หลังจากวันนั้น นางก็ไม่ได้เจอเขาอีก อ๋องงี่เง่า เห็นข้าเป็นแค่ที่ระบายอารมณ์หรือยังไง พอไม่มีอะไรกลับหลบหน้านาง เห้อ เอาไงดี นางไม่ยอมอยู่เฉย ๆ แน่ เพราะเงินในจวนก็ลดลงทุกวัน ต้องหาลู่ทางทำการค้าเพื่อหาเงินเข้าจวน
“พระชายาเพคะ ทรงทำหน้าเช่นนี้อีกแล้วนะเพคะ”
เสี่ยวอิงสังเกตเห็นพระชายาที่ทำหน้ามุ่ย พร้อมขมวดคิ้วอยู่หลายหน และเป็นเช่นนี้มาหลายวันแล้ว
“ท่านอ๋องอยู่หรือไม่”
เยว่ซิ่นอ้ายถาม นางอยากจะรู้หนักว่าเหตุใดเขาจึงเอาแต่หลบหน้านางอยู่เรื่อย ทำราวกับนางพรากพรหมจรรย์เขาอย่างนั้น
“ท่านอ๋องยังไม่ออกมาจากห้องทรงงานเลยเพคะ”
เสี่ยวซีตอบ แม้ในจวนจะมีความเป็นอยู่ดีขึ้น มีบ่าวไพร่คอยรับใช้มากมาย แต่นางรู้สึกว่าพระชายากลับดูเศร้าหมองลง
“เสี่ยวซี ข้าขอถามอะไรเจ้าหน่อยเถิด เหตุใดท่านอ๋องถึงโดนตัดเบี้ยหวัดเล่า”
เยว่ซิ่นอ้ายถาม แม้ว่านางจะให้พี่ชายสืบเรื่องราวของจวิ้นอ๋องท่านนี้มาบ้างแล้วแต่นางก็ยังเชื่อเพียงครึ่งเดียว ข่าวลือกับความจริงของคนอื่นไหนเล่าจะเทียบเท่ากับการได้ถามจากคนใกล้ชิด ที่อาจอยู่ในเหตุการณ์จริง ๆ
“พระชายาเหตุการณ์ตอนนั้นเสี่ยวซีเพิ่งอายุได้แค่สี่ขวบเองนะเพคะ”
เสี่ยวอิงท้วง
เยว่ซิ่นอ้ายกุมขมับ เห้อ นางหลงลืมไปแล้วหรือยังไงนะ งั้นขอคิดเรื่องทำการค้าก่อนแล้วกัน
“พระชายา เรื่องกิจการเดิมของท่านอ๋องที่ยังคงมีอยู่คือ หอนางโลมนามว่า เฟิ่งฮวา และร้านขายเครื่องประดับหลันไป๋พ่ะย่ะค่ะ”
พ่อบ้านอู่ถูกเรียกมาสอบถามเรื่องกิจการเดิมที่เหลืออยู่เอ่ยตอบพระชายาที่ก้มตรวจบัญชีที่ได้รับจากสองกิจการนี้ทุกเดือน พบว่า หอนางโลมนั้นเป็นชื่อของจวิ้นอ๋องก็จริง แต่รายได้กลับไม่มากนัก เพราะเขามอบรายได้ให้กับนางโลมที่เข้ามาอยู่โดยไม่หักแม้แต่บาทเดียว เออ เอาเข้าไปสิ ส่วนร้านเครื่องประดับนั้น แทบจะไม่มีรายได้เลยแม้แต่น้อย
“ท่านพ่อบ้าน ข้าจะขอเข้าไปดูแลกิจการร้านเครื่องประดับได้หรือไม่ คิดว่าท่านอ๋องคงไม่ว่าอะไรหรอกใช่ไหม?”
เยว่ซิ่นอ้ายยิ้มให้ ใจจริงอยากดูแลหอนางโลมมากกว่า แต่นางไม่ถนัดแนวนี้เลย
“ตามแต่พระชายาประสงค์เถิดพ่ะย่ะค่ะ”
พ่อบ้านอู่ยิ้มให้ จวิ้นอ๋องสั่งการเขาไว้แล้วว่าหากพระชายาอยากทำอะไรก็ปล่อยนางเขาจึงไม่คิดขัด
“แล้วที่คนเขาลือกันเรื่องจวิ้นอ๋องก่อกบฏเพียงเพราะนางในดวงใจเลยทำให้เขาเป็นเช่นนี้ เป็นเรื่องจริงหรือไม่”
เยว่ซิ่นอ้ายถามพร้อมจ้องพ่อบ้านอู่เพื่อจับตาดูว่าเขาจะยอมบอกหรือไม่
“นั่นก็มีส่วนความจริงพ่ะย่ะค่ะ หากแต่ว่าถ้าพระชายาอยากจะรู้อะไรมากกว่านี้ คงต้องเอ่ยถามท่านอ๋องจะดีกว่านะพ่ะย่ะค่ะ”
พ่อบ้านอู่ตอบ ก่อนโค้งคำนับแล้วเดินจากไป
“ข้าก็อยากจะถามอยู่หรอก แต่ดูหน้านายของท่านสิ หึ ทำหน้าราวกับว่าข้าไปแย่งข้าวเขา”
เย่วซิ่นอ้ายบ่นพึมพำเบาๆ
วันต่อมานางออกจากจวนเพื่อไปดูร้านขายเครื่องประดับ ที่พอเห็นสภาพแล้วนางถึงกับกุมขมับ มิน่าเล่าไม่มีรายได้เลยสักอีแปะเดียว สภาพร้านที่ทรุดโทรมพร้อมเครื่องประดับที่เก่าเกินจะมีคนกล้าซื้อ นางเลยสั่งซ่อมแซมทุกอย่างรวมถึงหาคนงานมาเพิ่มด้วย
“โอ๊ะ นั่นใช่พระชายาจวิ้นอ๋องที่เขาพูดกันรึเปล่า”
เสียงซุบซิบของสตรีวัยกลางคนที่ขายซาลาเปาอยู่ตรงข้ามร้านเอ่ยเบา ๆ กับสตรีวัยเดียวกันที่ขายน้ำชาอยู่ข้างๆ
“น่าสงสารนางจัง ดูสิงามขนาดนี้แต่ได้สามีไร้ความสามารถ”
“อ๋องผู้นั้นจะทำอันใดนอกจากไปเที่ยวนางโลมและเมาสุราอยู่ทุกวัน”
“น่าสงสารนางเสียจริง มีสามีเป็นอ๋อง แต่หน้าตานั้นล้วนอัปลักษณ์”
“นางก็มิได้งามเสียหน่อย งามสู้ฟางกุ้ยเฟยก็ยังมิถึงครึ่งหนึ่งด้วยซ้ำ”
เสียงซุบซิบนั้นดังขึ้น แม้เย่วซิ่นอ้ายจะพยายามทำความเข้าใจว่าคนพวกนี้ คงนินทาเพื่อความสนุก แต่มันเกินไปแล้ว มาว่านางไม่สวยงั้นเหรอ
“ใครนะที่ไม่งาม”
เสียงของเยว่ซิ่นอ้ายดังแทรกขึ้น ก่อนยิ้มเย็นให้กลับคนที่จับกลุ่มนินทานางอยู่
“เหตุใดจึงเงียบเล่าท่านป้า ไม่ตอบข้าเล่า”
นางยิ้มให้อีกครั้งพร้อมมองสตรีวัยกลางคนผู้นั้นที่ใบหน้ายังถือดีอยู่
“ท่านก็มิได้งามนี่เจ้าคะ”
สตรีวัยกลางคนนางนั้นตอบพร้อมรอยยิ้มเยาะ เช่นเดียวกับผู้อื่นที่ร่วมวงนินทานี้
“ข้าอาจมิงาม แต่ข้ารู้สึกว่าที่ดินตรงนี้เป็นที่ของจวิ้นอ๋องที่ได้รับพระราชทานให้เก็บค่าเช่าได้ อ่า กล่าวว่าเขตนี้เป็นของจวิ้นอ๋อง แปลกที่ข้ากลับพบว่าไม่มีผู้ใดยอมจ่ายค่าเช่าเลยแม้แต่น้อยสงสัยเดิมค่าเช่าที่คงถูกไปสินะ ข้าเปิดให้ผู้อื่นมาเช่าและขึ้นราคาดีหรือไม่พวกท่านจะได้ไม่ว่างมานินทาผู้อื่น”
นางรู้ว่าตรงนี้คือทำเลทองแม้พ่อค้าใหญ่พยายามขอซื้อแต่จวิ้นอ๋องไม่ยอมขายเพราะอยากให้เหล่าชาวบ้านมีรายได้จึงไม่คิดเพิ่มค่าเช่า แล้วดูคนพวกนี้สิ น่าตายนัก
“เอ่อ พระชายาอย่าได้ถือสาพวกเราเลย”
“ท่านควรใจกว้างบ้างสิ”
“ข้าจะถือว่าครั้งนี้ไม่ได้ยินอะไร แต่หากพวกท่านยังคงนินทาคนอื่นโดยเอาสนุกปาก ไม่มีมูลความจริงแม่แต่น้อยล่ะก็ เตรียมหาที่ทำกินที่อื่นได้เลย”
เยว่ซิ่นอ้ายบอกก่อนเดินกลับไป ทิ้งให้ชาวบ้านมองหน้ากันอย่างลนลาน พระชายาจวิ้นอ๋องช่างร้ายเสียจริง นางสามารถสั่งให้แม่ค้าที่ชอบนินทาผู้อื่นกลุ่มนั้นสงบปากสงบคำจนคนแถวนั้นรู้สึกสบายใจมากขึ้น เพราะเบื่อเต็มทีเช่นกัน
มุมหนึ่งของโรงเตี๊ยม
ชายที่สวมชุดสีม่วง หน้าตาดูหล่อเหลาคมคาย มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพลางอมยิ้ม
“น้องสะใภ้ข้า ช่างน่าสนใจเสียจริง”
เขายิ้มร้าย จ้าวเหวินจาง หรือเหวินอ๋องพูดก่อนจ้องมองเยว่ซิ่นอ้ายด้วยสายตาอยากครอบครอง
“ท่านอ๋อง ได้เวลานัดพบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
คนของเขามารายงาน จึงเร้นกายไปทันที
“ท่านอ๋อง ทรงเป็นอย่างไรบ้าง”
เจิ้งเหอ องครักษ์ส่วนตัวเอ่ยถามอาการของจวิ้นอ๋องหลังจากไปพบกับคนผู้นั้นอีกครั้ง แล้วพบว่าอาการของเขานั้นดูย่ำแย่เต็มที
“นะ นางอยู่ที่ไหน”
จ้าวเหวินสยุงพูด เขาต้องการเจอนางเดี๋ยวนี้
“พระชายาอยู่ข้างนอกพ่ะย่ะค่ะ พ่อบ้านอู่บอกว่าพระชายาไปดูร้านหลันไป๋พ่ะย่ะค่ะ”
เจิ้งเหอตอบ ก่อนมองดูเจ้านายตนที่ตอนนี้แสดงอาการทรมานและกดดันเขา ซวยแน่แท้ข้าเจิ้งเหอนะเจิ้งเหอ
“ข้าจะไปหานาง!”
จ้าวเวินสยุงบอก ก่อนรีบใช้กำลังภายในกระโดนออกไปทันที ด้วยพิษที่อยู่ในตัวนั้นกำเริบแล้ว
ทางด้านพระชายาจวิ้นอ๋องที่นั่งอยู่บนเกี้ยวกำลังเดินทางกลับจวน กำลังคิดคำนวณรายจ่ายของร้านหลันไป๋อีกพร้อมส่ายหน้า แล้วถอนหายใจ
“ใจคอเจ้าอ๋องบ้านั่นจะไม่ให้ข้ามีเงินเก็บเลยรึยังไง คอยดูเถอะถ้าร้านนี้ได้กำไรแล้วข้าจะเก็บเข้าคลังของข้าคนเดียว”
เยว่ซิ่นอ้ายบ่นก่อนรู้สึกว่าตาขวากระตุกสลับกับตาซ้ายแปลกๆ
“ทำไมข้ารู้สึกว่าจะมีเรื่องอีกนะ”
ทันทีที่พูดจบเกี้ยวก็หยุดชะงัก นางรู้สึกว่าข้างนอกนั้นเงียบผิดปกติ จึงค่อย ๆ เลิกผ้าม่านดูก็พบว่าจวิ้นอ๋องยืนมองนางราวกับว่าจะกินเลือดกินเนื้อ
“เอ่อ ท่านอ๋อง”
เยว่ซิ่นอ้ายรู้สึกว่าทุกคนต่างก้มหน้าไม่กล้ายื่นมือเข้ามาแทรก เมื่อเขาดึงตัวนางเข้ามาใกล้ ๆ แล้วก้มลงสูดดมกลิ่นกายที่ซอกคอนาง
“ข้าจะพาเจ้าไปชมน้ำตก”
จ้าวเหวินสยุงกระซิบก่อนอุ้มนางแล้วกระโดดไป ทิ้งให้เจิ้งเหอมองท่านอ๋องอย่างประหลาดใจ อย่าบอกนะว่าท่านอ๋องจะพาพระชายาไปชมน้ำตกจริง ๆ เขาจึงรีบไปจัดการพื้นที่ที่น้ำตกเพื่อป้องกันไม่ให้ใครย่างกรายเข้ามาใกล้
น้ำตกกลางป่าที่น้อยนักจะมีคนเข้ามา เนื่องจากเสียงเล่าลือกันว่ามีปีศาจร้ายอยู่ที่นี่ แต่กลับมีบรรยากาศที่แสนจะสงบสุขทั้งน้ำที่ใสแจ๋ว ไหลเอื่อย ๆ ลงมาทำให้มีต้นไม้ใหญ่น้อยเกิดเรียงรายกันอยู่
“สวยจัง”
เยว่ซิ่นอ้ายพูด ภายหลังที่เขาวางตัวนางลงข้าง ๆ ลำธารที่น้ำจากน้ำตกไหลลงมา
“อื้อ ยะ หยุดก่อน…”
เมื่อวางนางลงเขากลับซุกไซร้ที่คอนางมากขึ้นพลางจุมพิตที่ข้างแก้ม และใบหู ก่อนโอบเอวบางดึงรั้นให้เข้ามาแนบชิดมากยิ่งขึ้น แต่นางกลับพยายามขัดขืน และผลักเขาออก ทำให้เขาไม่พอใจนัก
“เหตุใดเจ้าจึงดื้อนัก!”
จ้าวเหวินสยุงบอกก่อนดึงร่างเล็กเข้ามาอีก
“ท่านเห็นข้าเป็นอะไรกัน… ท่านเห็นข้าเป็นที่ระบายความใคร่อย่างเดียวของท่านหรือ”
เยว่ซิ่นอ้ายพูดก่อนที่น้ำใส ๆ เริ่มไหลออกมา พร้อมจ้องมองเขาที่มองนางอย่างไม่พอใจเช่นกัน
“หากข้าตอบว่าใช่เล่า เจ้าจะทำอย่างไร”
จ้าวเหวินสยุงตอบพร้อมมองหน้านาง ที่ตอนนี้กำลังร้องไห้เพียงเพราะนางไม่อยากให้เขาร่วมรัก แต่ทว่าความรู้สึกบางอย่างสะกิดในใจให้ดึงนางเข้ามากอด
“งั้นท่านก็จงทำเถอะ..”
เยว่ซิ่นอ้ายร้องไห้ นางมีสิทธิ์ที่จะขัดขืนเขาด้วยเหรอ พลางสะอึกสะอื้นจากความรู้สึกข้างในใจจากคำพูดของเขา ท่านช่างใจร้ายนักจวิ้นอ๋อง
เขาชะงักรู้สึกว่าพิษภายในกายนั้นหยุดไปเฉย ๆ ความต้องการที่ไม่สามารถระงับได้กลับหยุดและหายไป เมื่อเขากอดนางไว้ใกล้ ๆ
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้านั้นช่างโง่งม เพียงเพราะหญิงที่ตนรักนั้นต้องการ ข้าจึงได้ทำร้ายผู้อื่นเพื่อนาง แต่สุดท้ายข้าต่างหากที่โดนทำร้าย..”
เย่วซิ่นอ้ายเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความรู้สึกแปลกใจที่อยู่ ๆ เขาก็หยุดลวนลามนาง น้ำตาที่ไหลอาบแก้มกลับแห้งหายเพียงเพราะคนตัวโตใช้นิ้วเช็ดน้ำตาให้
“ครั้งนั้นข้าเป็นเพียงองค์ชายปลายแถว หลงรักคู่หมั้นของพี่ชายที่เป็นเหวินอ๋อง ข้าช่างโง่งมที่เชื่อใจนาง นางใช้ข้าเป็นเพียงบันไดไต่เต้าขึ้นไปเป็นพระสนมของฮ่องเต้ แล้วถีบหัวส่งข้า ข้าโดนกล่าวหาว่าเป็นกบฏ ถูกพี่ชายตัดขาด โดนลงโทษด้วยพิษคืนรัญจวนที่อาจจะกำเริบได้ในทุกเมื่อ นั่นทำให้ข้าจำเป็นต้องหาสตรีมาร่วมรักในวันที่พิษกำเริบ และโดนกรีดหน้าให้อัปลักษณ์.. จนกระทั่งข้าได้พบเจ้า เจ้ามีสัญลักษณ์ของเครื่องหมายพระจันทร์ ที่มีพลังหยินเหมาะสำหรับร่วมรัก..”
จ้าวเหวินสยุงพูดพลางจ้องมองใบหน้างามที่จ้องมองเขาด้วยสายตาที่เศร้าสร้อย ก่อนจะพบว่ามือบางเอื้อมมาแตะที่หน้ากากพลางขยับตัวเข้ามาใกล้เขามากยิ่งขึ้น ก่อนมองด้วยสายตาที่หวานซึ้ง
“ข้าสัญญา ว่าจะทำให้ท่านหายดี”
เยว่ซิ่นอ้ายบอกก่อนจูบเขาเบา ๆ สัมผัสนุ่มของริมฝีปากบางประกบปากเขาอย่างเงอะงะ เขาจึงดึงตัวนางเข้ามาใกล้ก่อนนั่งลงข้าง ๆ ริมลำธาร แล้วดึงตัวนางให้ขึ้นมานั่งบนตักเขา แล้วมอบจูบที่แสนเร่าร้อนให้อย่างหวานซึ้ง
“เจ้าจะยอมให้ข้าร่วมรักกับเจ้าตรงนี้ได้หรือไม่..”
เขาพูดก่อนขบเม้มเบาๆ ที่ซอกคอทำให้นางรู้สึกสั่นสะท้านจากความรู้สึกดีนี้
“นะ นี่ท่าน ข้าว่าเราควรกลับจวนก่อน”
เย่วซิ่นอ้ายรู้สึกถึงใบหน้าที่แดงซ่าน ตรงนี้เลยเหรอ โอ๊ยย
“ข้ารอไม่ไหวแล้วอ้ายเอ๋อร์ หากเจ้าไม่ให้ ข้าจะไปหานางโลมมาบรรเทาจากพิษนี้”
เขากล่าว ก่อนรู้สึกถึงใบหน้าที่บึ้งตึงของร่างเล็ก
“ท่านกล้าเหรอ หากท่านไปหานางโลมมาอุ่นเตียง ข้าจะไม่ยอมให้ท่านแตะต้องข้าอีก!”
เย่วซิ่นอ้ายว่านางไม่พอใจมากที่เขาจะไปหาหญิงอื่น
“งั้นก็..”
เขาโน้มกายลงมาจูบนางก่อนส่งลิ้นเข้าไปเก็บความหอมหวาน แล้วจัดการดึงเสื้อของนางออกไปเหลือไว้เพียงเอี๊ยมตัวบาง จูบนั้นทวีความรุนแรงขึ้น มือสากสอดเข้าไปใต้เอี๊ยมลูบอกนุ่มที่มียอดแข็งตามอารมณ์ เสียงครางดังขึ้นมายิ่งปลุกเร้าอารมณ์ของเขาให้ทวีความต้องการมากขึ้นก่อนจะยกเอวนางขึ้นมาให้คร่อมตัวเขาแล้วให้นางทิ้งสะโพกลงมาสัมผัสกับความแข็งกร้าวที่ถูไถกับดอกไม้งามราวผีเสื้อที่หยอกล้อกับบุปผา
“แยกขาด้วยอ้ายเอ๋อร์”
เย่วซิ่นอ้ายทำตามด้วยความเขินอ้าย แม้ว่านางจะเคยดูหนังเอวีมาหลายเรื่องแต่พอเจอของจริง กลับรู้สึกเขินอาย
เขากดเอวนางลงมายังแท่งหยกที่จ่ออยู่ปากทางโพรงสวาทที่กระตุกเล็กน้อย
“อ๊ะ อ๊า”
เสียงครางแผ่วเบาราวกับจะขาดใจ สะโพกแกร่งขยับโยกขึ้นเป็นจังหวะทรวงอกงามกระเพื่อมตามจังหวะที่กายแกร่งมอบให้ ร่างเล็กขยับไปมาตามแรงโยกส่งผมให้เส้นผมนุ่มสวยตกลงมายังกลางหลัง ปิ่นที่ปักไว้จึงตกลงไปยังพื้นโดยที่เจ้าตัวมิได้สนใจนัก
“อ๊า อื้อ อ๊ะ ท่านอ๋อง”
เสียงครางของนางยิ่งทำให้เขาเร่งจังหวะยิ่งขึ้น
“ท่านพี่ เรียกข้าว่าท่านพี่!”
จ้าวเหวินสยุงสั่งพลางมองร่างเล็กที่ขยับโยกไปมา ปากเล็ก ๆ ส่งเสียงครางอย่างยั่วยวน
“อื้อ ทะ ท่านพี่เจ้าคะ ข้า อ๊ะ”
เขายิ้มพึงพอใจกับคำเรียกของนางจึงเร่งเร้าจังหวะให้ถี่ขึ้น
“อ่ะ อ๊ะ อ๊า”
เสียงครางที่ดังขึ้น ส่งให้สายธารร้อนแห่งชีวิตเข้าไปในร่างนาง ก่อนที่นางจะซุกลงบนอกแกร่งด้วยเหนื่อยล้าจากการนั่งอยู่บนตัวเขามานาน เขากลับพลิกตัวนางลงยกสะโพกนางขึ้นก่อนแยกขาเรียวออกแล้วขยับอีกครั้ง
“อื้อ ท่านพี่”
เสียงหวานครางอีกครั้งเมื่อเขาก้มลงดูดดึงยอดอกอย่างชอบใจ กายข้างล่างขยับเข้าออกอย่างรู้จังหวะ สายธารแห่งรักไหลเยิ้มไปทั่วต้นขาเรียวด้วยการกระแทกที่รุนแรง ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เขาร่วมรักกับนางราวกับว่านางคือปีศาจจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ที่ล่อหลอกเขาด้วยกลิ่นรัญจวนและร่างกายที่เย้ายวน กว่าเขาจะยอมหยุดก็ทำเอานางปวดระบมไปทั่วตัว โดยเฉพาะส่วนเอว
“เหนื่อยมากหรือไม่”
เสียงทุ้มถามพลางพรมจูบซอกคอนางภายหลังการร่วมรักรอบสุดท้ายนางทำแก้มป่องแล้วไม่ยอมพูดกับเขาเลย เขาตระกองกอดนางด้วยความอ่อนโยน แม้ตอนนี้อยู่ในช่วงโพล้เพล้แล้วก็ตาม แต่เขากลับชอบใจที่ร่างเล็กยอมตามใจเขาถึงขนาดนี้
“ท่านพี่ ขะ ข้าเจ็บ”
เย่วซิ่นอ้ายบอก ไหนบอกรอบเดียวอย่างไร นี่ตั้งสี่รอบ เอวนางนั้นระบบไปหมด ไหนจะผมที่ยุ่งเหยิงอีก นางพยายามผลักเขาออก แล้วจัดเสื้อผ้าและผมให้เข้าที่
“ทำไมเจ้าช่างดื้อนัก”
เขามิได้ถือสาที่นางพยายามผลักเขาออกช่างน่ารักเสียจริง
“ปิ่นข้า ท่านเห็นหรือไม่”
นางมองหาปิ่นที่หล่นหายไป ก่อนจะพบว่าเขายื่นปิ่นหยกสีขาวรูปผีเสื้อให้กับนาง
“เอ๊ะ นี่ไม่ใช่ของข้า”
เยว่ซิ่นอ้ายบอก แต่เขากลับดึงนางให้มาใกล้แล้วบรรจงปักปิ่นให้กับนาง
“นี่เป็นของเสด็จแม่ แต่ตอนนี้ข้าให้เจ้า”
จ้าวเหวินสยุงบอกพลางปักปิ่นลงบนมวยผมที่นางเกล้าไว้แล้วด้วยสายตาที่อ่อนโยน
“ขอบพระทัย”
เย่วซิ่นอ้ายทำหน้าไม่ถูกเพราะโดนเขามองด้วยสายตาอ่อนโยนเช่นนั้น
“อ้ายเอ๋อร์…”
เขาเอ่ยเสียงหวานก่อนก้มลงมามอบจูบให้นางอีกรอบ จูบนี้ช่างหวานล้ำ และเอาแต่ใจจนทำให้ร่างเล็กอ่อนระทวยอยู่ในอ้อมกอดของเขา
“พะ พอแล้ว ท่านพี่”
นางบอกก่อนก้มหน้างุด ด้วยสายตาร้อนแรงที่เขาส่งมาให้ นางกลัวว่านางจะใจอ่อนยอมเขาอีกครั้ง
“เจ้าอยากเล่นน้ำหรือไม่อ้ายเอ๋อร์”
จ้าวเหวินสยุงเอ่ยถามก่อนก้มมองคนตัวเล็กด้วยความรู้สึกดี
“หม่อมฉันว่า เราควรกลับจวน”
เยว่ซิ่นอ้ายตอบก่อนลุกขึ้นแล้วทำท่าจะเดินหนี นี่พิษของเขายังไม่หยุดกำเริบหรืออย่างไร
“ตามใจเจ้าก็แล้วกัน..”
เขาบอกก่อนยิ้ม อ่า นี่เขายิ้มอย่างงั้นหรือไม่ได้ยิ้มแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วนะแล้วเดินตามไป จนไปเจอรถม้าจอดอยู่พร้อมกับเจิ้งเหอที่นั่งรออยู่
“ทูลท่านอ๋อง และพระชายารถม้าพร้อมแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จ้าวเหวินสยุงพยักหน้ารับรู้ จึงประคองร่างเล็กขึ้นไปบนรถม้าแล้วสั่งให้เจิ้งเหอพากลับไปยังจวน
จวนจวิ้นอ๋อง
บ่าวในจวนต่างพากันแปลกใจที่ท่านอ๋องและพระชายากลับมาพร้อมกัน แม้เสี่ยวอิงและเสี่ยวซีจะกลับมาก่อนแล้วก็ตาม ด้วยกิริยาที่ท่านอ๋องประคองพระชายาลงจากรถม้า อีกทั้งสายตาที่ทั้งคู่นั้นจ้องมองกัน ช่างหวานชื่นเสียนี่กระไร!
หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน ข่าวลือว่าจวิ้นอ๋องกับพระชายารักกันหวานชื่นก็แพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวง สร้างความดีใจให้กับคนที่สนับสนุนจวิ้นอ๋องอยู่ไม่น้อย อย่างน้อยจวิ้นอ๋องก็เจอคนที่ดีกับเขาแล้ว และช่างเป็นคู่ที่เหมาะสมกันเสียจริง
“พระชายาเพคะ ทรงวาดชุดบุรุษพวกนี้ทำไมเหรอเพคะ”
เสี่ยวซีถามด้วยความอยากรู้ เพราะเห็นพระชายาออกแบบเครื่องประดับที่จะวางขายแล้วยังมุ่งมั่นวาดรูปเสื้อผ้าบุรุษหลายแบบอยู่นานสองนาน
“ข้าอยากจะตัดชุดเพิ่มให้ท่านอ๋อง”
เย่วซิ่นอ้ายตอบยิ้ม ๆ ชุดของเขาล้วนมีแต่สีดำกับสีขาว คุมโทนเกินไปแล้ว หากได้ใส่สีอื่นบ้างคงหล่อขึ้น ไม่สิเขาหล่ออยู่แล้ว สีหน้าที่บ่งบอกถึงความหลงใหล พร้อมด้วยสายตาที่หวานเยิ้มจนทำให้เสี่ยวซี และเสี่ยวอิงอมยิ้มก่อนมองตากันด้วยความเข้าใจ พระชายากำลังตกหลุมรักท่านอ๋อง หรืออาจกล่าวได้ว่า รักท่านอ๋องไปแล้วเป็นแน่ ก่อนจะเหลือบไปเห็นจวิ้นอ๋องที่กำลังเดินเข้ามายังศาลาริมน้ำแห่งนี้ จึงยอบกายทำความเคารพ จ้าวเหวินสยุงพยักหน้าเชิงให้ทั้งคู่ออกไป แล้วเดินเข้ามามองกิริยาอาการของชายาตนที่ทำหน้าราวกับมีความสุขมาก ๆ เช่นนี้ก็นึกขำอยู่ในใจ
“คิดถึงข้าหรือไม่..”
เขากระซิบเพราะต้องไปตามหาหมอที่อาจรักษาอาการของเขาได้ แต่ก็คว้าน้ำเหลวทุกคราจึงไม่ได้เจอนางมาหลายวันแล้ว
“แน่นอน ข้าย่อมคิด.. เอ๊ะ ท่านพี่”
เย่วซิ่นอ้ายตอบไปด้วยเพราะคิดว่าตนนั้นอาจคิดถึงเขาจนหูฝาด
“ใยทำหน้าเช่นนั้น คิดถึงข้าก็บอกมาสิ”
จ้าวเหวินสยุงว่า ก่อนจ้องหน้าร่างเล็กที่ก้มหน้าแล้วมีแก้มแดงระเรื่อ ทำให้เขารู้สึกอยากจะกอดนางเสียตรงนี้
“ท่านพี่ ท่านหายไปตั้งหลายวัน ข้านึกว่าท่านจะทิ้งข้าเสียแล้ว”
เย่วซิ่นอ้ายพูดอย่างน้อยใจ เชอะ ไปไหนไม่เคยบอกหรอก
“ข้าไปตามหาหมอเทวดา ที่อาจจะช่วยข้าได้ แต่ก็คว้าน้ำเหลว…อ้ายเอ๋อร์ข้าขอโทษที่ไม่ได้บอกเจ้าไว้ เอาเป็นว่าหากข้าจะไปไหนข้าจะบอกเจ้า”
จ้าวเหวินสยุงเอ่ย ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาเห็นนางงอนเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้วนางช่างน่ารักเหลือเกิน
“ข้าแค่เป็นห่วง.. ท่านพี่ ให้ข้าช่วยตามหาหมอมาช่วยท่านได้หรือไม่..”
เย่วซิ่นอ้ายขอ บางทีถ้านางขอให้พี่ชายช่วยอาจจะเจอหมอที่สามารถมารักษาเขาได้
“เอาสิ ข้าตามใจเจ้า”
เขาบอกก่อนลูบหัวนางเบาๆ ด้วยความรู้สึกขอบคุณ ก่อนจะมองดูกระดาษที่นางออกแบบเครื่องประดับหลายอย่างแล้วยิ้มเบา ๆ
“ทูลท่านอ๋อง และพระชายา มีเทียบเชิญจากพระสนมฟางกุ้ยเฟยพ่ะย่ะค่ะ”
พ่อบ้านอู่นำเทียบเชิญที่เพิ่งได้รับมาถวาย พร้อมสังเกตสีหน้าพระชายาที่ดูประหลาดใจเช่นเดียวกันกับเขา
“ออกไปได้แล้ว”
จ้าวเหวินสยุงบอกก่อนก้มมองเทียบเชิญอย่างไม่พอใจ แต่มือนั้นสั่นเทา พร้อมกับความรู้สึกที่เจ็บแปลบในใจ นางกล้าดีอย่างไรส่งเทียบเชิญมาให้เขา
“ท่านพี่…”
เย่วซิ่นอ้ายยื่นมือมากุมมือเขาเบา ๆ แต่เขากลับสะบัดออก และไม่กล้าสบตานาง
“ข้าจะไป อยากให้เจ้าเตรียมตัวด้วย”
เขาพูดก่อนเดินออกไปทันที ทิ้งให้นางมองเขาด้วยความรู้สึกเศร้าใจ เขาคงยังไม่ลืมนางใช่หรือไม่ ฟางกุ้ยเฟย