝั่ง” กระเป๋ารถเมล์ตอบด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตรกว่าตอนพวกเธอจ่ายเงินในคราแรก “ฮะ?” ทั้งสามอุทานตกใจขึ้นมาพร้อมกัน “ขึ้นผิดฝั่งกันสินะ” กระเป๋ารถเมล์พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนลง ทั้งสามพยักหน้าเบา ๆ ก่อนที่นมสดกับครัวซองต์จะมองไปที่เพื่อนอย่างคาดโทษ “ก็ ฉะ... ฉันไม่รู้นี่นา ก็เห็นเบอร์ตรงกับที่นมสดบอกนี่” เอวาพูดขึ้นอย่างรู้สึกผิด เมื่อเห็นสายตาสองคู่มองมาที่เธออย่างคาดโทษ รถหรูที่ขับตามรถเมล์เข้ามายังอู่ เคลื่อนมาจอดด้านหลังรถเมล์คันดังกล่าวช้า ๆ ก่อนที่หนุ่มอายุมากแต่ใบหน้าไม่ได้มากอย่างอายุ จะเดินลงรถไปหาทั้งสามคน “มาทำอะไรกันที่นี่ หื้ม” “สะ... เสียงนี้” เอวาพูดเสียงตะกุกตะกักกับเพื่อน ๆ โดยที่ไม่ต้องหันไปยังด้านหลังก็พอจะรู้ว่าเป็นใคร “ทำไมไม่อยู่ที่โรงเรียนเด็ก ๆ” เสียงทุ้มยังคงถามต่อเมื่อไม่ได้รับคำตอบ “เอาไงยายวา” เพื่อนที่ร่างเป็นชายใจเป็นหญิงกระซิบถามเพื่อนตัวดีเพื่อหาทางออก ชายอาวุโสถามแล้วไม่ได้คำตอบ จึงเดินเข้าไปยังกลุ่มเด็กสาวแล้วหยุดอยู่ตรงหน้าของทั้งสามแต่ทั้งสามก็พร้อมใจกันหันหนีไปอีกฝั่งพร้อมกันโดยไม่ต้องบอกกล่าวกันล่วงหน้าราวกับอ่านใจกันออก “ถ้าไม่หันมา ป๋าจะกักบริเวณแล้วโทรบอกป๊า ๆ พวกหนูนะ” ทั้งสามหันพรึบกลับมาพร้อมกันทันทีเมื่อได้ยินคำขู่ แล้วยิ้มแหย ๆ ให้ชายอาวุโสตรงหน้า ด้วยมุมปากที่กระตุกเกร็งสั่นเล็กน้อย “คุณป๋าคะ เอวาขอโทษค่ะ” เธอเข้าไปเกาะแขนผู้เป็นพ่อพร้อมกับเอาแก้มถู ๆ แขนบิดาอย่างออดอ้อน เธอคิดว่าแก้ตัวไปก็ไม่รอด ลองมาเจออู่รถเมล์ขนาดนี้คงไม่ได้บังเอิญแน่ ๆ สู้ยืดอกยอมรับผิดไปเลยดีกว่า ทั้งสองที่เห็นว่าทางน่าจะตันแล้วเมื่อเห็นกิริยาก็รีบยกมือขึ้นไหว้แล้วพูดขอโทษบิดาเพื่อนทันทีที่ไม่ช่วยกันห้าม แต่กลับพากันออกนอกลู่นอกทางมาด้วยกัน ชายอาวุโสเมื่อเห็นสายตาของเด็กทั้งสามก็ดุไม่ลงทันที “ทีหลังไม่เอาแบบนี้แล้วนะ มันอันตรายนะแล้วนี่มายังอู่รถเมล์ แล้วจะไปไหนกันทำไมไม่ลงป้ายที่จะไป” “เอ่อ คะ... คือว่า พวกเราขึ้นรถผิดกันน่ะค่ะคุณพ่อ” นมสดพูดขึ้นพร้อมจิกตาไปที่เอวา เมื่อเอวาเห็นก็รีบหลุบตามองต่ำอย่างสำนึกผิด “แล้วจะไปไหนกัน” “ห้างใกล้ ๆ โรงเรียนค่ะคุณป๋า” เอวาพูดขึ้น แล้วแหงนมองหน้าคนเป็นพ่อ “แล้วทำไมไม่รอไปวันเสาร์-อาทิตย์กันหื้ม?” น้ำเสียงอบอุ่นถามทั้งสามอย่างมีเหตุผล “คะ... คือวาผิดเองค่ะคุณป๋าวาแค่อยากลองหาประสบการณ์ใหม่ ๆ ดูค่ะ” “ป๋าไม่ว่าเลยหนู ถ้าหนูอยากหาประสบการณ์ แต่พวกหนูต้องระมัดระวังกันมากกว่านี้ แล้วอีกอย่างต้องอย่าให้เสียการเรียนสิ” “พวกหนูขอโทษค่ะ” ทั้งสามยกมือขึ้นไหว้แล้วพูดพร้อมกัน “ปะ ปะ ขึ้นรถ ครั้งนี้ป๋าจะปล่อยไปแต่ห้ามมีอีกเด็ดขาด ป๋าเป็นห่วงเข้าใจนะเด็ก ๆ” “ค่ะ” ทั้งสามพูดขึ้นพร้อมกันอีกครั้ง “วาจะไม่ทำอีกค่ะ วาสัญญาค่ะคุณป๋า” เธอพูดจบก็กระโดดหอมแก้มบิดาไปหนึ่งทีก่อนจะเดินไปขึ้นรถที่มีคนขับรถสตาร์ตติดเครื่องรออยู่ด้านหลังรถเมล์ที่ทั้งสามนั่งมา แล้วรถตู้อัลพาร์ดวีไอพีสีดำก็ขับเคลื่อนออกไปจากอู่รถเมล์ของสายหนึ่งศูนย์แปด รถตู้อัลพาร์ดเลี้ยวเข้ามายังบ้านหลังใหญ่ที่ร่มรื่นคล้ายคฤหาสน์บรรยากาศรอบบ้านเงียบสงบราวกับอยู่ชานเมือง เพราะทั้งบ้านมีเพียงสองพ่อลูกที่อยู่อาศัยและคนรับใช้อีกสามคน คนขับรถหนึ่งคน ทั้งบ้านสามารถบรรจุคนได้เกือบยี่สิบชีวิต แต่ชายผู้อาวุโสก็เลือกที่จะอยู่กับลูกลำพังแบบนี้ เมื่อรถหรูผ่านประตูใหญ่เข้ามาจอดยังประตูด้านในของหน้าบ้าน ทั้งสองพ่อลูกก็เดินโอบไหล่กันเข้าไปด้านในของตัวบ้าน “วันนี้สนุกไหม หื้ม?” “ตื่นเต้นดีค่ะคุณป๋า” เสียงแจ๋วตอบอย่างตื่นเต้นโดยลืมว่าตัวเองทำผิดไว้ “ครั้งหน้าไม่เอาแล้วนะ อู่รถเมล์มันอันตรายมากนะเอวา สำหรับเด็กผู้หญิง ถ้าเกิดอะไรขึ้นใครจะไปช่วยได้” “วาขอโทษค่ะคุณป๋า วาจะคิดให้เยอะ ๆ กว่านี้ค่ะ” เธอเกาะแขนบิดาแล้วเอาใบหน้าถูเพื่อออดอ้อนให้บิดาลืมเรื่องของวันนี้ไป “ไม่ต้องมาอ้อนป๋าเลย ป๋าไม่เคยดุได้เกินสามนาทีจริง ๆ ไอ้แสบคนนี้” คนเป็นพ่อพูดพร้อมกับลูบหัวลูกสาวเบา ๆ อย่างอบอุ่น เขาไม่เคยดุไม่เคยตีไม่เคยพูดไม่ดีหรือทำร้ายจิตใจลูกสาวของเขาเลยสักครั้ง ไม่ว่าจะทางร่างกายหรือจิตใจเขาไม่เคยคิดจะทำร้ายเด็กตรงหน้าคนนี้เลย เพราะเขามีกันอยู่แค่สองคนพ่อลูกคนเป็นแม่พอคลอดโซ่ทองคล้องใจไว้ให้ก็สิ้นลมหายใจจากไป ของขวัญชิ้นเดียวจากภรรยาผู้เป็นที่รักของเขา เขาสัญญากับเธอว่าจะดูแลเป็นอย่างดีด้วยชีวิตของเขาทั้งชีวิต และเขาก็คิดมาตลอดว่าลูกเขาเป็นเด็กที่น่ารัก ไม่ดื้อ ไม่ซน แต่พอได้เห็นวันนี้แล้วก็เริ่มชักจะไม่แน่ใจเท่าไร “ตั้งโต๊ะเลยไหมคะ คุณท่าน” “อืม ตั้งเลยก็ได้ แม่นิ่ม” พอได้ฟังคำตอบแม่บ้านผู้อาวุโสก็หันหลังกลับเข้าไปในห้องครัวทันที บนโต๊ะอาหาร “พรุ่งนี้ไปไหนหรือเปล่าลูก” “ไม่ค่ะ” เอวาส่ายหน้าเบา ๆ ตอบคนเป็นพ่อ “มีอะไรรึเปล่าคะคุณป๋า” เธอถามกลับด้วยสีหน้าสงสัย “ป๋าว่าจะชวนไปตีกอล์ฟกับป๋าหน่อย” “วาไม่ตีได้มั้ยคะ ขอไปนั่งดูป๋าตีอย่างเดียวได้ไหมคะ” เธอวางช้อนกินข้าวลงแล้วทำสายตาออดอ้อนคล้ายลูกแมวตัวเล็กตัวหนึ่งส่งไปให้ผู้เป็นบิดา “เบื่อแล้วรึไง ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ไปตีกับป๋าเลยนะ” “เปล่าค่ะ วาแค่อยากพักเฉย ๆ” “ขี้เกียจมากกว่าล่ะสิ” คนเป็นลูกยิ้มเจื่อน ๆ ขึ้นมาทันทีเมื่อคนเป็นพ่อรู้ทันยังความคิดของเธอ “งั้นตามนี้นะคะ กี่โมงคะคุณป๋า” เธอถามทั้งที่ยังเคี้ยวข้าวตุ้ย ๆ “เก้าโมงครึ่งลูก” คนเป็นบิดาบอกพร้อมกับเหลือบตาขึ้นไปมองยังเด็กสาวตรงหน้าที่เคี้ยวข้าวตุ้ย ๆ ก่อนที่เขาจะยิ้มพร้อมกับส่ายหัวเบา ๆ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD