แก้แค้นให้เจ้าก้อนแป้ง

2749 Words
ความเงียบสงบยามค่ำคืนโรยตัวปกคลุมเรือนพักอย่างอ่อนละมุน แสงตะเกียงน้ำมันตรงหัวเตียงส่องสว่างไหวระริกไปตามแรงลมที่ลอดเข้ามาทางหน้าต่าง นอกจากเสียงลมหายใจของอันหรานแล้ว เรือนทั้งหลังแทบไม่มีสิ่งใดเคลื่อนไหว ‘ข้าจะดูแลทั้งเจ้าและลูกไปตลอดชีวิต แค่เจ้าไม่หนีข้าไปอีกก็พอ’ เสียงกระซิบแผ่วเบาของม่อเหยียนดังก้องอยู่ในหัวของนาง หญิงสาวยกแขนขึ้นวางพาดเหนือหน้าผาก ดวงตาจับจ้องเพดานไม้ที่คุ้นเคยอย่างเลื่อนลอย ภาพในความทรงจำผุดขึ้นเหมือนม่านหมอกที่เริ่มแผ่คลุมจิตใจ วันที่ไป๋อันหรานตัดสินใจกระโดดลงจากสะพานเพื่อจบทุกสิ่ง นางเห็นสายตาของม่อเหยียนที่มองตามด้วยความสิ้นหวังราวกับฟ้าถล่มลงมา เขากระโดดตามไป๋อันหรานลงไปในแม่น้ำโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ท่าทีของเขาราวกับว่ายินดีตายไปพร้อมกับไป๋อันหรานด้วยซ้ำ “ม่อเหยียน หากเจ้ารู้ว่านางตายไปแล้ว เจ้าจะเสียใจมากเพียงใด” อันหรานกระซิบกับความมืดด้วยเสียงที่แฝงความกังวลบางเบา ใจของนางไม่เคยยอมรับความผูกพันกับมนุษย์ แต่เหตุใดกัน เมื่อคิดว่าเขาต้องร้องไห้เมื่อรู้ความจริง หัวใจของนางกลับเหมือนถูกบีบจนแน่น รู้สึกเจ็บปวดเสียยิ่งกว่าตอนถูกเล่นงานด้วยวิชาเหล็กเย็นของราชาปีศาจเสียอีก เสียงลมกรูเข้ามาอย่างแรง ประตูไม้ก็เปิดออกโดยไร้ผู้แตะต้อง ก่อนที่เงาร่างหนึ่งจะก้าวออกมาจากความมืดยามราตรีอย่างเงียบงัน “องค์หญิง ท่านจะกลับแดนปีศาจเลยไหมเพคะ” เสียงของต้าลู่ ผู้ติดตามคนสนิท และมือขวาที่ไป๋อันหรานไว้วางใจที่สุดดังขึ้นแผ่วเบา แต่ท่าทีของนางกลับดูร้อนรนยิ่งกว่าปกติ อันหรานถอนหายใจยกมือขึ้นนวดขมับอย่างอ่อนล้า “กลับเลยหรือ?” นางทวนคำ “ต้าลู่ เจ้าไม่เข้าใจหัวใจมนุษย์ พวกเขาเปราะบางกว่าที่เจ้าคิด หากข้าจากไปในตอนนี้ ข้าเกรงว่าม่อเหยียนอาจจะเสียสติไปเลยก็ได้” ต้าลู่นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนถามต่อด้วยน้ำเสียงที่เบาลง “เช่นนั้น ท่านคิดจะอยู่ต่อหรือ?” “อยู่เที่ยวเล่นในโลกมนุษย์สักหน่อยก็ไม่เลว” อันหรานเหยียดยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ “ท่านพี่คงไม่ว่าอะไรข้าหรอก อีกอย่าง…เด็กในท้องนี่ ยังไงก็ต้องรอให้คลอดเสียก่อนถึงจะกลับได้” ต้าลู่มองท้องขององค์หญิงอย่างเกรงใจ “เพคะ คือว่า…” อันหรานปรายตามองอย่างเฉียบคม “เจ้ามีอะไรก็พูดมา ไม่ต้องกลัว” ต้าลู่กลืนน้ำลายก่อนเอ่ยอย่างระมัดระวัง “นายบำเรอลำดับหกสิบแปดผู้ที่เคยเป็นคนโปรดขององค์หญิง ข้าพบว่าเขาแอบมีสัมพันธ์กับปีศาจนกเพคะ” ทันทีที่คำว่าแอบมีสัมพันธ์หลุดออกมา ดวงตาแดงของอันหรานก็แวบวาวขึ้นราวกับมีเปลวเพลิงวิญญาณส่องประกาย นางเหยียดหลังตรงขึ้นจากหมอนที่พิงอยู่ ความเย็นเยียบแผ่กระจายไปทั่วห้องราวอากาศกำลังถูกแช่แข็ง ริมฝีปากของนางยกขึ้นเป็นรอยยิ้มบาง รอยยิ้มที่ทั้งหวานและอันตรายอย่างยิ่ง “เลี้ยงไม่เชื่องเสียจริง…” นางพึมพำด้วยน้ำเสียงเยาะหยัน “ดูท่าเขาจะลืมไปว่าข้าให้ชีวิตและความโปรดปรานแก่เขามากเพียงใด” ต้าลู่รีบคุกเข่ารอรับคำสั่ง เนื้อตัวสั่นเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะความกลัวต่อโทสะขององค์หญิง แต่เพราะรับรู้ถึงพลังปีศาจที่ปะทุขึ้นอย่างไม่อาจควบคุม “ต้าลู่” อันหรานหันมามอง ขณะนัยน์ตาสีแดงวาวกำลังเรืองขึ้นช้า ๆ “ในเมื่อดวงตาของเขามองไปหาอย่างอื่นที่ไม่ใช่ข้า เช่นนั้นก็ควักมันออกมาเสียเถิด ดวงตาที่ใช้ไม่ได้ ก็ไม่มีเหตุผลให้เก็บไว้” น้ำเสียงของนางราบเรียบ แต่แฝงความเหี้ยมเกรียมอย่างยากหาผู้ใดเทียบ ต้าลู่พยักหน้าอย่างยอมรับแต่ก็ยังถามอย่างลังเล “แล้ว…ปีศาจนกผู้นั้นเล่าเพคะ?” อันหรานหัวเราะเบา ๆ ราวกับเรื่องทั้งหมดเป็นเกมฆ่าเวลาที่นางเพลิดเพลินเสียเหลือเกิน “ในเมื่อนางชื่นชอบของของข้านัก ก็จงหักปีกให้นาง แล้วมอบชายคนนั้นให้ไปอยู่กับนางตลอดชีวิตเสียถือว่าเป็นของขวัญจากข้า” ต้าลู่เงยหน้ามองด้วยสีหน้าประหลาดใจ “เพคะ? ง่ายเพียงนี้เลยหรือเพคะ?” ปกติองค์หญิงของนางไม่เคยปล่อยผู้ทรยศไว้ แม้กระทั่งเงายังไม่อาจเหยียบแดนปีศาจได้แต่คราวนี้กลับใจดีอย่างน่าประหลาด อันหรานหันมามอง สายตาคมเฉียบราวใบมีด “ต้าลู่ เจ้าอยู่รับใช้ข้ามาหลายปีเหตุใดถึงยังไม่เข้าใจอีก” นางถามเสียงเย็นเยียบ “นกที่ไร้ปีก ก็เป็นเพียงนกไร้ประโยชน์ ชายตาบอดก็ไม่ต่างกัน สองสิ่งที่ไร้ค่ามาคู่กันช่างเหมาะสมยิ่งนัก” ดวงตาสีแดงเข้มของนางเรืองแสงขึ้นทีละน้อย ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบที่ทำให้สยองไปถึงสันหลัง “อีกอย่าง....เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าพี่ชายของข้าจะยอมปล่อยให้ผู้ที่ทรยศข้าไปอย่างสงบสุข” ต้าลู่เบิกตาเล็กน้อย ก่อนค่อย ๆ ยิ้มออกมาด้วยความภาคภูมิใจ ดวงตาเป็นประกายเหมือนย้อนรำลึกว่าองค์หญิงของนางเป็นใคร ใช่แล้ว…นี่แหละคือองค์หญิงปีศาจที่แท้จริง นางอาจอยู่ในร่างมนุษย์ แต่จิตใจและอำนาจยังคงเป็นเจ้าแห่งหุบเหวอเวจี อัจฉริยะด้านวางแผนการหลอกใช้ผู้อื่นและลงทัณฑ์ทรยศอย่างแยบยล ต้าลู่ก้มหน้าเคารพทันที “ข้าเข้าใจแล้วเพคะ” อันหรานเอนหลังพิงหมอน ใบหน้างดงามมีรอยยิ้มเย็นเยียบประดับ หัวใจมนุษย์ของนางอาจทำให้ลังเลเรื่องของม่อเหยียน แต่สำหรับผู้อื่นที่กล้าหักหลังนางหรือเหยียบศักดิ์ศรีของนาง นางจะไม่มีวันปราณีพวกมันเป็นอันขาด หลายวันผ่านไปอย่างเงียบสงบ ฤดูหนาวเริ่มคืบคลานเข้ามาทุกค่ำคืน ท้องฟ้าในยามเช้าปกคลุมด้วยม่านหมอกบางสีขาวขุ่นราวปุยสำลีที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่เหนือหลังคาเรือนทั้งหลาย ลมหนาวพัดพากลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกไม้จากสวนหลังเรือนให้ลอยวนเข้ามาปะทะปลายจมูกของอันหราน ร่างบางนั่งอยู่ใต้ศาลาไม้ ใช้มือแกว่งช้า ๆ ในอากาศเพื่อไล่กลีบดอกไม้ที่ปลิวลงมา เป็นความสงบที่นางไม่เคยสัมผัสมาก่อน สงบจนเกือบทำให้นางลืมไปว่าตนเป็นปีศาจที่ครั้งหนึ่งเคยสนุกกับการทรมานผู้อื่น เสียงฝีเท้าหนึ่งดังขึ้นจากทางเดินกรวดพร้อมกับประโยคที่ดังขึ้นอย่างร่าเริงจนผิดวิสัยขุนนางผู้สงบเยือกเย็น “อันหราน เจ้าดูสิ!” ม่อเหยียนในชุดขุนนางสีเข้มก้าวเข้ามาในศาลา ใบหน้าของเขาเจือรอยยิ้มสดใสอย่างที่ไม่ค่อยเห็นบ่อยนัก เขาถือบางสิ่งไว้ในมือเมื่อเข้าใกล้จนพอเห็นได้ชัด อันหรานถึงกับยกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “อีกแล้วหรือ…” อันหรานพึมพำแผ่วเบา นี่นับเป็นชิ้นที่เท่าไหร่กันในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ทั้งเสื้อผ้า ผ้าอ้อม ของเล่น และตอนนี้ก็รองเท้าอีกคู่ ม่อเหยียนยื่นมือตรงเข้ามาเหมือนเด็กที่อยากอวดของเล่นใหม่ “ข้ารับรองเจ้าก้อนแป้งของพวกเรา ถ้าใส่คู่นี้ไม่มีวันเจ็บเท้าแน่นอน” น้ำเสียงเขานุ่มจนฟังแล้วเหมือนละอองหิมะกำลังละลายบนผิว อันหรานกลั้นขำพลางส่ายหน้าเบา ๆ “เจ้าก้อนแป้งคงถูกพี่ชายตามใจจนเสียคนแน่ ๆ ว่าแต่วันนี้ท่านกลับมาเร็วนะเจ้าค่ะ” “อืม” ม่อเหยียนวางรองเท้าคู่นั้นลงบนโต๊ะหินข้างศาลา แล้วนั่งลงตรงข้ามนาง “ข้าไม่อยากให้เจ้ากับลูกเหงา หากกลับมาเร็วเจ้ายังมีเพื่อนคุย” อันหรานมองเขาอย่างเงียบงันพักหนึ่ง สายตาค่อย ๆ อ่อนลงหลายวันมานี้นางตัดสินใจแล้วว่าจะใช้ชีวิตเป็นไป๋อันหรานอยู่เป็นเพื่อนม่อเหยียน ตอบแทนหญิงสาวที่ยอมสละร่างกายให้วิญญาณของนางเข้ามาอาศัย นางตั้งใจว่าจะอยู่ดูแลพี่ชายของอีกฝ่ายจนนาทีสุดท้ายในชีวิตของเขา และเมื่อนึกถึงคำว่าตอบแทนนางก็จำบางเรื่องขึ้นมาได้ อันหรานเอนหลังเล็กน้อย ก่อนเอ่ยเสียงนุ่ม “พี่ชาย ข้าอยากไปจวนตระกูลชุนเจ้าค่ะ” คำพูดนั้นทำให้บรรยากาศอุ่นสบายราวแดดอ่อนของฤดูหนาวหยุดลงราวกับโดนน้ำแข็งสาดใส่ ม่อเหยียนที่กำลังจะหยิบรองเท้ามาดูอีกรอบชะงัก เขาหันมามองนางอย่างช้า ๆ ดวงตาคู่นั้นที่เคยอ่อนโยนราวทะเลสาบพลันแข็งกร้าวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “อันหราน” เสียงเขาแผ่วลง แต่แฝงประกายกังวลลึก “พี่ตามใจเจ้าทุกเรื่องแต่เรื่องนี้” เขาพูดช้า ๆ ทีละคำ ราวกลัวว่าเธอจะไม่ยอมฟัง “ไม่ได้” “แต่ว่า….” ม่อเหยียนยืนขึ้นก่อนที่นางจะพูดจบ การเคลื่อนไหวของเขาเด็ดขาดเกินกว่าจะเถียงต่อได้ เขาไม่มองหน้า ไม่พูดอะไรอีก เพียงหมุนตัวแล้วเดินออกไปจากศาลาอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าหากเขาอยู่ต่ออีกเพียงลมหายใจเดียวก็อาจจะทำให้เขาใจอ่อน เสียงฝีเท้าของเขาจางลงเรื่อย ๆ จนอันหรานเหลือเพียงเสียงลมหนาวพัดผ่านใบเหมยร่วงกราว นางเท้าคางบนหลังมือจ้องแผ่นหลังที่ไกลออกไปอย่างชั่งใจ ความเงียบปกคลุมบริเวณนั้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่นางจะเอ่ยเสียงเบาราวกระซิบ “ต้าลู่” เพียงพริบตา ลมเย็นก็หมุนวนในศาลา ร่างของต้าลู่ปรากฏขึ้นคุกเข่าอยู่ตรงหน้าของอันหรานราวกับรอรับคำสั่งจากผู้เป็นนาย “เพคะ องค์หญิง” อันหรานยกนิ้วแตะโต๊ะหินเบา ๆ นัยน์ตาสีดำสนิทเปลี่ยนเป็นแดงเรื่อราวแสงเลือดในคืนจันทร์ดับ “ยาที่ข้าให้เจ้านำมาจากแดนปีศาจ เห็นทีต้องใช้ได้แล้ว” เสียงของนางนุ่ม แต่ความเย็นเยียบแผ่ซ่านจนต้นไม้รอบศาลาไหวระริกเหมือนรับรู้ถึงพลังมืดที่เจ้าของมันกำลังกระตุ้น ต้าลู่เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย “เพคะองค์หญิง ข้าจะไปจัดเดี๋ยวนี้” หลังจากได้รับคำสั่งร่างของต้าลู่ก็สลายไปในสายลม ไม่มีคำถาม ไม่มีความลังเล มีเพียงการเชื่อฟังคำสั่งของเจ้านายแต่เพียงผู้เดียว บรรยากาศกลับสู่ความเงียบอีกครั้ง อันหรานยื่นมือลงแตะท้องของตนเองลูบอย่างแผ่วเบาราวปลอบประโลมทารกในครรภ์ ริมฝีปากนางโค้งขึ้นช้า ๆ เป็นรอยยิ้มที่งดงามราวดอกเหมยยามบานแต่แฝงความดุดันของหนามพิษ “เด็กน้อย…” น้ำเสียงของนางทั้งหวานทั้งเยียบเย็น “ข้าแก้แค้นแทนเจ้าแล้ว” นิ้วเรียวลากผ่านหน้าท้องอย่างรักใคร่ แต่คำพูดกลับเต็มไปด้วยดวงไฟเลือดที่ลุกโชนในดวงตา “สวะเช่นพ่อของเจ้า เมื่อมันไม่อยากมีบุตร…” อันหรานหัวเราะเบา ๆ “ข้าก็จะทำให้มันสมใจเสียเลย” ลมหนาวพัดผ่านกลีบเหมยปลิววนรอบนาง อันหรานหลับตาลงอย่างสงบ ในหัวมีเพียงความคิดเดียวถึงเวลาที่นางจะทำให้บุรุษสวะนั่นรับกรรมที่ก่อไว้แล้ว หลายเดือนผ่านไป เสียงลมหนาวพัดส่วนปลายของยอดสนให้เสียดสีกันดังครืดคราด บรรยากาศโดยรอบจวนตระกูลชุนหนักอึ้งเช่นเดียวกับความหวาดหวั่นที่เกาะกินใจของทุกคนในบ้านหลังนี้ เรือนพักของคุณชายมู่หยางเงียบสงัดจนแม้แต่เสียงถอนหายใจยังดังสะท้อนไปทั่วห้อง กลิ่นยาสมุนไพรที่ถูกต้มจนข้นติดอยู่ในอากาศอย่างไม่จางหาย ทำให้ห้องทั้งห้องอบอวลด้วยกลิ่นขมที่ชวนให้อึดอัด เครื่องเรือนไม้ที่เคยดูสง่างามกลับดูหม่นหมองลงเมื่อถูกปกคลุมด้วยความเงียบและความสิ้นหวัง บนเตียงนอน มู่หยางนั่งพิงหมอนสูง ใบหน้าซีดเซียว ดวงตาที่เคยคมกริบของเขาบัดนี้แฝงด้วยความเหน็ดเหนื่อยและโทสะที่สะสมอยู่ในทรวงอกเป็นเวลานาน ท่านหมอผู้สูงวัยนั่งลงข้างเตียงมือจับชีพจรอย่างละเอียด มือเหี่ยวย่นสั่นเล็กน้อยเพราะอากาศที่เย็นจัด แต่สายตากลับมั่นคงเพราะผ่านการรักษาผู้ป่วยมาหลายสิบปี ทว่าเมื่อเขาปล่อยข้อมือของมู่หยางลง สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นความเคร่งเครียดที่ปิดไม่มิด “บุตรชายข้าเป็นอย่างไรบ้าง ท่านหมอ…พอมีหวังหรือไม่” เสียงของมารดามู่หยางสั่นปนความหวาดกลัว นางยืนอยู่หัวเตียง ดวงตาแดงก่ำเพราะทั้งคืนไม่ได้หลับ เดิมนางเป็นสตรีที่ภูมิฐาน แต่หลายเดือนมานี้ความกังวลทำให้นางดูราวกับแก่ลงหลายปี ท่านหมอถอนหายใจยาวอย่างหนักใจ ก่อนส่ายหัวช้า ๆ ราวกับไม่อยากทำร้ายความรู้สึกของผู้เป็นแม่ แต่ก็ไม่อาจโกหกความจริงได้อีกต่อไป “ฮูหยินเกรงว่าคุณชายจะไม่สามารถกลับมาเป็นปกติได้แล้วขอรับ” “หมายความว่าอย่างไรท่านหมอ!” เสียงนางสูงขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ นิ้วมือกำชายเสื้อแน่นจนปลายเล็บขาวซีด ท่านหมอโค้งคำนับเล็กน้อย ก่อนพูดด้วยเสียงหนัก “หลายเดือนมานี้ข้าเฝ้ารักษาอย่างเต็มความสามารถ แต่คุณชายมู่หยางร่างกายอ่อนกำลังลงเรื่อย ๆ และที่สำคัญ…” เขาหยุดไปเล็กน้อยราวกับลังเลว่าจะกล่าวต่อดีหรือไม่ “คุณชายไม่อาจมีบุตรได้อีกแล้วขอรับ ท่านควรรับเด็กจากข้างนอกมาเลี้ยงสักคน เพื่อสืบสายตระกูลจะดีกว่า” คำพูดนั้นเหมือนฟ้าผ่ากลางใจมู่หยาง เขาเงยหน้าขึ้นทันที โทสะแล่นปราดขึ้นไปยังดวงตาของเขาอย่างรุนแรง “สวะ! เจ้าพูดอะไรของเจ้า ข้ายังแข็งแรงดีอยู่!” เสียงตะโกนของเขาแหบพร่าจนสะท้อนความอ่อนแอของร่างกายออกมาโดยไม่ตั้งใจ แต่ยิ่งตะโกนก็ยิ่งเผยให้เห็นว่าภายในใจของเขาสั่นคลอนเพียงใด หลายเดือนมานี้ เขาพยายามมีบุตรกับเจินเจิน สตรีที่เขาเลือกเข้ามาเป็นภรรยาโดยเชื่อว่านางเหมาะสมกว่าใคร แต่ไม่ว่าจะพยายามมากเพียงใด นางก็ไม่ตั้งครรภ์สักครั้ง ยิ่งไปกว่านั้น ร่างกายของเขายังทรุดลงเรื่อย ๆ ราวกับถูกสูบพลังชีวิตทีละน้อย ไม่อาจมีบุตรได้? เป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน! “ร่างกายของคุณชายมันบ่งชี้เช่นนั้นขอรับ หากท่านไม่เชื่อ ข้าก็ไม่อาจทำอะไรได้มากกว่านี้ ข้าขอตัว” ท่านหมอประสานมือคำนับอย่างสุภาพ ก่อนเดินออกจากห้องไปท่ามกลางสายตาโกรธเกรี้ยวของมู่หยาง เมื่อประตูปิดลงเสียงถ้วยชามกระแทกพื้นก็ดังตามมา “ไอ้หมอไร้ประโยชน์!!” มู่หยางปาถ้วยยาวางข้างเตียงจนแตกกระจาย เศษถ้วยกระเด็นไปทั่วพื้น แต่เขาไม่สนใจแม้แต่น้อย เขาหอบหายใจถี่รัวราวกับสัตว์ป่าที่ถูกต้อนจนจนมุม มารดาของเขามองสภาพบุตรชายด้วยหัวใจบีบแน่น นางก้าวเข้ามานั่งข้างเตียง ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวมู่หยางช้า ๆ แม้เขาจะยังคงหงุดหงิดแต่ก็ไม่อาจผลักนางออกได้เพราะเรี่ยวแรงแทบหายไปเกือบหมด “มู่หยาง…” นางเรียกเขาด้วยเสียงอ่อนล้า “ท่านแม่ ข้าบอกแล้วว่าข้าแข็งแรงดี!” เขาตอบกลับทันที แต่เสียงกลับแผ่วลงในตอนท้ายราวกับไร้เรี่ยวแรงจะโต้เถียงอีกต่อไป มารดาขยับมือจับแขนของเขาเบา ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นขึ้น “พอได้แล้ว…เจ้าจะแข็งแรงได้เช่นไร ในเมื่อเจ้าแต่งเจินเจินเข้ามาตั้งนาน แต่ไม่มีทีท่าว่านางจะตั้งครรภ์บุตรของเจ้าเลยสักคน” มู่หยางกัดฟันแน่น ใบหน้าซีดเผือดของเขาบิดเบี้ยวด้วยความคับแค้น “ข้าจะเป็นหมันได้เช่นไร! ในเมื่อในตอนนั้นอันหรานนางเคยตั้งครรภ์บุตรของข้า!”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD