หลายเดือนต่อมาสายลมฤดูใบไม้ผลิพัดผ่านกลีบดอกเหมยสีชมพูซีดให้ลอยละล่องราวหิมะอุ่น ผืนหญ้าในสวนทอดยาวอยู่ใต้แสงแดดอ่อนที่ส่องผ่านเรือนยอดของต้นเหมยเก่าแก่ เป็นบ่ายที่สงบและเงียบพอให้ได้ยินแม้กระทั่งเสียงใบไม้ปลิว
ไป๋อันหรานที่ตั้งครรภ์สิบเดือนเดินช้า ๆ ตามทางหินในสวน นางสวมชุดผ้าบางสีอ่อนที่รับกับแสงแดด ดวงตาของนางทอดมองเหล่าดอกเหมยที่ร่วงหล่นด้วยแววตาสงบอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ทว่าความสงบก็ถูกทำลายลงเมื่อจู่ ๆ มีเสียงตะโกนดังขึ้นจากด้านหลัง
“ไป๋อันหราน!!”
หญิงสาวหันกลับช้า ๆ พบชายชราร่างผอมแคระเดินตรงเข้ามา ใบหน้าเหี่ยวย่นของอีกฝ่ายฉายความเกรี้ยวกราด อันหรานขมวดคิ้วด้วยความสงสัยตั้งใจจะเอ่ยถามว่าเขาคือผู้ใด ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยคำพูดใดออกไป ใบหน้าของนางก็ถูกฝ่ามือของชายชราตบอย่างแรง
เพี๊ยะ!!
ฝ่ามือหนักประหนึ่งเหล็กกระแทกเข้าที่แก้มของนางเต็มแรง กลิ่นเลือดคาวบาง ๆ ตีขึ้นในปากทันที ใบหน้าของนางหันไปตามแรงตบแก้มซ้ายชาวูบ ความเงียบปกคลุมไปทั่วทั้งสวนก่อนเสียงเหี้ยมเต็มไปด้วยโทสะจากชายชราจะดังขึ้น
“ลูกชั่ว!” เขาตะโกน เส้นเลือดบนขมับปูดโปน “ทำให้ตระกูลอับอายขายขี้หน้าถึงเพียงนี้ ยังมีหน้ามาเดินเล่นอยู่ที่นี่อีกหรือ!”
อันหรานใช้มือจับแก้มของตนช้า ๆ หญิงสาวเบิกตาเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะเจ็บ แต่เพราะไม่อยากเชื่อว่ามนุษย์ชั้นต่ำคนหนึ่งกล้าตบหน้าตน ความโกรธที่ถูกซุกไว้ภายใต้ผิวสตรีมนุษย์เริ่มไหววาบ
แต่ยังไม่ทันที่ความโกรธของนางจะระเบิดออก ชายชราผู้นั้นก็เหลือบตาลงมองท้องนูนของนาง และสีหน้าของเขายิ่งบิดเบี้ยวกว่าเดิมเหมือนพบสิ่งสกปรกที่สุดในโลก
“อับอาย! อับอายที่สุด!” เขาตะโกนลั่น “ทำไมเจ้าตัวสวะอย่างเจ้าถึงไม่ตายไปซะตั้งแต่แรก!”
เสียงฝีเท้าดังขึ้นเร่งรีบ “อันหราน พี่ต้มยาบำรุงมาให้….”
เพล้ง!!
ชามยาในมือของม่อเหยียนตกลงแตกกระจัดกระจายบนพื้น เสียงนั้นดังพอจะเรียกความสนใจของทุกคนในบริเวณนั้น
ม่อเหยียนตัวแข็งค้างเพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่ร่างสูงของเขาจะขยับอย่างรวดเร็วราวเงา เขาปรี่เข้ามาคั่นกลางระหว่างอันหรานและชายชราทันที ดวงตาคมของเขาแดงก่ำเมื่อสายตาหันไปเห็นรอยแดงบนแก้มของหญิงสาว ชายหนุ่มตวัดสายตาหันกลับไปมองชายชราด้วยความไม่พอใจ
“ท่านอ๋องถอยเถิด!” ชายชราเอ่ย “กระหม่อมจะสั่งสอนบุตรสาวตัวสวะของกระหม่อม!”
ม่อเหยียนเหยียดรอยยิ้มเย็นที่ไม่เคยแสดงต่อผู้ใดนอกจากศัตรูในสนามรบ
“สั่งสอน?” เขาเอ่ยเสียงต่ำ “อันหรานนางมีสิ่งใดให้ท่านสอนกัน คนโลภอย่างท่านจะสอนผู้ใดได้”
อันหรานเองในตอนนี้ก็ไม่พอใจที่องค์หญิงแห่งเผ่าปีศาจอย่างนางถูกมนุษย์ชั้นต่ำตบหน้า นางอยากสังหารชายชราผู้นี้ตายอย่างทรมานด้วยซ้ำ
ตบข้าหรือ...ข้าจะต้องให้เขาชดใช้ด้วยชีวิตแน่!
หากไม่ติดว่าม่อเหยียนยืนอยู่ตรงหน้า นางคงบิดคอเขาหักให้ไปแล้ว!
ชายชราแค่นหัวเราะออกมาเหมือนตนเหนือกว่า “คนโลภอย่างข้า…ถึงอย่างไรก็เคยเป็นอาจารย์สั่งสอนท่านอ๋องมาก่อน ท่านอ๋องลืมไปแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ?” เขากัดฟันกรอด “วันนี้กระหม่อมเพียงมาตามบุตรสาวเท่านั้น ขอท่านอ๋องส่งตัวนางมาให้กระหม่อมเถิด”
เขายื่นมือเหี่ยวย่นจะคว้ามืออันหราน แต่ม่อเหยียนตวัดแขนขึ้นปัดออกแรงพอจะทำให้ชายชราถอยไปก้าวหนึ่ง
เสียงปัดดังแผ่ว แต่เต็มไปด้วยอำนาจ ม่อเหยียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบที่ทำให้สวนทั้งสวนเหมือนถูกแช่แข็ง
“ใต้เท้าไป๋…ท่านไล่อันหรานออกจากตระกูลไป๋แล้ว จำไม่ได้หรือ”
ชายชรากัดฟันแน่น ดวงตาเต็มไปด้วยความโลภและความริษยา
“แต่กระหม่อมก็ยังเป็นบิดาของนาง!”
“บิดา?” ม่อเหยียนหัวเราะในลำคอเบา ๆ แต่เป็นเสียงหัวเราะที่ทำให้คนฟังหนาวสั่น
“ช่างหน้าไม่อายเสียจริง… ชายที่ขายบุตรสาวตัวเองเพื่อตำแหน่ง ยังกล้าหน้าด้านเรียกตนเองว่าบิดาหรือ”
อันหราจ้องชายชราไม่กะพริบหลังจากรู้ว่าอีกฝ่ายคือบิดาแท้ ๆ ของไป๋อันหราน เขาช่างเป็นสวะไม่ต่างจากพ่อของข้าในแดนปีศาจจริง ๆ เหยียบลูกเพื่อผลประโยชน์…
พวกสวะ ไม่ว่าจะมนุษย์หรือปีศาจที่ไหนก็สารเลวเหมือนกัน
ชายชรานั้นกลับยังไม่หยุดปาก
“นางเป็นบุตรสาวของกระหม่อม กระหม่อมจะทำอะไรกับนางก็ได้”
เขาตวาดเสียงดังแล้วชี้ไปที่ม่อเหยียน “แล้วท่านอ๋องเล่าเป็นอะไรกับบุตรสาวของกระหม่อม?”
ม่อเหยียนชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ข้าเป็น….”
สายตาของชายชราแวววาวราวกับเพิ่งจับจุดอ่อนได้
“ท่านอ๋องกับนางไม่ได้เป็นอะไรกันด้วยซ้ำ!” ชายชราพูดแทรกทันที “ต่อให้นางเรียกท่านว่าพี่ชาย…แต่ท่านอ๋องคงไม่หลงคิดว่าตนเองเป็นพี่ชายของนางจริง ๆ หรอกใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ?”
ม่อเหยียนกำมือแน่น เส้นเลือดบนหลังมือปูดขึ้น
ไม่ได้เป็นอะไรกัน?.....ประโยคนี้ทำให้อันหรานชะงัก หลังจากรู้ความจริงว่าไป๋อันหรานและม่อเหยียนไม่ได้มีสายเลือดเดียวกัน และนั่นหมายความว่าเขาไม่ใช่พี่ชายแท้ ๆ ของนาง
ตลอดมาเป็นข้าที่เข้าใจผิดหรือ?
เดี๋ยวสิ....แล้วเหตุใดม่อเหยียนถึงดูแลนางดีเช่นนี้?
“กระหม่อมคงพูดผิดไป ท่านอ๋องคงไม่ได้คิดว่าตนเองเป็นพี่ชายของนาง… เพราะไม่มีพี่ชายคนไหนคิดอยากแต่งงานกับน้องสาวตัวเองหรอกใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ”
ประโยคนี้ทำให้ม่อเหยียนสบถต่ำ ๆ ในลำคอ
“ใต้เท้าไป๋หุบปากเสีย!”
“ท่านอ๋องกระหม่อมขอเตือนความจำของพระองค์สักหน่อย ไป๋อันหรานบุตรสาวของกระหม่อมนางไม่มีทางรักท่าน ไม่สิต้องพูดว่านางรังเกียจเจ้าด้วยซ้ำ รู้แบบนี้แล้วท่านอ๋องส่งอันหรานคืนมาให้กระหม่อนเถิด”
“พาตัวใต้เท้าไป๋ออกไป!” ม่อเหยียนตวาดเสียงก้อง
ทหารหลายคนวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะจับแขนชายชราแล้วลากออกไป ถึงอีกฝ่ายจะดิ้นพล่าน ด่าทอ และร้องโวยวายเท่าใด ก็ไม่อาจสู้แรงทหารของอ๋องม่อเหยียนได้เลย
เมื่อทุกอย่างสงบลงเหลือเพียงคนทั้งสองในสวน ม่อเหยียนหันกลับมาหาอันหราน ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเป็นห่วงอย่างไม่คิดปิดบัง
“อันหราน…เจ้าเจ็บหรือไม่”
เสียงม่อเหยียนอ่อนลงนัยน์ตาคมมองไป๋อันหรานราวกับเป็นของล้ำค่า เขาค่อย ๆ ยื่นมือมาสัมผัสแก้มของนางอย่างเบาที่สุด ราวกับกลัวว่านางจะบาดเจ็บเพราะการสัมผัสของเขา
‘กระหม่อมคงพูดผิดไป ท่านอ๋องคงไม่ได้คิดว่าตนเองเป็นพี่ชายของอันหรานหรอก เพราะไม่มีพี่ชายคนไหนคิดอยากแต่งงานกับน้องสาวตัวเอง’
คำนี้ยังคงลอยวนอยู่ในหัวของอันหราน หญิงสาวยกมือขึ้นจับมือของม่อเหยียนเบา ๆ ดวงตาคู่สวยค่อย ๆ เงยขึ้นสบชายหนุ่ม นางพบว่าแววตาของเขายามมองมาที่ตนมันเต็มไปด้วยความเป็นห่วงและความรู้สึกบางอย่างที่นางมักมองข้ามมาตลอด
การกระทำของเขาและคำพูดของชายชราทำให้หญิงสาวตระหนักถึงบางอย่างได้....
“ม่อเหยียน…” ดวงตาคู่สวยสั่นระริกก่อนจะเอ่ยต่อ “ท่าน…รักไป๋อันหรานหรือ”
เหมือนสายลมรอบตัวหยุดเคลื่อนไหว ม่อเหยียนชะงักทั้งตัว ราวกับถูกสาปให้หยุดนิ่ง เขามองหน้าหญิงสาวที่ตนรักมาตลอดหลายปี ดวงตาคมของเขาสั่นไหวอย่างคนที่ไม่รู้จะหนีไปที่ใด
แทนที่จะตอบ เขากลับหันหน้าหนีอย่างลนลาน
“เจ้าเจ็บแบบนี้...” เขาพึมพำ “เดี๋ยวข้าไปตามหมอให้ เจ้ารออยู่ตรงนี้ก่อน”
พูดจบก็ทำท่าจะถอยหนีราวกับการพูดความจริงเป็นเรื่องน่ากลัวกว่าสิ่งใด แต่ปลายเสื้อของเขาก็ถูกมือเล็ก ๆ ของอันหรานคว้าไว้แน่นจนร่างสูงต้องหยุดชะงัก
ม่อเหยียนกัดริมฝีปาก สุดท้ายก็ถอนหายใจอย่างยอมแพ้อะไรบางอย่าง เขาหันกลับมาเผชิญหน้าไป๋อันหรานอีกครั้ง ในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความลังเล ความกลัว และความรักอันล้นทะลักที่กักเก็บไว้นานตลอดหลายปีที่ผ่านมา
ชายหนุ่มฝืนยิ้มออกมา แต่เป็นรอยยิ้มที่ปิดไม่มิดว่าหัวใจเขากำลังเจ็บจนแทบหายใจไม่ออก
“อันหราน…ข้ารักเจ้า”
เสียงนั้นสั่นแฝงไปด้วยความจริงใจที่กลั่นออกมาจากส่วนลึกที่สุดของจิตใจ
“รักมาตลอด ตั้งแต่เจ้าหัวเราะครั้งแรก ไม่ว่ารอยยิ้มหรือสิ่งใดที่เจ้าทำกับผู้อื่นข้าก็ต่างหวงแหนทุกสิ่ง หวงแหนจนกระทั่งลมหายใจของเจ้า”
“………”
“ข้ามันคนโลภ…” เขาก้มศีรษะ “โลภจนอยากเก็บเจ้าไว้คนเดียวเสมอมา ขอโทษที่ข้าไม่อาจเป็นพี่ชายที่ดีอย่างที่เจ้าคาดหวังได้”
จากนั้นม่อเหยียนก็ทรุดลงคุกเข่าต่อหน้านางอย่างหมดแรง หัวไหล่ของเขาสั่นไหวและนั่นทำให้อันหรานชะงักไป ตลอดหลายเดือนที่อยู่ร่วมกันนางไม่เคยเห็นม่อเหยียนในสภาพที่เปราะบางเช่นนี้มาก่อน
อันหรานกัดริมฝีปากแน่นความรู้สึกสงสารไหลผ่านหัวใจอย่างควบคุมไม่ได้ ม่อเหยียนไม่ได้ผิดอะไรเลย เขาแค่รักอันหรานมากเกินไปเท่านั้น ไป๋อันหรานเจ้าทิ้งผู้ชายที่ดีต่อเจ้าเช่นนี้ไปได้เช่นไร สวะที่เจ้าเลือกเป็นสามีหาได้มีอะไรเทียบม่อเหยียนผู้นี้ได้เลยสักนิด
เจ้าช่างตามืดบอดยิ่งนัก…
“อย่าทิ้งข้าไปเลยนะ…” เสียงทุ้มของเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง “ข้าอยากดูแลทั้งเจ้า ทั้งลูก”
เขาเม้มปาก “เจ้าไม่ต้องรักข้าก็ได้ ไม่ต้องให้เจ้าก้อนแป้งเรียกข้าว่าพ่อก็ได้ ขอแค่เจ้าอยู่กับข้าก็พอ”
ลมหายใจของอันหรานสะดุด ม่อเหยียนตอนนี้น่าเวทนาเกินทน เขาเหมือนกับคนที่ถูกทิ้งให้อยู่ในความมืดมานานและเพิ่งเจอความสว่างครั้งแรก แต่กลัวเหลือเกินว่าแสงสว่างจะหายไป
อันหรานยกมือแตะท้องนูนของตัวเองเบา ๆ เอาเถิดยังไงก็ตัดสินใจจะอยู่เคียงข้างเขาแล้ว แสดงละครแสร้งเป็นคนรักชายผู้นี้ไม่กี่ปีจนกว่าเขาจะตาย ข้าคงทำได้ดีเป็นแน่ ส่วนเจ้าเองก็แสร้งเป็นลูกของชายผู้นี้สักหน่อย อย่างน้อยเพื่อตอบแทนที่เขาดีต่อเจ้า
นางยิ้มอ่อน ก่อนจะประคองเขาให้ลุกขึ้นช้า ๆ
“พี่ชาย…” เสียงนางอ่อนโยนเสียจนหัวใจม่อเหยียนหยุดเต้น “เหตุใดถึงเอาแต่โทษตัวเองเล่า”
ม่อเหยียนเงยหน้ามองนางเหมือนคนไม่กล้าเชื่อ
อันหรานค่อย ๆ ปัดฝุ่นที่แขนเสื้อของเขาอย่างแผ่วเบา รอยยิ้มของนางนุ่มนวลจนชายหนุ่มแทบลืมหายใจ
“พี่ชายดีต่อข้าเช่นนี้…” นางเอ่ย “ข้าจะทิ้งท่านไปได้เช่นไร”
ม่อเหยียนเบิกตากว้างเหมือนฟ้าผ่าลงกลางอก
“อันหราน…เจ้า…เจ้าไม่ไปจากข้าจริง ๆ หรือ?”
“เจ้าค่ะ”
เหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุน ม่อเหยียนยิ้มออกมาทั้งน้ำตา เสียงหัวเราะสั้น ๆ หลุดออกมาด้วยความดีใจราวกับคนที่เพิ่งได้ลมหายใจครั้งใหม่ เขาจับมือนางแน่นราวกับกลัวว่านางจะหายไปในอากาศ
“ขอบคุณ…ขอบคุณจริง ๆ อันหราน…ข้าจะดูแลเจ้า ข้าจะ….”
“พอแล้วเจ้าค่ะ” นางหัวเราะเบา ๆ พลางเช็ดหยดน้ำตาจากหางตาเขา “อย่าร้องไห้อีกเลย เดี๋ยวดวงตาของพี่ชายจะบวมจนดูไม่ได้เสียก่อน”
ม่อเหยียนหน้าแดงราวกับคนเมา เขาไม่รู้จะทำตัวอย่างไร ความดีใจทะลักอยู่ในอกจนแทบจะเดินไม่ตรง
อันหรานมองเขาแล้วใจอ่อนยิ่งกว่าเดิม เฮอะ…ชายผู้นี้ยามเขินอายช่างน่ามองเสียจริง ถ้านางลองแกล้งเขาสักหน่อยล่ะจะเป็นเช่นไร ความคิดเจ้าเล่ห์แวบขึ้นในหัวทันที หญิงสาวขยับเข้าไปใกล้เขาหนึ่งก้าว
ม่อเหยียนชะงักทันที ใบหน้าเริ่มร้อนระอุจนเห็นชัด
“อันหราน…เจ้า…กำลังจะทำอะไร”
หมับ!
มือเรียวของนางคว้าแขนเสื้อเขาไว้แน่น ม่อเหยียนกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ราวกับหัวใจหล่นวูบไปอยู่ที่ปลายเท้า
“พี่ชาย…” อันหรานยกตัวเขย่งปลายเท้าขึ้นเล็กน้อย
ม่อเหยียนยังไม่ทันเอ่ยตอบรับคำ ริมฝีปากนุ่มของหญิงสาวก็แตะแก้มเขาอย่างรวดเร็ว สัมผัสนั้นแผ่วเบาราวกับขนนกแต่สำหรับม่อเหยียนมันเหมือนกับสายฟ้าที่ผ่าลงมาบนร่างของเขา
“หรานเอ๋อร์...”
ใบหน้าคมของเขากลายเป็นสีแดงปลั่งทันที ดวงตาเบิกกว้างราวกับเห็นปีศาจยืนอยู่ตรงหน้า ริมฝีปากสั่นพึมพำแต่ไม่มีคำใดออกมา
สุดท้าย….ร่างสูงของเขาทรุดฮวบลงไปกับพื้นเหมือนต้นไผ่ถูกตัดโคน
“นายท่าน!!!”
เสียงตะโกนแสดงถึงความตกใจของอาฟู่ดังลั่นสวน เขารีบวิ่งเข้ามาราวกับเห็นผู้เป็นนายถูกมือสังหารเล่นงาน
อันหรานเม้มริมฝีปากแน่นพยายามกลั้นหัวเราะจนไหล่สั่น ไม่คิดเลยว่าม่อเหยียนที่น่าเกรงขามจะสลบเพราะนางหอมแก้มเพียงครั้งเดียว
โอ้…น่าสนุกเสียจริง ดูท่าหลายปีนี้ข้าคงมีอะไรสนุกให้ทำเป็นแน่