บทนำ

947 Words
บทนำ      ครืน…ซ่า…     เสียงฟ้าคำรามลั่นผสานเสียงสายฝนที่เทกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย​ ในห้องนอนที่ไฟส่องสว่าง​ พิมพ์ลดาเดินไปเดินมารอบ​ ๆ​ ห้อง​ ในอ้อมกอดของหล่อนคือทารกน้อยวัยหกเดือนเศษที่กำลังร้องไห้ไม่หยุด เสียงสะอื้นของลูกทำให้หล่อนใจจะขาดตาม​ น้ำตาเอ่อคลอขังเมื่อรู้สึกสงสารลูกจับใจ    อาการของลูกไม่ค่อยดีนัก​ มีอาเจียนและถ่ายเหลว​ ลูกคงร้องเพราะปวดท้องหนัก​ หล่อนกังวลและอยากไปโรงพยาบาลตอนนี้​ หากแต่ว่าพ่อของลูกไม่รับสายของหล่อนที่โทร.ไปนับสิบสาย​ หล่อนรู้ว่าเขายุ่งมาก​ เพราะเขาบอกเอาไว้ว่าติดประชุมและต้องไปทานข้าวกับลูกค้า…วันนี้เขากลับดึก​ นั่นคือประโยคสุดท้ายก่อนวางสายเมื่อตอนเย็น    ใจหวังว่าเมื่อเขารู้ว่าลูกไม่สบาย​ เขาจะรีบขับรถกลับมารับหล่อนและลูกไปโรงพยาบาล​ แต่ก็ได้แค่รอเพราะเขาไม่ติดต่อกลับ​ หล่อนนึกโกรธตัวเองที่ขับรถไม่เป็น​ และเมื่อพ่อของลูกไม่ว่าง​ ก็คงต้องโทร.หาใครสักคนให้ขับรถพาหล่อนและลูกไปโรงพยาบาล    หล่อนตัดสินใจโทร.ไปหานพดล​ คนขับรถของแม่สามี​ โชคดีที่ฝ่ายนั้นยังไม่นอนและรับปากเป็นมั่นเหมาะ​ พิมพ์ลดาจึงเลิกสนใจติณณภพ​ รีบเตรียมข้าวของเพื่อพาลูกไปโรงพยาบาล  ++++++    หลังงานเลี้ยงจบลง​ ติณณภพกรอกเครื่องดื่มลงคอตบท้าย​ เขานั่งมองไปยังพิชญ์สินีที่กำลังทำท่าจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่อยู่ฝั่งตรงกันข้าม​ หล่อนสบตากับเขาอย่างบังเอิญ​ ยิ้มหวานโปรยมาให้พร้อมกับยกมือไหว้เขาซึ่งมีสถานะเป็นเจ้านายสายตรง    “ปุ้ยกลับก่อนนะคะบอส​ ดึกมากแล้วค่ะ”     ทำทีเป็นดูนาฬิกาข้อมือ​ หล่อนคว้ากระเป๋าสะพายแล้วทำท่าจะเดินเลี่ยงออกไปก่อน​ จังหวะนั้นติณณภพหยิบมือถือขึ้นมา​ เขาเห็นสายจากภรรยาที่ไม่ได้รับขึ้นโชว์หรา… แต่ช่างเถอะ​ หล่อนคงโทร.ตามให้เขากลับบ้าน​ คิดพลางลุกตามเลขาไป    “ปุ้ย…เธอกลับยังไงเหรอ”     หล่อนเหลียวซ้ายแลขวา​ ก่อนบุ้ยหน้าไปทางถนน    “ไม่มีคนรับส่ง​ ก็คงต้องกลับแท็กซี่ค่ะ”     “ผู้หญิงตัวคนเดียว​ นั่งแท็กซี่ดึก​ ๆ​ แบบนี้เธอไม่กลัวเหรอ”     “กลัวค่ะ​ ซอยบ้านปุ้ยก็เปลี่ยว แต่จะทำไงได้​ล่ะคะ​ ปุ้ยไม่มีทางเลือก”     คนฟังทำท่าครุ่นคิด​ ก่อนจะเดินเข้าไปหาเจ้าหล่อน    “เดี๋ยวฉันไปส่ง​ มาสิ​ ไปกับฉัน”      “เอ่อ…จะดีเหรอคะ”      หล่อนทำท่าลังเล​ ยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน​ ก่อนที่ติณณภพจะคว้าข้อมือเล็กแล้วออกแรงลากให้หล่อนเดินตาม     “เอ่อ…คุณติณห์คะ​ ปุ้ยเกรงใจ​คุณ​ เดี๋ยวจะพาคุณกลับดึกแล้วคนที่บ้านจะว่าเอาได้นะคะ”      ติณณภพไม่พูดอะไร​ เขาเปิดประตูรถแล้วผายมือให้หล่อนเข้าไปนั่ง​ พิชญ์สินีทำท่าลังเลอยู่สักพัก​ ก่อนจะยอมเข้าไปนั่งแต่โดยดี     รถคันหรูแล่นฝ่าความมืดไปบนท้องถนนที่คดเคี้ยว​ ระหว่างทางที่นั่งรถคู่ไปกับบอสรูปหล่อ​ หัวใจของพิชญ์สินีก็เต้นแรงแปลก​ ๆ​ หล่อนดื่มด่ำไปกับเสียงเพลงสากลที่เปิดคลอเบา​ ๆ​ แอร์เย็นฉ่ำและบรรยากาศชวนฝันทำให้หล่อนไม่อยากให้ถึงบ้านเสียแล้ว​ อยากอยู่ในช่วงเวลาแบบนี้ไปตราบนานแสนนาน     ในขณะที่พิชญ์สินีกำลังดื่มด่ำกับความสุข​ หล่อนไม่รู้หรอกว่า​ ในอีกมุมหนึ่งของเมืองวุ่นวาย​ ใครบางคนกำลังร่ำไห้ปริ่มจะขาดใจ    +++++ ณ โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง…    "อุแว้ ๆ"    เสียงร้องไห้จ้าดังมาจากเตียงคนไข้ในห้อง ๆ หนึ่ง พิมพ์ลดายืนมองลูกน้อยที่กำลังชูแขนขาร่าดิ้นไปมา ขอบตาคู่สวยร้อนผ่าวน้ำตาไหลรินเมื่อมองพยาบาลที่พยายามจะเจาะเข็มน้ำเกลือลงบนหลังมือน้อย ๆ เท่าฝาหอย หล่อนเห็นพยาบาลแทงเข้าออกอยู่หลายครั้งแต่ไม่สำเร็จเพราะหาเส้นเลือดไม่เจอ ประกอบกับเป็นเข็มแบบอ่อนจึงทำให้แทงเข้าผิวเนื้อได้ยาก ใจคอคนเป็นแม่แทบแตกสลายเพราะลูกน้อยตะเบ็งเสียงร้องไม่หยุด ร้องจนเหนื่อยหอบเสียงแหบแห้งแสนบีบหัวใจคนเป็นแม่ หากทำได้หล่อนอยากเดินเข้าไปบอกว่าให้พอเสียที คนมองใจจะขาดรอน ๆ เพราะความสงสารที่ลูกต้องมาเจ็บตัวเพราะการเลี้ยงดูของหล่อนเอง  หล่อนโทษตัวเองที่เลี้ยงลูกไม่ดีจนป่วยหนัก หากเป็นไปได้หล่อนจะขอให้ความเจ็บนั้นมาลงที่ตนทั้งหมด จากการวินิจฉัยของแพทย์ลูกของหล่อนเป็นโรคลำไส้อักเสบต้องนอนโรงพยาบาล นอกจากนพดลที่รู้ ตอนนี้หล่อนยังไม่ได้โทร.บอกใครในบ้านแม้สักคนเดียว    ไม่มีเวลาแม้จะโทร.หาติณณภพ เพราะมัววิ่งวุ่นเกี่ยวกับการจัดการเรื่องนอนโรงพยาบาล เสร็จเรื่องก็พบว่าลูกน้อยได้รับการให้น้ำเกลือเรียบร้อยแล้ว และกำลังอยู่ในระหว่างรอให้เจ้าหน้าที่พาไปตึกผู้ป่วยเด็กเพื่อรอเคลียร์เรื่องห้องพิเศษ ทุกสิ่งอย่างหล่อนต้องวิ่งวุ่นอยู่คนเดียวไร้เงาสามีเคียงข้าง แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรที่ทำให้หล่อนสนใจเท่าความเป็นความตายของลูก โทรศัพท์ที่ใช้ติดต่อหาสามีจึงถูกซุกอยู่ก้นกระเป๋าสะพายโดยที่หล่อนไม่คิดจะหยิบมันขึ้นมาดู  
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD