EP00 ll Prologue

1411 Words
‘คนกลาง’ เป็นสถานะที่แสนจะอึดอัด และผมมักจะถูกยัดเยียดสถานะนี้อยู่บ่อยๆ หลายครั้งที่ผมอยากจะดีลีทตัวเองให้หายไปจากตรงนี้แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้ ผม เป็นเพื่อนกับไอ้ปืนและไอ้ยิม แต่ไอ้สองคนนั้นน่ะน่าจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน พอมันเจอหน้ากันทีไร มันก็ได้ไฝว้กันทุกที คงเป็นเพราะมันสองคนเป็นบุคคลประเภทที่จริตอยู่ด้วยกันไม่ได้ คนนึงก็หัวร้อน อีกคนก็กวนส้นตีน กวนได้ทุกเรื่อง บาทสองบาทมันก็เอา พวกมันทั้งคู่เหมือนกำลังเล่นสงครามประสาทอะไรกันอยู่ตลอดเวลา โดยที่มีผมเสล่อมาคั่นกลางแล้วก็ทำตัวไม่ถูก ผมเออออไปกับมันเพราะผมไม่รู้ว่าการที่อยู่กับเพื่อนคนใดคนหนึ่งหรือกับทั้งคู่พร้อมๆ กันอันไหนมันจะฉิบหายกับผมมากกว่า พออยู่ด้วยกัน มันก็ตีกัน พอแยกจากกันแล้วผมต้องอยู่กับใครคนใดคนหนึ่ง มันก็จะงอนผมอีก แม่งเอ๊ย กูต้องทำยังไงกับชีวิตวะเนี่ย! “ไอ้ปืน มึงไม่ชวนไอ้ยิมมาด้วย เดี๋ยวแม่งก็โกรธหรอก” ผมว่าในตอนที่ไอ้ปืนชวนผมออกมาซื้อของเป็นเพื่อนแต่มันกำชับหนักแน่นว่าไม่ต้องชวนไอ้ยิมมาด้วย และนั่นทำให้ผมรู้สึกอึดอัดเล็กๆ เพราะถ้าไอ้ยิมรู้ มันต้องมาโวยวายใส่ผมแหง “ก็กูขี้เกียจทะเลาะกับมันนี่หว่า” ไอ้ปืนยืนยันคำเดิม ผมพูดไม่ทันขาดคำ เสียงโทรศัพท์ผมก็ดังขึ้นจากกระเป๋าด้านซ้าย หน้าจอปรากฏชื่อของคนตายยาก ประหนึ่งมันรู้ว่าผมกำลังนินทาแม่งอยู่ Rrr Rrr… ยิม is calling… นั่นไง ความฉิบหายมาเยือนกูแน่ๆ ผมถอนหายใจยาวๆ เพราะรู้ว่าซีนดราม่ากำลังจะบังเกิด ผมรับโทรศัพท์และได้ยินเสียงเรียบจากปลายสายก็เบาใจไปเปราะหนึ่ง แต่ก็เบาใจได้แป๊ปเดียว [ยีนส์ มึงอยู่ไหนวะ] “อยู่ห้างว่ะ มึงมีอะไรเหรอ?” [เหรอ กูว่าจะชวนดูหนังเนี่ย วันนี้กูว่าง] “เออ มึง ตอนนี้กูอยู่กับไอ้ปืน มาซื้อของเป็นเพื่อนมันว่ะ ค่ำๆ ค่อยไปดูได้ปะวะ?” [เหรอ... ไม่เห็นชวนกูไปด้วย] เสียงของไอ้ยิมเปลี่ยนทำให้ผมอึกอัก จะบอกว่าไอ้เหี้ยปืนไม่อยากเจอก็ไม่ได้ เดี๋ยวกลุ่มแตกอีก แต่ถ้าไม่พูดอะไรสักอย่างมันก็จะคิดมากไปล้านแปด ผมคิดอยู่แป๊ปนึงก่อนจะสร้างข้ออ้างขึ้นมาใหม่ “ตอนแรกพวกกูก็ไม่ได้กะจะมาไง แค่แวะมาเดินห้างแล้วไอ้ปืนมันอยากได้รองเท้า เลยเดินต่อ” มันน่าจะเป็นเหตุผลที่พอฟังได้นะ หวังว่ามันจะไม่โกรธมาก [ช่างเถอะ มึงก็อยู่ช่วยไอ้ปืนเลือกของไปแล้วกัน... มึงสนิทกับมันนิ] ไอ้ยิมพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดปนประชดประชัน [กูดูหนังคนเดียวของกูได้] อ้าว สัส พูดอย่างงี้กูต้องทำยังไง ถ้าเทไอ้ปืน ไอ้ปืนก็โกรธ แต่ถ้าไม่ไปหาไอ้ยิม ไอ้ยิมก็โกรธ จะลากพวกมันไปด้วยกัน พวกมันก็เสือกไม่อยากจะเห็นขี้หน้ากัน แล้วกูต้องทำยังไง อยู่จุดไหนถึงจะพอดีวะ!! “ยิม มึงอย่าเคืองกูดิวะ” ผมกำลังพยายามจะง้อมัน และจากนั้นไอ้ยิมก็ไม่สน มันกดตัดสายและทิ้งให้ผมยืนงงซะเฉยๆ เออ ดี ดีมาก เพื่อนกูแต่ละคน! “ใครโทรมาวะ ไอ้ยิมเหรอ?” “เออ” “มันโทรมาไมวะ?” “มันเคืองที่เรามาด้วยกันแล้วไม่ชวนมัน” “ช่างมันดิ แค่นี้ทำเป็นเคืองไปได้ ทีมึงไปกับมันกูไม่เห็นเคือง” ไอ้ปืนว่าแล้วทำหน้าเซ็งจัด ผมยิ้มแหยๆ และคิดในใจว่า เหรออออออออออออออออออ มันอะนะไม่เคือง แทบจะเอามีดมาปาดคอผมเลยมั้ง ช่างกล้าพูด! เอาเถอะ ผมจะไม่ขัดศรัทธามันละกัน ผมจะเงียบปากไว้เพราะผมอยู่เป็น “แล้วยังไง มึงจะไปหามันมั้ยล่ะ?” ไอ้ปืนถามและนั่นทำให้ผมตาลุกวาว “ได้เหรอ?” “ได้ก็เหี้ยละ กูชวนมึงมาก่อน มึงก็ต้องอยู่กับกูดิวะ อย่าให้กูต้องบ่นนะ” ไอ้ปืนทำตาถลึง เงื้อแขนขึ้นมาจะเขกกะโหลกผม ผมหัวเราะไม่สนใจ เอาเถอะ เรื่องไอ้ยิม ผมค่อยไปง้อมันแล้วกัน เห็นมันโกรธง่าย มันก็ง้อง่าย ใจง่ายตลอดอะแหละ และ ณ จุดนี้ ผมก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี นอกจากเดินช่วยไอ้ปืนเลือกรองเท้าเนี่ย “ยีนส์ มึงว่ารองเท้าสีน้ำเงินกับสีแดง อันไหนเหมาะกับกูมากกว่ากันวะ?” ไอ้ปืนดึงเสื้อผมเพื่อเรียกร้องให้ผมหันไปสนใจมัน ในขณะที่ครึ่งนึงในสมองของผมพะว้าพะวงไปถึงไอ้ยิม ผมเดาว่ามันต้องหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่มากแน่ๆ “สีน้ำเงินมั้ง สวยดี” ผมตอบก่อนที่ไอ้ปืนจะหันมาเบ้ปาก “เหรอวะ แต่กูว่าสีแดงก็ฮอตออก ถ้ากูใส่อ่ะมันต้องเข้ากับเท้ากูมากแน่ๆ” “แต่กูชอบสีน้ำเงินมากกว่านะ มันดูแมนๆ ดีออก” “แล้วสีแดงมันไม่แมนตรงไหนวะ?” ไอ้ปืนมันหันมาเร้าหรือให้ผมคิดเห็นตรงกับมัน และนั่นทำให้ผมกลอกตาเซ็ง ก็ถ้ามันมีคำตอบในใจไว้อยู่แล้ว มันจะถามผมหาพระแสงหอกง้าวอะไรวะ! “เออ งั้นมึงก็ซื้อสีแดงดิ ถ้ามึงชอบ” “ก็มึงบอกว่าสีน้ำเงินมันสวยกว่า” “ก็มึงชอบสีแดงไม่ใช่เหรอ มึงก็ซื้อที่มึงชอบดิวะ” “งั้นไม่เอาละ กูจะไปดูร้านอื่น” ไอ้ปืนตัดบทแล้วก็เดินไปด้วยบุคลิกลุกลี้ลุกลนของมัน และนั่นทำให้ผมจิ๊จ๊ะกับความกวนประสาท ผมไม่แปลกใจเลยถ้าคนหัวร้อนอย่างไอ้ยิมจะทนมันไม่ได้ ก็เพราะไอ้ความน่าถีบของไอ้ปืนเนี่ยแหละ! “อะไรของมึงวะปืน” “น่านะ ไปดูร้านอื่นก่อน ค่อยว่ากัน” มันกะพริบตาปริบๆ แล้วยิ้มกว้างเพื่อล่อลวงให้ผมเออออไปด้วย ผมถอนหายใจแล้วจากนั้นทั้งวันไอ้ปืนก็ลากผมเดินรอบห้างจนเมื่อยขา ผมจะไม่โกรธอะไรมันเลยถ้ามันไม่พาผมเดินมาราธอนและใช้แรงงานขนาดนั้นแล้วสุดท้ายมันก็กลับบ้านตัวเปล่า! “ถ้ามึงจะไม่ซื้ออะไร มึงก็ไม่ต้องพากูเดินขนาดนี้ก็ได้นะปืน” “เอาน่า ออกกำลังกายไง มึงจะได้ไม่อ้วน” ไอ้ปืนหัวเราะตอนที่เห็นผมเบ้หน้าแล้วยืดมือมาจับเอวผมเหมือนจะสื่อว่าผมเริ่มจะอ้วนแล้วนะ “เนี่ย เห็นมั้ยช่วงนี้มึงกลมเป็นหมีเลยเนี่ย” “เพราะใครล่ะ” ผมถอนหายใจหนักๆ การที่ผมน้ำหนักขึ้นก็เพราะพวกมันนั่นแหละชวนผมไปกิน แล้วไปกินแค่กับใครคนนึงก็ไม่ได้ ต้องไปกินกับพวกแม่งทีละคน คนละมื้อ ไม่งั้นมันจะเกิดอาการน้อยอกน้อยใจ ทำให้ผมตกอยู่ในสภาวะแดกข้าวซ้ำซ้อน แดกแล้วแดกอีก นี่ดีไม่ดีสิ้นปีนี้น้ำหนักผมคงเหยียบร้อยกิโลได้เลย “ก็พวกกูรักมึงไงยีนส์” จ๊ะ กูก็รักพวกมึง แต่กรุณาเถอะ พวกมึงกรุณารักกันเองด้วย! “เออๆ เสร็จธุระแล้วใช่มั้ย งั้นเดี๋ยวกูกลับละ” ผมมองนาฬิกาบอกเวลาเย็นย่ำ ถึงเวลาที่เด็กดีๆ อย่างผมจะกลับหอนอนเสียที “จ้า กลับดีๆ นะ แล้วอย่าลืมไปง้อพี่ยิมสุดหล่อของมึงด้วยล่ะ ล่าสุดกูเห็นตั้งสเตตัสอะไรบนเฟส” ไอ้ปืนยิ้มขำ แต่ผมไม่ขำด้วย ผมกลืนน้ำลายนิดๆ รู้สึกว่าซีนดราม่ากำลังจะเล่นงานผมเข้าแล้ว “สเตตัสอะไรวะ?”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD