ลานหน้าจวนตระกูลไป๋ในยามค่ำคืนถูกปกคลุมด้วยม่านหมอกสีเลือด กลิ่นคาวคละคลุ้งทั่วอากาศจนผู้มีชีวิตเหลือน้อยนิดในจวนแทบสำลัก เสียงกรีดร้องโหยหวนที่สะท้อนก้องไปทั่วราตรีสลับกับเสียงกระแทกของร่างเนื้อ และเสียงเนื้อฉีกอันน่าสะอิดสะเอียน
ศพของคนรับใช้ถูกกองระเกะระกะตามลานทางเดิน เสื้อผ้าของพวกเขาขาดรุ่งริ่ง เลือดไหลเป็นทางราวกับลำธารสายเล็ก เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ยังไม่สิ้นใจดีนักกำลังเอื้อมมือสั่นเทาพยายามจะคลานหนี แต่ก่อนที่เขาจะพ้นพุ่มไม้ไปไม่กี่ก้าว เงาดำของปีศาจรูปร่างคล้ายมนุษย์แต่ดวงตาสีแดงโลหิตก็ปรากฏขึ้นเหนือร่าง มันเงื้อกรงเล็บลงมาอย่างเฉยชาราวกับกำลังบี้มดตัวเล็ก เสียงกระดูกแตกดังกร๊อบพร้อมกับวิญญาณของเด็กหนุ่มที่ถูกกระชากลงสู่ห้วงนรก
ปีศาจทั้งห้าตัวที่องค์ชายสามส่งมาในครั้งนี้ล้วนสูงใหญ่เกินมนุษย์ธรรมดาแต่ละตนมีเขา ดวงตาของพวกมันแดงฉานและยังมีความกระหาย พวกมันรู้สึกพอใจที่ได้ลิ้มรสเนื้อสดใหม่หลังจากถูกกักขังมานานนับพันปี ทำให้ลานหน้าจวนตระกูลไป๋ยามนี้ดูราวกับสนามล่าสัตว์ของพวกมัน
ท่ามกลางความสยดสยองนั้น หญิงสาวผู้หนึ่งเดินผ่านกองศพอย่างสง่างามราวผู้ชมภาพวาดที่ไร้ซึ่งความรู้สึก นางสวมอาภรณ์สีฟ้าอ่อนสะอาดตาตัดกับความชุ่มโชกของโลหิตโดยรอบอย่างเห็นได้ชัด
ไป๋อันหรานหรือองค์หญิงสิบเอ็ดแห่งเผ่าปีศาจเดินอย่างช้า ๆ ไม่สนใจหยดเลือดที่กระเซ็นมาติดปลายรองเท้า นัยน์ตาคู่สวยของนางเย็นเยียบ สงบนิ่ง แต่ลึกลงไปคือความอํามหิตจากส่วนลึกของจิตใจ
เมื่อนางมาถึงลานด้านในสุด เหล่าภรรยาอนุและใต้เท้าไป๋ต่างคุกเข่าเรียงกัน พวกเขาตัวสั่นเทาจนฟันกระทบกันดังกรอด ๆ บางคนร้องไห้จนตาบวม บางคนอาเจียนเพราะทนกลิ่นคาวเลือดไม่ได้ แต่ไม่มีใครกล้าขยับแม้เพียงปลายนิ้ว เพราะรอบด้านมีปีศาจยืนล้อมอยู่ดั่งเงามัจจุราช
“องค์หญิง”
อันหรานเพียงปรายตามองเล็กน้อย จากนั้นพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้อารมณ์
“ปีศาจที่พี่สามส่งมา… ถือว่าทำได้ดี”
ต้าลู่และพวกปีศาจค้อมศีรษะทันที พร้อมเสียงคำรามต่ำ ๆ แสดงความยินดีที่ได้รับคำชม
อันหรานเดินนำเข้าไปยังกลุ่มคนที่คุกเข่าอยู่ ทันทีที่ดวงตาของนางสบกับสายตาของชายชราผู้เคยเคยบังอาจทำร้ายนาง พบว่าสีหน้าของเขาซีดเผือดจนไร้สีเลือดทั้งยังมีเหงื่อเย็นไหลรินลงจากขมับ ร่างกายเขาสั่นเทาเพราะหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด
“อะ…อันหราน นี่…นี่เจ้าทำอะไรลงไป”
น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นจนแทบจับความหมายไม่ได้
หญิงสาวมองเขาอย่างเย็นชาพลางยกมือลูบท้องนูนของตนเองเบา ๆ คล้ายกำลังปลอบเด็กน้อยในครรภ์ไม่ให้หวาดกลัวกับภาพศพมากมายตรงหน้า
“คนพวกนี้…” นายท่านไป๋สำลักคำพูดอย่างยากลำบาก “คือ…เจ้าที่ส่งมาหรือ?”
อันหรานยิ้มบาง ๆ มุมปากนั้นไม่ได้น่ารักหรืออ่อนหวานเหมือนเคย หากแต่ดูน่ากลัวราวนางกำลังมองมดตัวหนึ่งที่ตนเตรียมจะบดขยี้
“ใช่ ปีศาจพวกนี้เป็นคนของข้า”
เมื่อสิ้นคำ เหล่าอนุต่างพากันร้องลั่น บ้างพยายามกราบลง บ้างชักกระตุกด้วยความกลัวจนแทบเป็นลม นายท่านไป๋เอื้อมมือมาข้างหน้าเหมือนพยายามจับชายผ้าของอันหราน แต่ทำได้เพียงยกแขนสั่น ๆ
“อันหราน ปล่อยพวกเราไปเถอะ… บิดาขอร้องเจ้า”
คำว่าบิดานั้นทำให้บรรยากาศโดยรอบเย็นยะเยือกยิ่งกว่าลมหนาวจากภูผา รอยยิ้มของอันหรานหายไปในทันที เหลือเพียงสีหน้าเรียบไร้ประกายใด ๆ
วูบเดียวนางยื่นมือออกไปบีบลำคอของชายชราก่อนจะยกเขาให้ลอยขึ้นจากพื้นด้วยมือเพียงข้างเดียว ร่างชราถูกยกขึ้นอย่างง่ายดายเหมือนหุ่นฟาง
“บิดาหรือ…” เสียงของนางทุ้มต่ำกว่าปกติ ดวงตาของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานวาบขึ้นในเสี้ยววินาที “สวะเช่นเจ้ามีสิทธิ์ใช้คำนี้ด้วยหรือ?”
นายท่านไป๋สำลักอากาศ มือทั้งสองข้างพยายามจับข้อมือของไป๋อันหรานที่บีบคอตนอยู่ แต่ก็ไม่อาจคลายได้แม้แต่น้อย ใบหน้าเขาแดงก่ำขึ้นเรื่อย ๆ เส้นเลือดปูดทั่วลำคอ
อันหรานมองดูความทรมานของเขาอย่างพึงพอใจ ดวงตาสีแดงสว่างขึ้นทุกครั้งที่ชายชราส่งเสียงแหบพร่าด้วยความเจ็บปวด นางค่อย ๆ ออกแรงบีบทีละนิด… ทีละนิด… จนเสียงกรีดร้องของอนุรอบ ๆ ดังขึ้นระงม
“ระ…หราน…ข้า…ข้า…”
กร๊อบ!
เสียงกระดูกคอหักดังชัดเจนกลางลานเงียบ แม้แต่ปีศาจยังหยุดชั่วครู่มองดูฉากสังหารตรงหน้าราวกับเพลิดเพลิน
ตุบ!
อันหรานปล่อยร่างชายชราลงพื้นอย่างไม่ใยดี ร่างนั้นกระแทกพื้นเสียงดัง ศพของใต้เท้าไป๋มีเลือดซึมออกจากมุมปากดวงตาของเขายังคงเบิกค้างด้วยความหวาดกลัวสุดท้ายในชีวิต
ภาพการสังหารอย่างโหดเหี้ยมเมื่อครู่ทำให้หนึ่งในอนุรีบคลานมาคว้าชายกระโปรงของอันหรานไว้แน่น
“อันหราน! อย่าทำอะไรข้าเลย ข้าขอร้อง ข้าสัญญาว่าจะไม่บอกใครขะ....”
ทว่านางยังไม่ทันพูดจบประโยค ต้าลู่ก็เดินเข้ามาเตะร่างของนางอย่างแรงจนร่างปลิวไปไถลกับพื้น เลือดพุ่งออกจากปากทันที
“อย่าใช้มือสกปรกของเจ้าแตะองค์หญิงของข้า!” ต้าลู่คำรามด้วยเสียงที่ก้องไปทั้งลาน
อันหรานหันไปมองหญิงอนุคนนั้นที่นอนแน่นิ่งตาเหลือกค้าง แล้วถอนหายใจราวกับเรื่องนี้ช่างน่าเบื่อ
“ว่ากันว่าสัญญาของมนุษย์นั้นเชื่อถือไม่ได้… ต้าลู่”
“เพคะ องค์หญิง”
หญิงสาวยกคางขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มเย็นชาแตะที่มุมปากดั่งราชินีปีศาจผู้กำลังประกาศคำพิพากษา
“ฆ่าพวกมันให้หมด”
คำสั่งนั้นเหมือนค้อนหนักทุบลงกลางอกทุกคน เหล่าอนุร้องกรีดเสียงหลง หลายคนทรุดลงกับพื้น บางคนพยายามตะเกียกตะกายหนี แต่ยังไม่ทันได้ไปไหน พวกปีศาจก็พุ่งเข้าใส่ ขย้ำร่างพวกนางอย่างไร้ความปรานี เสียงกรีดร้องดังสลับกับเสียงกระดูกหัก เลือดกระเซ็นไปทั่วผนัง
อันหรานเดินออกมาโดยไม่หันกลับไปมองแม้แต่น้อย เสียงร่ำไห้โหยหวนที่ตามหลังมาไม่ต่างอะไรจากเสียงดนตรีจากสวรรค์สำหรับนางในเวลานี้
ภายในใจของไป๋อันหรานรู้สึกสงบหลังจากได้ทำเรื่องเช่นนั้นลงไป สาเหตุที่นางโหดเหี้ยมเช่นนี้นั่นก็เพราะเมื่อหลายวันก่อนจู่ ๆ ความทรงจำของไป๋อันหรานคนเก่าก็ไหลทะลักเข้ามาในหัวของนาง
นางได้รู้ความจริงว่า แท้จริงไป๋อันหรานเป็นเพียงลูกบุญธรรม นางถูกใต้เท้าไป๋ที่เป็นบิดาบุญธรรมข่มขืนมาตลอดหลายปี บรรดาอนุต่างรู้ดีและยังรู้สึกอิจฉาที่นางเป็นที่โปรดปรานจึงร่วมมือกันวางแผนให้คนรับใช้มาข่มขืนอันหรานเพื่อระบายอารมณ์
โชคดีที่มู่หยางมาช่วยไป๋อันหรานไว้และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้อันหรานรักปักใจเพียงมู่หยาง นางเห็นมู่หยางเป็นเพียงที่พึ่งเดียวของนาง แสงสว่างเดียวที่จะดึงนางไปจากนรกแห่งนี้
“ไป๋อันหราน ความแค้นของเจ้า…ข้าได้ชำระแทนเจ้าแล้ว”
หญิงสาวกระซิบเบา ๆ ราวกับกำลังพูดกับดวงวิญญาณของเจ้าของร่างเดิม
“นี่คือสิ่งที่ข้าให้ตอบแทน…ที่เจ้าสละร่างนี้ให้ข้า”
สายลมแผ่วหนึ่งพัดผ่าน เส้นผมนางปลิวบางเบาเหมือนกำลังตอบรับคำของนาง อันหรานลดสายตาลงเล็กน้อยก่อนจะก้าวออกจากประตูจวนตระกูลไป๋ที่ตอนนี้เต็มไปด้วยเลือดและซากศพของคนที่ทำร้ายเจ้าของร่างเดิมจนแทบไม่เหลือความเป็นมนุษย์
เมื่อพ้นประตูใหญ่ นางหยุดและมองพระจันทร์อีกครั้ง ทันทีที่จันทร์เต็มดวงสะท้อนในดวงตาของนาง ภาพใบหน้าของม่อเหยียนก็ลอยเข้ามาในความคิดอย่างห้ามไม่อยู่
ใบหน้าของชายผู้อ่อนโยนและอบอุ่น ชายที่ทำให้นางรู้สึกว่าแม้ว่าฟ้าจะถล่มลงมา นางก็ยังมีเขาที่พร้อมจะปกป้องและยืนเคียงข้าง
ไป๋อันหรานหากเจ้าในอดีตลองไตร่ตรองให้ดีแล้วเล่าเรื่องทุกอย่างให้ม่อเหยียนฟัง ไม่แน่ว่าตอนนี้เจ้าอาจจะมีความสุขที่สุดแล้วก็เป็นได้
“ชายผู้นั้นไม่มีทางทอดทิ้งหรือรังเกียจเจ้า ข้ามั่นใจว่าเขาจะต้องแก้แค้นให้เจ้าเป็นแน่”
อันหรานหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ เสียงหัวเราะที่มีทั้งความเวทนาและความเจ็บปวดปะปนกันแปลก ๆ นางหรี่ตาเล็กน้อยจู่ ๆ ก็รู้สึกหน่วงอยู่ในอก
“เขารักเจ้ามาก” เสียงของนางอ่อนลง “จนข้ารู้สึกละอาย…ที่แย่งร่างของเจ้ามา”
ปลายนิ้วเรียวเลื่อนไปสัมผัสหน้าท้องนูนที่ผลักดันเนื้อผ้าออกมาอย่างชัดเจน เด็กในครรภ์ขยับแผ่วเบาราวกับตอบสนองต่อสัมผัสของนาง
“เจ้าก้อนแป้ง…เจ้าโกรธข้าหรือไม่” เสียงนางสั่นนิด ๆ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “ข้าเป็นสาเหตุที่ทำให้แม่เจ้าจากไป…”
คำพูดยังไม่ทันจบประโยค ความเจ็บแปลบก็แล่นผ่านท้องของนางจนราวกับถูกบีบจากด้านใน อันหรานขมวดคิ้ว สะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะหายใจยาวเพื่อควบคุมอาการ
“ไม่ใช่ตอนนี้…ยังไม่ถึงเวลา…”
แต่ดูเหมือนทารกในครรภ์จะไม่สนคำขอของนางเลยแม้แต่น้อย อาการเจ็บเสียดค่อย ๆ ถี่ขึ้นจนทำให้นางต้องหยุดเดินและยืนตั้งหลักอยู่ข้างรถม้าของนาง
ทว่าเสียงที่นางไม่อยากได้ยินที่สุดในเวลานี้ก็ดังขึ้นจากด้านหลัง
“อันหราน!”
หญิงสาวชะงักร่างแข็งทื่อไปชั่วขณะ นางหันกลับไปตามต้นเสียงและพบมู่หยางกำลังก้าวลงจากรถม้าของเขาด้วยความร้อนรน ใบหน้าของเขาเมื่อเห็นนาง เต็มไปด้วยความโล่งใจและดีใจจริงใจอย่างไม่อาจปิดบัง
“เจ้าไปอยู่ที่ไหนมา! รู้ไหมว่าข้าตามหาเจ้าทั่วทั้งเมือง!”
น้ำเสียงของเขาก้ำกึ่งระหว่างดีใจและตำหนิ แต่สำหรับอันหราน…มันเป็นเพียงเสียงของผู้ชายน่ารำคาญที่ตัวนางอยากขับไล่ไปให้พ้นสายตา
“อันหรานเหตุใดไม่ตอบข้า เจ้าไม่ดีใจหรือที่พบข้า”
“ออกไป!!”
อันหรานตะโกนขับไล่อีกฝ่ายสุดเสียงก่อนจะกัดฟันแล้วพยายามใช้แรงที่เหลือผลักมู่หยางออกห่างจากตัวเอง การกระทำของนางทำให้มู่หยางชะงักค้าง
ดวงตาของหญิงสาวสั่นระริกด้วยความเจ็บไปทั้งกาย ใบหน้าของนางซีดเผือดลงอย่างรวดเร็ว มือเล็กกำชายกระโปรงแน่นจนสั่นไปทั้งแถบผ้า
ไม่ใช่เวลานี้…
เจ้าก้อนแป้ง…ลูกแม่ เจ้าจะคลอดตอนนี้ไม่ได้…
“ออกไปให้พ้นหน้าข้ามู่หยาง”
มู่หยางกำลังจะอ้าปากพูดบางอย่าง แต่น้ำใส ๆ ที่ไหลลงมาตามขาของอันหรานทำให้เขาหยุดนิ่ง ราวกับโลกหยุดหมุน ดวงตาของเขาเบิกกว้างสั่นระริก
“อันหราน…เจ้า…เจ้าใกล้คลอดแล้ว!!”
อันหรานไม่ตอบ นางกัดฟันจนแทบแตกเพื่อประคองสติ แต่ความเจ็บปวดเริ่มทวีขึ้นจนแทบยืนไม่อยู่ หญิงสาวพยายามผลักเขาออกอีกครั้งแม้แรงจะน้อยจนเหมือนผีเสื้อกระพือปีก
“อย่า…เข้าใกล้ข้า…มันไม่ใช่เรื่องของเจ้า”
หญิงสาวหอบหายใจพยายามฝืนตัวเองย่างกายขึ้นบนรถม้าเพราะหวังจะหนี ทว่าภาพตรงหน้าของนางกลับเริ่มพร่ามัวเหมือนหมอกควันพัดผ่าน
เสียงลมที่เคยชัดเจน กลายเป็นเหมือนเสียงหึ่งเบา ๆ ในหู เสียงของมู่หยาง…ก็เริ่มไกลออกไปทั้งที่เขายืนอยู่ตรงหน้าแท้ ๆ ร่างของอันหรานโคลงเคลง
ก่อนทุกอย่างรอบตัวจะมืดดับลง....
ยามค่ำคืนที่เงียบสงบภายในจวนตระกูลชุนทั้งจวนกำลังวุ่นวาย เหล่าคนรับใช้วิ่งเข้าออกเรือนกลางด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ใบหน้าขาวซีดเต็มไปด้วยความลนลาน แม้แต่ตะเกียงที่ตั้งอยู่เรียงรายตามเฉลียงยังสั่นไหวราวจะดับตามแรงฝีเท้าเร่งร้อนของทุกคน
ภายในลานด้านหน้าเรือน มู่หยางยืนเดินไปมาอย่างไร้จุดหมาย เขาหยุดไม่ได้ แม้แต่วินาทีเดียว ลมหายใจติดขัด เมื่อได้ยินเสียงร้องเจ็บปวดของอันหรานที่ดังลอดประตูออกมาเขายิ่งแสดงท่าทีกระวนกระวายจนเห็นได้ชัด
เสียงกรีดร้องของอันหรานดังขึ้นอีกครั้ง กล้ามเนื้อบนใบหน้าของมู่หยางกระตุก เขาเผลอก้าวเท้าเข้าไปใกล้ประตูแต่ก็ต้องชะงักเมื่อฝ่ามือของมารดาแตะลงบนไหล่เขาอย่างรวดเร็ว
“มู่หยางเจ้าเข้าไปไม่ได้ หากบุรุษเข้าไปในห้องคลอดโชร้ายจะติดตัวเจ้า” เสียงของฮูหยินชุนแหบลึกแต่หนักแน่นเอ่ยเตือนบุตรชาย
มู่หยางหันไปทางนาง ใบหน้าเขาแสดงออกถึงความตื่นเต้นปนความตึงเครียด
“ท่านแม่ลูกของข้ากำลังจะได้เกิดมา อันหรานนางกำลังคลอดบุตรให้ข้า” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นไหวเพราะความตื่นเต้นจนแทบกลั้นไว้ไม่อยู่
ฮูหยินชุนยกยิ้ม สีหน้ายินดีปนโล่งอกจนมองเห็นชัด “นับว่าสวรรค์ยังเมตตาตระกูลชุนของเรา... ในที่สุดสายเลือดผู้สืบทอดก็จะถือกำเนิด เจ้านี้โชคดีจริง ๆ มู่หยาง สวรรค์มิได้ทอดทิ้งเราแล้ว”
เสียงกรีดร้องภายในห้องดังระดับที่ทำให้คนได้ยินเสียววาบไปตามสันหลัง มู่หยางเม้มปากแน่น แต่สายตาเขาไม่ได้เต็มไปด้วยความสงสารหรือเจ็บปวด เขากลับมองประตูเรือนด้วยประกายคาดหวังเพียงสิ่งเดียว
ขอให้เป็นบุตรชาย! ต้องเป็นบุตรชายเท่านั้น!
บุตรสาวสำหรับเขาเป็นเพียงตัวไร้ประโยชน์มีไว้เพื่อแต่งออกไป เขาไม่ต้องการสิ่งนั้น เขาต้องการทายาทผู้สืบทอดตระกูลชุน บุรุษที่จะเดินตามรอยเขาในอนาคต
ไม่นานนัก เสียงกรีดร้องของอันหรานค่อย ๆ เบาลง ตามด้วยเสียงร้องของทารกน้อยก็แผดดังแหลมสูงขึ้นมาแทนที่
เสียงทารกนั้นดังใสชัดเจนจนคนทั้งเรือนต่างรับรู้ว่าเด็กได้ลืมตาดูโลกแล้ว หัวใจของมู่หยางเต้นแรงจนจวนจะทะลุอก
“เป็นเด็กชายใช่หรือไม่!?” เขาตะโกนถามอย่างไม่สนใจมารยาท
ไม่นานนักประตูห้องก็ถูกเปิดออกอย่างรวดเร็ว สาวใช้ผู้หนึ่งวิ่งออกมาใบหน้าของนางขาวผ่องด้วยความดีใจ
“นายท่าน! ยินดีด้วยเจ้าค่ะเป็นคุณชายน้อย!”
มู่หยางแทบกระโดดขึ้นด้วยความดีใจ เสียงหัวเราะของเขาดังลั่น โทนเสียงเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
“ฮ่า ๆ ๆ!! ข้ารู้แล้ว! ข้ารู้ว่าเป็นต้องลูกชาย! เห็นหรือไม่ท่านแม่! ใครกันบอกว่าข้าไม่มีน้ำยา!”
เขายกคางขึ้นราวกับท้าทายโลกทั้งใบ มารดาของเขาก็หัวเราะเสียงเบา น้ำตาปริ่มตามอารมณ์
“น่ายินดีเหลือเกิน มู่หยาง เจ้าต้องขอบคุณสวรรค์แท้ ๆ”
ในขณะที่ทั้งสองกำลังดื่มด่ำความสุข สาวรับใช้คนเดิมได้อุ้มทารกน้อยห่อด้วยผ้าสีขาวออกมา เด็กน้อยร้องไม่หยุด แก้มป่องแดงจัด ผิวกายยังอุ่นเรื่อด้วยความเปลี่ยนแปลงจากภายในครรภ์สู่โลกกว้าง
มู่หยางรีบก้าวไปด้วยความตื่นเต้นและดีใจที่ตนเองสมปรารถนา ชายหนุ่มหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าสาวใช้ก่อนจะยื่นมือออกไปทันที
“ส่งเขามาให้ข้า เดี๋ยวนี้”
“เจ้าค่ะคุณชาย” สาวใช้ยื่นทารกให้โดยไม่กล้าขัดใด ๆ
มู่หยางอุ้มทารกน้อยไว้ในอ้อมแขนอย่างระมัดระวัง เขามองใบหน้าเล็กนั้นด้วยสายตาอ่อนโยน... แต่เป็นความอ่อนโยนที่มีให้กับทารกผู้เป็นทายาทตระกูลมิใช่ความรักของบิดาผู้ห่วงใยลูก
เขาลูบศีรษะทารกเบา ๆ แล้วพึมพำเหมือนประกาศก้องให้ผู้คนทั้งจวนได้รับรู้
“ข้าจะตั้งชื่อเจ้าว่าต้าชุน เจ้าจะเป็นผู้สืบทอดตระกูลชุนคนต่อไปของข้า”
ในขณะที่ภายนอกเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ความยินดี และความภาคภูมิใจ…ภายในห้องคลอดกลับมีบรรยากาศที่แตกต่างราวฟ้ากับดิน
อันหรานนอนหอบหายใจอย่างอ่อนแรง เหงื่อชุ่มกายจนชุดบางแนบติดกับผิว ร่างของนางอ่อนแรงจนแทบยกแขนไม่ขึ้น ดวงตาฝ้าฟางเหมือนโลกกำลังถูกดึงออกห่างจากสติของนางทีละน้อย แต่ถึงอย่างนั้น ดวงตาคู่นั้นยังคงจ้องไปที่ทารกน้อยที่ถูกอุ้มออกไปจากห้องทันทีที่ลืมตาเห็นโลก
ในดวงตาคู่นั้นของไป๋อันหรานไร้ซึ่งความยินดี มีเพียงความกังวล ความหวาดหวั่น และความรู้สึกราวกับหัวใจถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ ริมฝีปากซีดสั่นพยายามขยับออกเสียงด้วยแรงเฮือกสุดท้าย
“ลูกของข้า…เอาลูกของข้ามา…ขอร้อง…เอาลูกข้า…กลับมา…” เสียงของนางแผ่วเบาราวกับกระซิบแต่เต็มไปด้วยการวิงวอนที่แทบขาดวิญญาณ
ลมหายใจของนางสะดุดความรู้สึกอึดอัดแล่นผ่านทรวงอก ใบหน้าสวยซีดเผือดจนเกือบไร้สีเลือด ดวงตาของอันหรานค่อย ๆ พร่ามัว เงาของมู่หยางที่หัวเราะอยู่นอกห้องสำหรับนางมันช่างน่าขยะแขยง
เจ้าไม่มีสิทธิ์แตะต้องลูกของข้า พวกเจ้าทั้งหมด… ไม่มีสิทธิ์!
ม่อเหยียนท่านอยู่ที่ไหน…ช่วยพวกเราด้วย....
สุดท้าย…ทุกอย่างก็ดับวูบลงไปอีกครั้ง....