แสงแดดอ่อน ๆ ของรุ่งเช้าส่องสอดลอดผ้าม่านเนื้อดีลงมาในห้องโถงกว้างขวาง ภายในคฤหาสน์หลังใหญ่
พลอยพรรณค่อย ๆ ก้าวลงจากบันไดเงาวับอย่างเชื่องช้า เธอสวมชุดนอนผ้าลื่นเนื้อบางสีหวาน ราวกับว่าตั้งใจรอต้อนรับการกลับมาของสามีด้วยความหวังเล็ก ๆ ในใจ
เสียงประตูเปิดดัง เอี๊ยด แว่วมา พร้อมเสียงรองเท้าหนังหนัก ๆ เหยียบลงบนพื้นหินอ่อนเย็นเฉียบ
"กลับมาแล้วเหรอคะ..." เธอกล่าวทักทายเสียงแผ่วเบา
ในตอนแรกพลอยพรรณอยากพูดอะไรสักอย่างกับสามี
แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเขาจริง ๆ คำพูดที่เหลือกลับถูกกลืนลงคออย่างเงียบเชียบ ก่อนที่เธอจะเม้มริมฝีปากแน่น
วิชัยผู้ซึ่ง 'ยัง' เป็นสามีของเธอ
เขายังคงอยู่ในชุดสูทราคาแพงที่สวมใส่ไปเมื่อคืน ทว่ามันทั้งยับยู่ยี่ แถมยังมีกลิ่นน้ำหอมผู้หญิงแปลกปลอมลอยติดมากับตัวเขา จนพลอยพรรณแทบอยากเบือนหน้าหนี
ได้แต่ปล่อยให้เขาเดินผ่านหน้าเธอไป โดยที่ไม่แม้แต่จะชายตามองเธอเลยด้วยซ้ำ...
พลอยพรรณยืนแข็งค้างอยู่ตรงนั้น มือบางขยำชายเสื้อแน่นราวกับเด็กหลงทางที่กำลังรอคอยใครสักคนหันมามอง
ในจังหวะที่เธอสูดหายใจเข้า และกำลังจะเรียกเขาไว้
สามีของเธอก็พลันหยุดชะงักฝีเท้า
เสียงของเขาเย็นชาและไร้เยื่อใย เหมือนกับสายลมหนาวที่พัดผ่านหัวใจของเธอจนเย็นเยียบ และเจ็บแปลบ
"สั่งไอ้เชษให้ถอนกุหลาบออกจากสวนหน้าบ้านด้วย"
เขาพูดโดยไม่หันกลับมามองเธอด้วยซ้ำ
"ฉันจะให้ปลูกทานตะวันแทน"
เพียงประโยคเดียวจากปากเขา หัวใจของพลอยพรรณก็ร่วงหล่นลงสู่พื้นอย่างไม่มีชิ้นดี
กุหลาบ คือดอกไม้ที่เธอชอบ และเป็นคนสั่งให้เชษปลูก นับตั้งแต่เริ่มมีฐานะได้ยังไม่ถึงปี แถมนายเชษก็เพิ่งมอบให้เธอด้วยมือที่หยาบกร้าน แต่เปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยนเมื่อคืนนี้
มันเป็นดอกไม้ที่ทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองยังมีความสำคัญ
แต่มาวันนี้... สามีกลับสั่งให้ขุดรากถอนโคนมันออกจากสวนประจำบ้าน แค่เพราะอยากลองปลูกดอกไม้พันธุ์ใหม่
พลอยพรรณรู้ได้ทันทีโดยไม่ต้องมีใครอธิบาย
ดอกทานตะวัน คือดอกไม้สุดโปรดของเมียน้อยของวิชัย เพราะเธอเคยได้ยินชื่อมันจากบทสนทนาที่แว่วผ่านมาโทรศัพท์มาหลายต่อหลายครั้ง
ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันว่าในคฤหาสน์หลังนี้ แม้แต่กลิ่นอายของสวน ก็ยังเป็นของผู้หญิงอีกคน...
ช่างน่าขยะแขยงจริง ๆ ที่คนแบบวิชัยและเมียน้อยคนนั้น คิดจะปลูกดอกไม้ที่เป็นตัวแทนแห่งความซื่อสัตย์
ทั้งที่ในตัวพวกเขาไม่มีมันเลยแม้แต่น้อย...
"เราแบ่งพื้นที่ปลูกไม่ได้เหรอคะ..."
เธอตัดสินใจเอ่ยถามออกไปอย่างไม่มีอะไรจะเสีย
ฝีเท้าของวิชัยที่ก้าวขึ้นไปเกือบถึงกลางบันไดหยุดชะงัก ก่อนเขาจะปรายตามองเธอราวกับไม่ใช่ภรรยา แล้วเอ่ยเบา ๆ
"มันไม่สวย"
คำตอบนั้น ทำให้พลอยพรรณถึงกับนิ่งงันโดยฉับพลัน เธอรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นเพียงแค่เงาในบ้าน
บ้านหลังใหญ่...ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของเธอและสามี
เมื่อสบตากับแววตาเย็นชาของวิชัย ริมฝีปากสีหวานพลันสั่นเทา คล้ายจะเผยออ้า แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ใบหน้าสวยได้แต่ก้มหน้าลง พยายามหลบสายตาจากเขา หลบทุกความรู้สึกที่หลั่งไหล่เข้ามาสุมอยู่ในอก
ในใจของเธอ มีเพียงเสียงหนึ่งสะท้อนก้อง
ฉัน...ไม่มีที่ยืนแล้วใช่ไหม
หลังจากสามีขยับตัวก้าวขึ้นบันไดต่อไป โดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามองเธอสักนิด พลอยพรรณพลันทรุดลงทั้งอย่างนั้น มือทั้งสองยกขึ้นปิดหน้า ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอยู่นาน
ทำไม...
ทั้งที่เธอมอบทุกอย่างให้เขา ทำไมเขายังทำแบบนี้...
คำถามนั้นวนเวียนอยู่ในใจพลอยพรรณซ้ำ ๆ ตลอดเวลาที่เธอนั่งร้องไห้อยู่ที่บันไดขั้นสุดท้ายคนเดียว
มันนาน... จนพลอยพรรณรู้สึกว่า ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่าง คนรับใช้ทั้งหมดในบ้านอาจจะได้มาเห็นเธอในสภาพนี้
เธอปาดน้ำตาหยดสุดท้ายออก แล้วสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อระงับอารมณ์อย่างเจ็บปวด ก่อนจะหยัดกายบางลุกขึ้นยืน แล้วก้าวเท้าออกจากตัวคฤหาสน์ ตรงไปยังบ้านพักคนงานซึ่งอยู่ด้านหลัง ที่ซึ่งนายเชษและคนรับใช้คนอื่น ๆ อาศัยอยู่
เสียงรองเท้าส้นเตี้ยกระทบลงบนแผ่นหินที่โรยกรวดขาวขนาบข้าง ดังเป็นจังหวะเดียวกับหัวใจที่สั่นระรัวอยู่ในอก
ไม่นาน เธอก็เดินมาถึงบ้านพักคนงานซึ่งเป็นเพียงอาคารเล็ก ๆ คล้ายห้องแถวแคบ ๆ ซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังคฤหาสน์
แสงแดดเช้าสาดส่องผ่านหน้าต่างบานไม้เก่า ๆ ที่เปิดค้างอยู่ตลอดคืน เพราะไม่มีแอร์ อีกทั้งกลิ่นสบู่หอมอ่อน ๆ ลอยอวลในอากาศผสมกับกลิ่นดินจากสวนที่ติดอยู่บนเสื้อผ้าที่ใส่แล้ว
พลอยพรรณใช้มือดันบานประตู ให้มันแง้มออกเล็กน้อย แล้วจึงก้าวเท้าเข้าไปข้างในอย่างเชื่องช้า
แต่แล้ว...ภาพตรงหน้าก็พลันทำให้เธอชะงักงัน
เธอมองเห็นเชษที่กำลังยืนอยู่กลางห้องเล็ก ๆ ที่แทบไม่มีเฟอร์นิเจอร์อะไรนอกจากเตียงไม้เก่า ๆ และตู้เสื้อผ้าเหล็กผุ ๆ
เขาเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ผิวกายเปียกชื้นเป็นเงาวับ ใบหน้าคมเข้มมีหยดน้ำพร่างพราวเกาะตามสันคิ้วหนาและสันกรามแกร่ง
กายล่ำสันสวมเพียงผ้าขาวม้าผืนเดียว พันต่ำ ๆ รอบเอว หย่อนหลวมจนเผยรอยสันของสะโพกสอบ กล้ามเนื้อหน้าท้องเป็นลอนแน่นตามธรรมชาติจากการทำงานกลางแดด ไหล่และแขนแข็งแรง หนั่นแน่น ซึ่งยามนี้เปลือยเปล่าให้เธอเห็นเต็มตา
และที่สะดุดตายิ่งกว่าทุกสิ่ง...
คือ ความนูนเด่นเป็นลำ ใต้ผืนผ้าขาวม้าที่ห่อหุ้มช่วงกลางกายเอาไว้ ซึ่งดูเหมือนว่ามันจะใหญ่โตเกินกว่าจะมองข้าม
พลอยพรรณเผลอกลืนน้ำลายอย่างลืมตัว หัวใจของเธอเต้นถี่รัว ขณะที่จับจ้องภาพตรงหน้าโดยไม่อาจละสายตาได้
"คุณพลอย..."
นายเชษเงยหน้ามองเธอ ดวงตากร้านโลกฉายแววตกใจเล็กน้อยที่จู่ ๆ คุณนายของบ้านก็โผล่มาไม่ให้สุ้มให้เสียง
มือหยาบกร้านรีบกระชับผ้าขาวม้าแน่นขึ้นโดยอัตโนมัติ แต่ก็ไม่ทันซ่อนความดิบเถื่อนที่ปรากฎให้เห็นอย่างเด่นชัดได้
"มีอะไร...ให้ผมรับใช้หรือครับ"
เสียงทุ้มแหบเอ่ยถามมาอย่างสุภาพ แต่กลับทำให้ผิวกายและภายในอกของพลอยพรรณผ่าวร้อนอย่างน่าประหลาด
ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่น พยายามสะกดกลั้นอารมณ์ปั่นป่วนอยู่ในอกของตัวเอง เพราะในใจลึก ๆ พลอยพรรณก็รู้ดี ว่าเธอไม่ได้มาหาเขาเพราะแค่มีเรื่องจะสั่งงานเท่านั้น
แต่เธอมา...เพราะต้องการสัมผัสความรู้สึกบางอย่าง
ความรู้สึกที่เกิดขึ้น ในระหว่างที่เขายืนอยู่ตรงหน้าเธอด้วยรอยยิ้มและแววตาที่เต็มด้วยความอ่อนโยน ความเคารพ และความปรารถนาอันร้อนแรง ราวกับจะแผดเผาเธอให้ไหม้
"ฉัน..." เสียงเธอแผ่วเบา คล้ายว่าจะขาดห้วง
ดวงตาของคนทั้งสองสบกันในความเงียบงัน บรรยากาศรอบตัวเหมือนหยุดนิ่งไปชั่วขณะ
ลมหายใจของพลอยพรรณเริ่มสั่นไหวเล็กน้อย มือเรียวกำชายเสื้อแน่นอีกครั้ง ขณะที่สายตามองไล่ไปตามไหล่กว้าง กล้ามเนื้อล่ำสัน ผิวกายหยาบกร้าน ไรขนอ่อน ๆ
และอะไรบางอย่างที่ปูดนูนเป็นลำใหญ่ยาวอยู่ภายใต้ผ้าขาวม้าผืนบางอย่างห้ามตัวเองไม่ได้...
.
.
.