ภายในพระตำหนักทรงอักษรเงียบงันจนแม้แต่ลมหายใจยังเหมือนจะดังเกินไป ลมปลายวสันต์พัดผ่านสวนด้านนอกเสียงใบไผ่เสียดสีกันเบา ๆ ม่านสีทองของตำหนักปลิวไหวด้วยแรงลมอ่อน แต่กลับสะท้อนเงาของอ๋องม่อเหยียนยืนอยู่เบื้องหน้าฮ่องเต้ผู้ปกครองแคว้น
ใบหน้าของเขาแม้พยายามสงบนิ่ง แต่แววตาที่ซ่อนอยู่ลึก ๆ กลับเต็มไปด้วยความกังวลจนปิดไม่มิด ราวกับกำลังอุ้มความกลัวหนักประหนึ่งหินก้อนใหญ่ไว้ในอก
“เสด็จพี่”
เสียงของม่อเหยียนทุ้มต่ำและเต็มไปด้วยความลังเลเล็ก ๆ ก่อนที่เขาจะตัดสินใจเอ่ยต่อ
“ตอนพี่สะใภ้ตั้งครรภ์…นางเคยมีอาการนอนไม่หลับ อาเจียน และเบื่ออาหารหรือไม่?”
ฮ่องเต้ยกสายตาขึ้นจากเอกสารในมือ มองน้องชายอย่างจับสังเกต มุมปากของพระองค์ตวัดขึ้นเล็กน้อยราวกับรู้คำตอบก่อนแล้ว
“เรื่องของไป๋อันหรานอีกแล้วหรือ?” น้ำเสียงไม่ได้ตำหนิ แต่ปนความเอ็นดูและเหนื่อยใจในเวลาเดียวกัน
ผู้ใดในเมืองหลวงไม่รู้บ้างว่าความรักของม่อเหยียนที่มีต่อไป๋อันหรานลึกซึ้งเพียงใด ในคราแรกที่นางแต่งงานก็คิดว่าเขาคงจะตัดใจได้แล้ว แต่นี่ไม่ตัดใจไม่พอยังถึงขนาดรับสตรีผู้นั้นและลูกเข้ามาดูแลในจวนอีก
ม่อเหยียนเม้มริมฝีปากแน่น เขาไม่ได้โต้กลับ เพราะมันคือความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ฮ่องเต้ส่ายศีรษะเบา ๆ ก่อนทอดถอนใจ “ข้าคิดว่าหลังจากนางแต่งงานกับผู้อื่นแล้ว เจ้าคงตัดใจจากนางได้ แต่ดูเหมือนข้าจะคิดผิด”
ม่อเหยียนหลุบตาลงแต่ความกังวลกลับพุ่งขึ้นจนแววตาเขาสั่นพร่า
“ช่วงนี้นางมีอาการป่วยหนักมากจนข้าอดเป็นห่วงไม่ได้ ข้าเห็นนางนอนไม่หลับทั้งคืน อาเจียนจนแทบกินอะไรไม่ได้ ร่างกายอ่อนแรงจนลุกจากเตียงแทบไม่ได้…”
เสียงของเขาลดต่ำลงใกล้กลายเป็นเสียงกระซิบ “ข้าอดเป็นห่วงนางไม่ได้จริง ๆ เสด็จพี่ ข้าอยากช่วยนาง อยากแบ่งเบาอะไรสักอย่าง แม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี”
ฮ่องเต้นิ่งฟัง สีหน้าแม้จะยังนิ่งสงบดังจันทราส่องสว่างบนท้องฟ้า แต่ลึกลงไปในนั้นก็มีความอ่อนใจต่อความดื้อรั้นของน้องชายอยู่ไม่น้อย
“ม่อเหยียน ท่านหมอบอกชัดแล้ว นางเพียงมีอาการแพ้ท้อง เดี๋ยวพอผ่านไปอีกไม่กี่เดือนก็จะดีขึ้น ให้นางดื่มยาบำรุงสม่ำเสมอก็พอ”
“แต่ข้าไม่อยากเห็นนางทรมาน…” ความเจ็บปวดฉายชัดในสีหน้าของเขา
“นางผอมลงมาก ขาก็ไม่มีแรง ข้าแค่กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นโดยที่ข้าช่วยอะไรนางไม่ได้เลย”
ความเงียบแผ่ปกคลุมตำหนักชั่วครู่ ฮ่องเต้มองน้องชายที่ยืนหน้าตึงด้วยความกังวล ก่อนหัวเราะในลำคออย่างแผ่วเบา
“หากข้าไม่รู้มาก่อนว่าเด็กในท้องนางเป็นลูกของผู้อื่น…ข้าคงคิดว่าเจ้าเป็นพ่อของเด็กในท้องนางเป็นแน่แท้”
ม่อเหยียนที่ได้ฟังประโยคนั้นลดสายตาลงอย่างช้า ๆ ก่อนพึมพำแทบไม่ได้ยิน
“ลูกของข้า… หากนางยอมให้ข้าเป็นพ่อก็ดีสิ”
แต่เพียงวินาทีนั้น รอยยิ้มบางเบาแตะริมฝีปากของเขาโดยไม่รู้ตัว ภาพในหัวผุดขึ้นมา ภาพเด็กน้อยตัวเล็กที่ยื่นมือออกมาหาเขา ร้องเรียกคำว่าท่านพ่อด้วยเสียงใส ๆ
เพียงภาพลวงตานั้นก็ทำให้หัวใจของเขาอบอุ่นเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี
ฮ่องเต้ยกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อจับความหมายในน้ำเสียงน้องชายได้ “เจ้าคงไม่ได้โง่งมจนให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะ ว่ารับบุตรผู้อื่นเป็นบุตรของตัวเองหรอกใช่หรือไม่?”
คำพูดนั้นเหมือนสายฟ้าที่ฟาดลงกลางใจม่อเหยียน เงาของโทสะฉายวาบในดวงตา เขาเงยหน้าขึ้นทันที สายตาคมดุปรากฏขึ้นอย่างเด่นชัด
“เสด็จพี่ สิ่งที่ท่านพูดออกมานั้นไม่ควรเอ่ยแม้แต่น้อย ขอท่านทบทวนคำพูดเมื่อครู่ด้วย” น้ำเสียงเรียบนิ่งแต่แฝงพลังหนักแน่นราวกับคมดาบที่เคยจับมานับไม่ถ้วนถูกเอ่ยออกมาจากปากของม่อเหยียน
ฮ่องเต้อึ้งไปเล็กน้อย ก่อนรู้สึกตัวว่าตนพูดเกินไป น้องชายของเขาคนนี้รักที่สุดคือศักดิ์ศรี ต่อให้รักไป๋อันหรานมากแค่ไหน เขาก็ไม่มีทางยอมให้ผู้ใดดูแคลนเรื่องนี้ได้ พระองค์หลุบตาลงพลางเอ่ยเสียงอ่อนลง
“ข้า…ผิดเอง”
ม่อเหยียนหันหน้ากลับ สีหน้าแม้จะเย็นลงแต่ยังคงตึงเครียด
“หากเสด็จพี่เข้าใจแล้ว เช่นนั้นต่อไปอย่าได้กล่าวว่าเด็กในท้องของหรานเอ๋อร์เป็นบุตรผู้อื่นอีก”
เขาเงยหน้าขึ้น ดวงตาแน่วแน่ราวกับโอบท้องฟ้าที่มืดครึ้มไว้ทั้งหมด
“นางตั้งท้องในจวนของข้า… เช่นนั้นเด็กย่อมเป็นลูกของข้าเช่นกัน” แต่ละคำของเขาหนักแน่นมั่นคงราวกับประกาศิต ก่อนช่ายหนุ่มจะเอ่ยต่อ “เด็กคนนั้นคือลูกของข้าและยังเป็นหลานของท่าน…เสด็จพี่โปรดจำไว้ด้วย”
ยามบ่ายอันเงียบงันในจวนอ๋องม่อเหยียนกลับถูกทำลายด้วยเสียงอาเจียนที่ดังออกมาจากห้องนอนของไป๋อันหรานอย่างต่อเนื่อง เสียงนั้นสะท้อนกังวานออกมาจนเหล่าข้ารับใช้ที่ยืนรออยู่ด้านนอกพากันหน้าถอดสี ทั้งกังวลทั้งเป็นห่วง หากมิใช่เพราะรับสั่งเด็ดขาดไม่ให้ผู้ใดล่วงล้ำเข้าไปในห้องของนาง เกรงว่าพวกเขาคงรีบเข้าไปดูแลหญิงสาวเจ้าของห้อง
ภายในห้องมีกลิ่นกำยานสมุนไพรลอยคละคลุ้งไปทั่ว ร่างของอันหรานนั่งเอนกายพิงหัวเตียงไม้หอมอย่างอ่อนแรง ใบหน้าที่เคยงดงามยามนี้ซีดเผือดราวกระดาษขาวที่ถูกซับสีออกจนหมด ดวงตาที่เคยเป็นสีน้ำตาลอ่อนอบอุ่นบัดนี้กลายเป็นสีแดงสดวาบราวโลหิต
อันหรานสัมผัสได้ว่าพลังปีศาจของนางสั่นคลอน ไม่มั่นคง หญิงสาวหอบหายใจถี่ ร่างกายที่เคยแข็งแกร่งยามเป็นองค์หญิงแห่งเผ่าปีศาจกลับอ่อนแอจนไม่ต่างจากมนุษย์ป่วยหนักคนหนึ่ง
“องค์หญิง...”
ต้าลู่เอ่ยเรียกผู้เป็นนายเสียงแผ่วเบา ร่างบางนั่งคุกเข่าอยู่ข้างเตียง ในมือกำผ้าเช็ดหน้าสีขาวเปื้อนเหงื่อจนยับยู่ยี่ นางค่อย ๆ ซับเหงื่อเย็นบนหน้าผากของอันหรานอย่างเบามือที่สุด ราวกับกลัวว่าเรี่ยวแรงปีศาจของนางจะทำให้ร่างของนายหญิงแตกสลาย
นัยน์ตาคู่สวยของต้าลู่ยามมองไปที่ไป๋อันหรานผู้เป็นนายนั้นแสดงออกอย่างชัดเจนว่านางเป็นห่วงอีกฝ่ายมากเพียงใด ทว่าเมื่อนางปรายสายตาไปยังท้องนูนเด่นของอันหรานความโกรธเกรี้ยวก็ปะทุขึ้นมาในอก
เด็กนี่เป็นต้นเหตุที่ทำให้องค์หญิงทรมานสินะ!
“องค์หญิง…” น้ำเสียงของต้าลู่นั้นเย็นเหยียบแต่ยังคงพยายามรักษาความเคารพ “ท่านจะยอมทรมานถึงเพียงนี้เพื่อเด็กนี่ไปทำไมกันเจ้าคะ เด็กคนนี้เป็นแค่ตัวไร้ประโยชน์ ไม่ใช่บุตรของท่านด้วยซ้ำนะเพคะ”
คำพูดนั้นราวกับคมหอกที่ทิ่มแทงลงกลางอากาศ อันหรานชะงักนิ่งไปทันที สติที่พร่าเลือนเพราะเจ็บปวดกลับมาชัดขึ้นชั่วขณะ นางก้มลงมองท้องของตนเองมือเรียวที่สั่นเล็กน้อยแตะลงที่ผิวเนียนตึง ก่อนจะลูบไล้อย่างทะนุถนอมราวกับสัมผัสสิ่งล้ำค่ากว่าอัญมณีใด
แม้นางจะไม่ได้มีส่วนร่วมในการทำให้เขาเกิดมา แต่เด็กคนนี้นางก็อุ้มท้องมาหลายเดือน จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าความผูกพัน สายใยความเป็นแม่มันได้เกิดขึ้นระหว่างนางกับเด็กคนนี้ไปแล้ว
“องค์หญิง” ต้าลู่ยังคงพยายาม “องค์ชายทั้งสิบพระองค์ล้วนเห็นตรงกันว่า เด็กคนนี้ควรถูกกำจัดเสียก่อนจะเป็นปัญหาในภายหน้า หากเขาเกิดมาแล้วเป็นลูกครึ่งปีศาจท่านจะทำเช่นไร”
เสียงของต้าลู่สะท้อนในห้องเงียบ ๆ อันหรานหลับตาลงช้า ๆ หลายเรื่องนางรู้ดี หลายเรื่องนางเข้าใจดีกว่าผู้ใด แต่การจะให้นางทำร้ายเด็กที่อยู่ในท้องตัวเองนั้น…
เป็นไปไม่ได้!
“ไม่ได้” นางตอบเสียงเบาแต่หนักแน่น
ทว่ายังไม่ทันที่หญิงสาวจะเอ่ยต่อ ภายในห้องราวกับมีฟ้าแลบวาบเข้ามา พลังปีศาจอ่อน ๆ จากกายไป๋อันหรานสั่นไหวคล้ายตอบสนองบางสิ่งที่คุ้นเคย
ควันปีศาจสีดำทอดเงาออกมาจากมุมห้อง ก่อนจะรวมตัวกันเป็นรูปลักษณ์ของชายหนุ่มร่างสูงสง่าสวมชุดสีดำสนิท ดวงตาของเขาสีแดงฉานคล้ายโลหิตจนดูน่ากลัว ต้าลู่ที่เห็นว่าบุรุษเบื้องหน้าคือใครก็รีบหมอบศีรษะลงทันที
องค์ชายสองแห่งเผ่าปีศาจผู้ไม่มีใครในเผ่ากล้าละเมิดอำนาจ เขาก้าวออกมาจากกลุ่มควันอย่างเงียบงัน ก่อนสายตาคมกริบจะจับจ้องไปยังน้องสาวผู้มีเลือดเดียวกันคนเดียว
“สิบเอ็ด…” เสียงทุ้มลึกดังก้องกังวาน “เจ้าก็ยังมีช่วงเวลาที่ใจอ่อนเช่นนี้ด้วยหรือ”
อันหรานมองพี่ชายด้วยแววตาเรียบเฉยก่อนจะแสร้งยกยิ้มบางเบา รอยยิ้มที่อ่อนโยนอย่างเช่นที่นางแสร้งทำมาตลอดห้าร้อยปี
“พี่สอง… ไหนท่านบอกว่าจะไม่มีวันมาเหยียบโลกมนุษย์ไง?” เสียงนางแผ่วระโหยแต่ยังมีความขี้เล่นแฝงอยู่ “ท่านเกลียดมนุษย์จะตายไป เหตุใดถึงได้มาอยู่ตรงนี้เล่า?”
ชายหนุ่มไม่ได้ตอบในทันที ดวงตาคมกวาดสำรวจสภาพของอันหรานผิวซีด ปากแห้ง หายใจติดขัด พลังปีศาจอ่อนแรงไม่มั่นคง น้องสาวของเขาในตอนนี้แทบไม่เหลือเค้าองค์หญิงสิบเอ็ดแห่งเผ่าปีศาจเลยสักนิด
องค์ชายสองถอนหายใจอย่างหนักหน่วงก่อนจะย่างกายไปนั่งลงข้างเตียง มือใหญ่ยื่นออกมาลูบศีรษะของอันหรานอย่างแผ่วเบา ราวกับกลัวว่าแรงเพียงนิดเดียวจะทำให้นางแตกสลาย
“สิบเอ็ด เจ้าควรห่วงตัวเองมากกว่าเด็กไร้ประโยชน์ในท้องของเจ้า” เขาพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเย็นแต่แฝงความเป็นห่วง “ฆ่าเด็กนั่นซะ”
อันหรานนิ่งงันไปครู่หนึ่งก่อนจะแสร้งคลี่ยิ้มออกมา “นั่นคือคำแรกที่ท่านใช้ทักทาย หลังจากเจอน้องสาวที่ตายแล้วฟื้นครั้งแรกหรือ?”
องค์ชายสองชะงักมือที่ลูบศีรษะไป๋อันหรานหยุดลงในเสี้ยววินาที เขาหวนนึกถึงภาพที่ตนเองโอบกอดร่างไร้วิญญาณของน้องสาว ความเจ็บปวดที่สูญเสียคนสำคัญปะทุขึ้นมาในอกทันที
อันหรานมองสบตาพี่ชาย สีแดงสดในนัยน์ตานางไหวระริก น้ำใสคลอรื้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในฐานะองค์หญิงผู้เหี้ยมโหด
“พี่สอง… ข้าเป็นเพียงแพ้ท้องธรรมดา หากอดทนอีกหน่อยคงหายดี”
“สิบเอ็ด” เขาเรียกชื่อเธอด้วยเสียงนิ่ง “เด็กคนนี้ไม่ควรอยู่ต่อ ข้าไม่อยากสูญเสียน้องสาวอีกแล้ว”
“เขาคือเด็กที่เกิดจากข้า” อันหรานโอบท้องตนเองแน่นราวกับจะปกป้อง “ท่านจะให้ข้าฆ่าลูกของตัวเอง ฆ่าหลานของท่านได้ลงหรือ?”
สายตาขององค์ชายสองสั่นวูบ เป็นเพียงเสี้ยวเดียวที่แสดงว่าเขาถูกคำพูดของน้องสาวกระแทกกลางใจ ชายหนุ่มเงียบไปครู่หนึ่งจนลมหายใจของทั้งห้องเหมือนหยุดตาม ก่อนเสียงของเขาจะเปล่งออกมา
“สิบเอ็ด เด็กคนนี้กำลังดูดพลังปีศาจของเจ้า ไอปีศาจของเจ้าบางลงทุกวัน” เขาเว้นจังหวะ “เพราะพลังของเจ้าเด็กคนนี้จะกลายเป็นปีศาจ สิบเอ็ดเจ้าก็รู้ไม่ใช่ด้วยร่างกายมนุษย์ของเจ้าหากคลอดเด็กคนนี้ออกมา ตัวเจ้าอาจจะตายได้”
อันหรานหลับตารอยยิ้มอ่อนหวานแต้มบนริมฝีปาก นางไม่ใช่คนโง่ที่ไม่รู้ว่าที่นางต้องทุกทรมานพลังปีศาจไม่มั่นคงเช่นนี้เป็นเพราะเด็กในท้องกำลังดูดพลังปีศาจของนางไป และแน่นอนว่านางก็รู้เรื่องที่หากเก็บเด็กคนนี้ไว้ตัวของนางอาจจะเป็นอันตรายได้
แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่านางจะตายไม่ใช่หรือ…
“ถึงอย่างไรข้าก็อยากเก็บเด็กคนนี้ไว้”
คำพูดสั้น ๆ นั้นทำให้ทั้งห้องกลายเป็นความเงียบว่างเปล่า องค์ชายสองเม้มปากจนเห็นกรามแน่นเป็นสัน ส่วนต้าลู่ก็แสดงสีหน้าเป็นกังวลที่ผู้เป็นนายของนางกำลังตกอยู่ในอันตราย
“พี่สอง...ข้าเป็นถึงองค์หญิงสิบเอ็ดแห่งเผ่าปีศาจนะเจ้าคะ ข้าไม่มีวันตายเพียงเพราะคลอดปีศาจเด็กหนึ่งตนหรอกเจ้าค่ะ”
องค์ชายสองที่ได้ยินเช่นนั้นคิดอย่าจะพูดโน้มน้าวน้องสาวให้เปลี่ยนใจ แต่เมื่อเห็นใบหน้าที่กำลังอ้อนวอนของร้องของนางเขาก็ถอนหายใจยาวราวระบายความเหนื่อยล้าหลายปี
“เฮ้อ… เอาเถอะสิบเอ็ดข้าจะยอมให้เจ้าสักครั้ง” เขาพูดอย่างจำนนต่อชะตาและต่อความรักที่มีต่อน้องสาว “เพียงครั้งเดียวเท่านั้น”
อันหรานคลี่ยิ้มออกมาเมื่อได้รับคำตอบที่ตนเองพอใจ แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยคำขอบคุณองค์ชายสองก็พูดต่อด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ข้าจะยอมเสียศักดิ์ศรีไปคุกเข่าอ้อนวอนท่านแม่ให้ปรุงยารักษาเจ้า” นัยน์ตาคมมองน้องสาวด้วยสายตาแฝงความห่วงใย ก่อนจะเอ่ยต่อ “ก่อนที่ข้าจะนำยากลับมา เจ้าต้องพยายามรักษาร่างมนุษย์อ่อนแอนี้ไว้ให้ดี”
อันหรานพยักหน้ากำลังจะเอ่ยขอบคุณทว่ายังไม่ทันได้เอ่ย องค์ชายสองก็สลายร่างกลายเป็นควันปีศาจหายไปกับอากาศเสียก่อน
หญิงสาวหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะถอนหายใจและเอ่ยออกมา “เฮ้อ อย่างไรเจ้าพี่โง่นี่ก็ยังพอมีประโยชน์อยู่บ้างล่ะนะ”
หลายวันต่อมายามบ่าย ภายในสวนดอกเหมยของจวนอ๋องม่อเหยียน สายลมอ่อนพัดเอื่อยพาเอากลีบดอกเหมยปลิววนอยู่ในอากาศ แสงแดดสาดส่องลอดทะลุซุ้มเถาวัลย์ลงมาตกกระทบผืนหญ้า เกิดเป็นลวดลายสะท้อนระยิบราวภาพวาด
ไป๋อันหรานนั่งบนศาลาริมสระ ใบหน้างดงามที่เคยซีดเซียวคล้ายคืนกลับมามีสีเลือดฝาด หลายวันก่อนหญิงสาวยังอาเจียนแทบหมดเรี่ยวแรงแต่ยามนี้นางดูสงบและผ่อนคลายราวกับไม่เคยป่วย
ม่อเหยียนเดินเข้ามาด้วยก้าวช้า ๆ สีหน้าของเขาหนักแน่นแต่แฝงรอยกังวล นัยน์ตาคมจับจ้องไปยังหญิงสาวเบืองหน้าสายตาแฝงไปด้วยความเป็นห่วง ไม่เคยมีวันใดเลยที่เขาไม่ได้เฝ้ามองอีกฝ่ายด้วยสายตาเช่นนี้
“อันหราน…” เสียงของเขานุ่มแต่แฝงแรงสั่นเนื้อ “สีหน้าเจ้าดูดีขึ้นนะ วันนี้ไม่อาเจียนแล้วใช่หรือไม่”
หญิงสาวหันไปมองเขา ก่อนจะยิ้มบาง ๆ ทว่าลึกในดวงตานั้นซ่อนประกายล้อเลียนและความเจ้าเล่ห์ไว้เสมอ
"อาจจะเพราะยาบำรุงที่พี่ชายต้มให้ข้าดื่ม" นางตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
โกหกทั้งเพ นางรู้ดี ที่จริงแล้วอาการดีขึ้นทั้งหมดคือผลของยาจากพี่ชายคนที่สองแห่งเผ่าปีศาจต่างหาก ยาที่ทำให้พลังปีศาจของนางกลับมามั่นคง รักษาร่างมนุษย์ให้ทนทานขึ้น และทำให้เจ้าก้อนแป้งในท้องแข็งแรงยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
นัยน์ตาคู่สวยมองชายหนุ่มเบื้องหน้าที่มีสีหน้าและแววตาดีใจ ริมฝีปากบางก็เผยรอยยิ้มพลางคิดในใจ ถือว่าคุ้มค่าที่นางโกหกว่านางหายป่วยเพราะยาบำรุงที่เขานำมาให้
เอาเถอะแค่ม่อเหยียนมีความสุขก็พอแล้ว...
“แล้ว…เจ้าก้อนแป้งยังดิ้นจนเจ้าเจ็บอยู่หรือไม่”
ม่อเหยียนถามเบา ๆ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความห่วงใย ร่างสูงก้าวเข้ามาใกล้หญิงสาวอีกเล็กน้อย สายตาของเขาลดระดับลงมาที่ท้องนูนของไป๋อันหราน
อันหรานรู้อยู่แล้วว่าชายหนุ่มต้องการสิ่งใดจากสายตาเช่นนั้น นางหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“พี่ชาย…อยากลองสัมผัสเจ้าก้อนแป้งดูไหมเจ้าคะ”
ประโยคเดียวทำให้ม่อเหยียนชะงักเหมือนมีสายฟ้าฟาดลงกลางหัวใจ เขามองนาง…ดวงตากลมสวยที่กำลังมอบรอยยิ้มนุ่มนวลให้เขา
ดวงตาคู่นั้นทำให้เขาเสียสมาธิทันที ความจริงแล้วเขาอยากสัมผัสเจ้าก้อนแป้งน้อยมาตลอด แต่ไม่เคยกล้าเอ่ย กลัวว่านางจะตีตัวออกห่างเพราะไม่ชอบให้บุรุษมายุ่งกับร่างกาย
“อะ…เอาสิ” น้ำเสียงเขาเบาแต่สั่นน้อย ๆ เหมือนกลัวว่าหากดังเกินไปความฝันนี้จะสลายหายไป
หญิงสาวลุกขึ้นช้า ๆ แล้วขยับไปยืนใกล้เขาเผื่อให้สะดวก ม่อเหยียนจึงยื่นมือที่สั่นออกไปแตะบนหน้าท้องอุ่นนุ่มของหญิงสาวแผ่วเบา
เพียงสัมผัสแรกสีหน้าของม่อเหยียนที่เคยกังวลก็เปลี่ยนไป รอยยิ้มแห่งความสุขและดีใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชายหนุ่มในทันที
“อันหราน ข้ารู้สึกได้ เจ้าก้อนแป้งดิ้นไปมาจริง ๆ”
อันหรานหัวเราะเบา ๆ พลางมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างเอ็นดู
“เจ้าก้อนแป้งคงชอบพี่ชายเจ้าค่ะ”
พูดเพียงเท่านั้น รอยยิ้มของม่อเหยียนก็กว้างขึ้นกว่าเดิม เขาโน้มตัวลงไปพลางเอียงศีรษะเล็กน้อยก่อนจะแนบหูลงบนท้องนูนลืมความนิ่งขรึมของตนจนหมดสิ้น
“ข้าชื่อม่อเหยียนนะ เจ้าอยู่ในนั้นต้องอดทนหน่อย อีกไม่กี่เดือนเจ้าก็จะได้เจอข้าและแม่ของเจ้าแล้ว”
น้ำเสียงเขานุ่มจนทำให้ลมหายใจของอันหรานสะดุดวูบ นางมองชายหนุ่มตรงหน้าผู้ที่ก้มคุยกับเด็กในท้องด้วยแววตาอ่อนโยนเหลือคณา หญิงสาวอดหวนนึกถึงอดีตชาติมิได้
นางเคยเป็นองค์หญิงสิบเอ็ด ผู้เหี้ยม โหดเหี้ยมฆ่าคนโดยไม่กะพริบตา นิ้วมือเดียวก็สามารถเด็ดชีวิตศัตรูเป็นร้อย แต่ตอนนี้กลับมีความสุขเพียงแค่ยืนมองชายมนุษย์คนหนึ่งคุยกับเด็กในท้องของนางเท่านั้น
"จริงสิข้าร่ำรวยมากเลยนะ หากเจ้าคลอดแล้ว เจ้าจะได้เป็นเด็กที่ร่ำรวยจนผู้คนต่างอิจฉาและแม่ของเจ้า...."
นางก็จะเป็นสตรีที่ข้ายกย่องและดูแลไปตลอดชีวิต ประโยคหลังม่อเหยียนเพียงคิดในไม่กล้าที่จะเอ่ยออกไป ใบหน้าคมเงยมองอันหรานที่ตอนนี้ยิ้มให้เขาเช่นกัน รอยยิ้มที่อันหรานมอบให้ทำให้ม่อเหยียนใจเต้นแรงจนเขาต้องหันไปมองทางอื่นด้วยความเขินอาย เพราะเกรงว่านางจะเห็นว่าเขาเป็นเช่นไร
ให้ตายสิข้าทำไมถึงยังไม่คุ้นชินกับรอยยิ้มที่น่าเอ็นดูของนางกัน บรรยากาศแบบนี้ ช่างเหมือนครอบครัวที่อบอุ่น พ่อแม่ลูกจริง ๆ
ม่อเหยียนสูดลมหายใจลึก ก่อนถามอีกประโยค
“ว่าแต่อันหราน…เจ้ามีสิ่งใดที่อยากได้หรือไม่ หากเจ้าอยากกินหรืออยากทำสิ่งใด ข้าย่อมจัดให้ทั้งหมด”
อันหรานที่กำลังหวนนึกถึงอดีตของตนเอง เมื่อได้ฟังคำถามก็จิตใจหลุดลอยจนเผลอหลุดความต้องการแท้จริงออกไป
“สุราโลหิต… บุตรรูปงาม… เชือกที่ใช้จับพวกเขามัดบนเตียงแล้วเสพสมอย่างพอใจ… เฮ้อ คิดถึงยามนั้นจริง ๆ”
ให้ตายสิ! ปากของข้า!
ทันทีที่คำพูดหลุดพ้นริมฝีปาก นางถึงกับชะงัก มือรีบยกขึ้นปิดปากตัวเองทันที เพราะชาติก่อนเป็นองค์หญิงแดนปีศาจนางจึงทำเรื่องเช่นนั้นจนคุ้นชิน พอมาอยู่ในร่างไป๋อันหรานก็ห่างหายไม่ได้ดื่มสุราและเสพสมกับบุรุษมานาน
ความเงียบปกคลุมสวนทันที นัยน์ตาคู่สวยมองใบหน้าคมของบุรุษเบื้องหน้าเริ่มแดงระเรือขึ้นเรื่อย ๆ อันหรานแทบจะกรีดร้องออกมาเพราะอับอาย นางโบกมือรัว ๆ ใบหน้าแดงระเรื่อเช่นกัน
“พี่ชาย ข้าล้อเล่น! ล้อเล่นนะ! พี่ชายเชื่อใช่ไหมว่า…ว่าข้าล้อเล่น!”
“อะ…อืม…ข้า…เชื่อว่าเจ้าล้อเล่น” เขาตอบช้า ๆ ทีละคำ เหมือนต้องเรียงสติกลับเข้าร่างก่อนพูด
อันหรานแทบอยากมุดดินหนี ให้พลังปีศาจสูบตัวเองหายไปเดี๋ยวนั้น แต่เมื่อเห็นท่าทางเขาทั้งเขิน ทั้งสับสน ทั้งพยายามทำตัวไม่ให้ตนเองตกใจจนเสียมารยาท นางกลับรู้สึกว่า…
น่ารักจนรู้สึกเสียดายที่ตนเข้ามาอยู่ในร่างน้องสาวของเขาแทนที่จะเป็นภรรยา...