ความเงียบสงบยามค่ำคืนโรยตัวปกคลุมเรือนพักอย่างอ่อนละมุน แสงตะเกียงน้ำมันตรงหัวเตียงส่องสว่างไหวระริกไปตามแรงลมที่ลอดเข้ามาทางหน้าต่าง นอกจากเสียงลมหายใจของอันหรานแล้ว เรือนทั้งหลังแทบไม่มีสิ่งใดเคลื่อนไหว
‘ข้าจะดูแลทั้งเจ้าและลูกไปตลอดชีวิต แค่เจ้าไม่หนีข้าไปอีกก็พอ’
เสียงกระซิบแผ่วเบาของม่อเหยียนดังก้องอยู่ในหัวของนาง หญิงสาวยกแขนขึ้นวางพาดเหนือหน้าผาก ดวงตาจับจ้องเพดานไม้ที่คุ้นเคยอย่างเลื่อนลอย ภาพในความทรงจำผุดขึ้นเหมือนม่านหมอกที่เริ่มแผ่คลุมจิตใจ
วันที่ไป๋อันหรานตัดสินใจกระโดดลงจากสะพานเพื่อจบทุกสิ่ง นางเห็นสายตาของม่อเหยียนที่มองตามด้วยความสิ้นหวังราวกับฟ้าถล่มลงมา เขากระโดดตามไป๋อันหรานลงไปในแม่น้ำโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ท่าทีของเขาราวกับว่ายินดีตายไปพร้อมกับไป๋อันหรานด้วยซ้ำ
“ม่อเหยียน หากเจ้ารู้ว่านางตายไปแล้ว เจ้าจะเสียใจมากเพียงใด”
อันหรานกระซิบกับความมืดด้วยเสียงที่แฝงความกังวลบางเบา ใจของนางไม่เคยยอมรับความผูกพันกับมนุษย์ แต่เหตุใดกัน เมื่อคิดว่าเขาต้องร้องไห้เมื่อรู้ความจริง หัวใจของนางกลับเหมือนถูกบีบจนแน่น รู้สึกเจ็บปวดเสียยิ่งกว่าตอนถูกเล่นงานด้วยวิชาเหล็กเย็นของราชาปีศาจเสียอีก
เสียงลมกรูเข้ามาอย่างแรง ประตูไม้ก็เปิดออกโดยไร้ผู้แตะต้อง ก่อนที่เงาร่างหนึ่งจะก้าวออกมาจากความมืดยามราตรีอย่างเงียบงัน
“องค์หญิง ท่านจะกลับแดนปีศาจเลยไหมเพคะ”
เสียงของต้าลู่ ผู้ติดตามคนสนิท และมือขวาที่ไป๋อันหรานไว้วางใจที่สุดดังขึ้นแผ่วเบา แต่ท่าทีของนางกลับดูร้อนรนยิ่งกว่าปกติ
อันหรานถอนหายใจยกมือขึ้นนวดขมับอย่างอ่อนล้า
“กลับเลยหรือ?” นางทวนคำ “ต้าลู่ เจ้าไม่เข้าใจหัวใจมนุษย์ พวกเขาเปราะบางกว่าที่เจ้าคิด หากข้าจากไปในตอนนี้ ข้าเกรงว่าม่อเหยียนอาจจะเสียสติไปเลยก็ได้”
ต้าลู่นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนถามต่อด้วยน้ำเสียงที่เบาลง “เช่นนั้น ท่านคิดจะอยู่ต่อหรือ?”
“อยู่เที่ยวเล่นในโลกมนุษย์สักหน่อยก็ไม่เลว” อันหรานเหยียดยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ “ท่านพี่คงไม่ว่าอะไรข้าหรอก อีกอย่าง…เด็กในท้องนี่ ยังไงก็ต้องรอให้คลอดเสียก่อนถึงจะกลับได้”
ต้าลู่มองท้องขององค์หญิงอย่างเกรงใจ “เพคะ คือว่า…”
อันหรานปรายตามองอย่างเฉียบคม “เจ้ามีอะไรก็พูดมา ไม่ต้องกลัว”
ต้าลู่กลืนน้ำลายก่อนเอ่ยอย่างระมัดระวัง
“นายบำเรอลำดับหกสิบแปดผู้ที่เคยเป็นคนโปรดขององค์หญิง ข้าพบว่าเขาแอบมีสัมพันธ์กับปีศาจนกเพคะ”
ทันทีที่คำว่าแอบมีสัมพันธ์หลุดออกมา ดวงตาแดงของอันหรานก็แวบวาวขึ้นราวกับมีเปลวเพลิงวิญญาณส่องประกาย นางเหยียดหลังตรงขึ้นจากหมอนที่พิงอยู่ ความเย็นเยียบแผ่กระจายไปทั่วห้องราวอากาศกำลังถูกแช่แข็ง
ริมฝีปากของนางยกขึ้นเป็นรอยยิ้มบาง รอยยิ้มที่ทั้งหวานและอันตรายอย่างยิ่ง
“เลี้ยงไม่เชื่องเสียจริง…” นางพึมพำด้วยน้ำเสียงเยาะหยัน “ดูท่าเขาจะลืมไปว่าข้าให้ชีวิตและความโปรดปรานแก่เขามากเพียงใด”
ต้าลู่รีบคุกเข่ารอรับคำสั่ง เนื้อตัวสั่นเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะความกลัวต่อโทสะขององค์หญิง แต่เพราะรับรู้ถึงพลังปีศาจที่ปะทุขึ้นอย่างไม่อาจควบคุม
“ต้าลู่” อันหรานหันมามอง ขณะนัยน์ตาสีแดงวาวกำลังเรืองขึ้นช้า ๆ “ในเมื่อดวงตาของเขามองไปหาอย่างอื่นที่ไม่ใช่ข้า เช่นนั้นก็ควักมันออกมาเสียเถิด ดวงตาที่ใช้ไม่ได้ ก็ไม่มีเหตุผลให้เก็บไว้”
น้ำเสียงของนางราบเรียบ แต่แฝงความเหี้ยมเกรียมอย่างยากหาผู้ใดเทียบ ต้าลู่พยักหน้าอย่างยอมรับแต่ก็ยังถามอย่างลังเล
“แล้ว…ปีศาจนกผู้นั้นเล่าเพคะ?”
อันหรานหัวเราะเบา ๆ ราวกับเรื่องทั้งหมดเป็นเกมฆ่าเวลาที่นางเพลิดเพลินเสียเหลือเกิน
“ในเมื่อนางชื่นชอบของของข้านัก ก็จงหักปีกให้นาง แล้วมอบชายคนนั้นให้ไปอยู่กับนางตลอดชีวิตเสียถือว่าเป็นของขวัญจากข้า”
ต้าลู่เงยหน้ามองด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“เพคะ? ง่ายเพียงนี้เลยหรือเพคะ?”
ปกติองค์หญิงของนางไม่เคยปล่อยผู้ทรยศไว้ แม้กระทั่งเงายังไม่อาจเหยียบแดนปีศาจได้แต่คราวนี้กลับใจดีอย่างน่าประหลาด
อันหรานหันมามอง สายตาคมเฉียบราวใบมีด
“ต้าลู่ เจ้าอยู่รับใช้ข้ามาหลายปีเหตุใดถึงยังไม่เข้าใจอีก” นางถามเสียงเย็นเยียบ “นกที่ไร้ปีก ก็เป็นเพียงนกไร้ประโยชน์ ชายตาบอดก็ไม่ต่างกัน สองสิ่งที่ไร้ค่ามาคู่กันช่างเหมาะสมยิ่งนัก”
ดวงตาสีแดงเข้มของนางเรืองแสงขึ้นทีละน้อย ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบที่ทำให้สยองไปถึงสันหลัง
“อีกอย่าง....เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าพี่ชายของข้าจะยอมปล่อยให้ผู้ที่ทรยศข้าไปอย่างสงบสุข”
ต้าลู่เบิกตาเล็กน้อย ก่อนค่อย ๆ ยิ้มออกมาด้วยความภาคภูมิใจ ดวงตาเป็นประกายเหมือนย้อนรำลึกว่าองค์หญิงของนางเป็นใคร
ใช่แล้ว…นี่แหละคือองค์หญิงปีศาจที่แท้จริง
นางอาจอยู่ในร่างมนุษย์ แต่จิตใจและอำนาจยังคงเป็นเจ้าแห่งหุบเหวอเวจี
อัจฉริยะด้านวางแผนการหลอกใช้ผู้อื่นและลงทัณฑ์ทรยศอย่างแยบยล
ต้าลู่ก้มหน้าเคารพทันที “ข้าเข้าใจแล้วเพคะ”
อันหรานเอนหลังพิงหมอน ใบหน้างดงามมีรอยยิ้มเย็นเยียบประดับ หัวใจมนุษย์ของนางอาจทำให้ลังเลเรื่องของม่อเหยียน แต่สำหรับผู้อื่นที่กล้าหักหลังนางหรือเหยียบศักดิ์ศรีของนาง
นางจะไม่มีวันปราณีพวกมันเป็นอันขาด
หลายวันผ่านไปอย่างเงียบสงบ ฤดูหนาวเริ่มคืบคลานเข้ามาทุกค่ำคืน ท้องฟ้าในยามเช้าปกคลุมด้วยม่านหมอกบางสีขาวขุ่นราวปุยสำลีที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่เหนือหลังคาเรือนทั้งหลาย ลมหนาวพัดพากลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกไม้จากสวนหลังเรือนให้ลอยวนเข้ามาปะทะปลายจมูกของอันหราน ร่างบางนั่งอยู่ใต้ศาลาไม้ ใช้มือแกว่งช้า ๆ ในอากาศเพื่อไล่กลีบดอกไม้ที่ปลิวลงมา
เป็นความสงบที่นางไม่เคยสัมผัสมาก่อน สงบจนเกือบทำให้นางลืมไปว่าตนเป็นปีศาจที่ครั้งหนึ่งเคยสนุกกับการทรมานผู้อื่น เสียงฝีเท้าหนึ่งดังขึ้นจากทางเดินกรวดพร้อมกับประโยคที่ดังขึ้นอย่างร่าเริงจนผิดวิสัยขุนนางผู้สงบเยือกเย็น
“อันหราน เจ้าดูสิ!”
ม่อเหยียนในชุดขุนนางสีเข้มก้าวเข้ามาในศาลา ใบหน้าของเขาเจือรอยยิ้มสดใสอย่างที่ไม่ค่อยเห็นบ่อยนัก เขาถือบางสิ่งไว้ในมือเมื่อเข้าใกล้จนพอเห็นได้ชัด อันหรานถึงกับยกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“อีกแล้วหรือ…” อันหรานพึมพำแผ่วเบา นี่นับเป็นชิ้นที่เท่าไหร่กันในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ทั้งเสื้อผ้า ผ้าอ้อม ของเล่น และตอนนี้ก็รองเท้าอีกคู่
ม่อเหยียนยื่นมือตรงเข้ามาเหมือนเด็กที่อยากอวดของเล่นใหม่
“ข้ารับรองเจ้าก้อนแป้งของพวกเรา ถ้าใส่คู่นี้ไม่มีวันเจ็บเท้าแน่นอน” น้ำเสียงเขานุ่มจนฟังแล้วเหมือนละอองหิมะกำลังละลายบนผิว
อันหรานกลั้นขำพลางส่ายหน้าเบา ๆ “เจ้าก้อนแป้งคงถูกพี่ชายตามใจจนเสียคนแน่ ๆ ว่าแต่วันนี้ท่านกลับมาเร็วนะเจ้าค่ะ”
“อืม” ม่อเหยียนวางรองเท้าคู่นั้นลงบนโต๊ะหินข้างศาลา แล้วนั่งลงตรงข้ามนาง “ข้าไม่อยากให้เจ้ากับลูกเหงา หากกลับมาเร็วเจ้ายังมีเพื่อนคุย”
อันหรานมองเขาอย่างเงียบงันพักหนึ่ง สายตาค่อย ๆ อ่อนลงหลายวันมานี้นางตัดสินใจแล้วว่าจะใช้ชีวิตเป็นไป๋อันหรานอยู่เป็นเพื่อนม่อเหยียน ตอบแทนหญิงสาวที่ยอมสละร่างกายให้วิญญาณของนางเข้ามาอาศัย นางตั้งใจว่าจะอยู่ดูแลพี่ชายของอีกฝ่ายจนนาทีสุดท้ายในชีวิตของเขา
และเมื่อนึกถึงคำว่าตอบแทนนางก็จำบางเรื่องขึ้นมาได้
อันหรานเอนหลังเล็กน้อย ก่อนเอ่ยเสียงนุ่ม
“พี่ชาย ข้าอยากไปจวนตระกูลชุนเจ้าค่ะ”
คำพูดนั้นทำให้บรรยากาศอุ่นสบายราวแดดอ่อนของฤดูหนาวหยุดลงราวกับโดนน้ำแข็งสาดใส่ ม่อเหยียนที่กำลังจะหยิบรองเท้ามาดูอีกรอบชะงัก เขาหันมามองนางอย่างช้า ๆ ดวงตาคู่นั้นที่เคยอ่อนโยนราวทะเลสาบพลันแข็งกร้าวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“อันหราน” เสียงเขาแผ่วลง แต่แฝงประกายกังวลลึก
“พี่ตามใจเจ้าทุกเรื่องแต่เรื่องนี้” เขาพูดช้า ๆ ทีละคำ ราวกลัวว่าเธอจะไม่ยอมฟัง “ไม่ได้”
“แต่ว่า….”
ม่อเหยียนยืนขึ้นก่อนที่นางจะพูดจบ การเคลื่อนไหวของเขาเด็ดขาดเกินกว่าจะเถียงต่อได้ เขาไม่มองหน้า ไม่พูดอะไรอีก เพียงหมุนตัวแล้วเดินออกไปจากศาลาอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าหากเขาอยู่ต่ออีกเพียงลมหายใจเดียวก็อาจจะทำให้เขาใจอ่อน
เสียงฝีเท้าของเขาจางลงเรื่อย ๆ จนอันหรานเหลือเพียงเสียงลมหนาวพัดผ่านใบเหมยร่วงกราว นางเท้าคางบนหลังมือจ้องแผ่นหลังที่ไกลออกไปอย่างชั่งใจ ความเงียบปกคลุมบริเวณนั้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่นางจะเอ่ยเสียงเบาราวกระซิบ
“ต้าลู่”
เพียงพริบตา ลมเย็นก็หมุนวนในศาลา ร่างของต้าลู่ปรากฏขึ้นคุกเข่าอยู่ตรงหน้าของอันหรานราวกับรอรับคำสั่งจากผู้เป็นนาย
“เพคะ องค์หญิง”
อันหรานยกนิ้วแตะโต๊ะหินเบา ๆ นัยน์ตาสีดำสนิทเปลี่ยนเป็นแดงเรื่อราวแสงเลือดในคืนจันทร์ดับ
“ยาที่ข้าให้เจ้านำมาจากแดนปีศาจ เห็นทีต้องใช้ได้แล้ว”
เสียงของนางนุ่ม แต่ความเย็นเยียบแผ่ซ่านจนต้นไม้รอบศาลาไหวระริกเหมือนรับรู้ถึงพลังมืดที่เจ้าของมันกำลังกระตุ้น
ต้าลู่เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย “เพคะองค์หญิง ข้าจะไปจัดเดี๋ยวนี้”
หลังจากได้รับคำสั่งร่างของต้าลู่ก็สลายไปในสายลม ไม่มีคำถาม ไม่มีความลังเล มีเพียงการเชื่อฟังคำสั่งของเจ้านายแต่เพียงผู้เดียว
บรรยากาศกลับสู่ความเงียบอีกครั้ง อันหรานยื่นมือลงแตะท้องของตนเองลูบอย่างแผ่วเบาราวปลอบประโลมทารกในครรภ์ ริมฝีปากนางโค้งขึ้นช้า ๆ เป็นรอยยิ้มที่งดงามราวดอกเหมยยามบานแต่แฝงความดุดันของหนามพิษ
“เด็กน้อย…” น้ำเสียงของนางทั้งหวานทั้งเยียบเย็น “ข้าแก้แค้นแทนเจ้าแล้ว”
นิ้วเรียวลากผ่านหน้าท้องอย่างรักใคร่ แต่คำพูดกลับเต็มไปด้วยดวงไฟเลือดที่ลุกโชนในดวงตา
“สวะเช่นพ่อของเจ้า เมื่อมันไม่อยากมีบุตร…” อันหรานหัวเราะเบา ๆ “ข้าก็จะทำให้มันสมใจเสียเลย”
ลมหนาวพัดผ่านกลีบเหมยปลิววนรอบนาง อันหรานหลับตาลงอย่างสงบ ในหัวมีเพียงความคิดเดียวถึงเวลาที่นางจะทำให้บุรุษสวะนั่นรับกรรมที่ก่อไว้แล้ว
หลายเดือนผ่านไป เสียงลมหนาวพัดส่วนปลายของยอดสนให้เสียดสีกันดังครืดคราด บรรยากาศโดยรอบจวนตระกูลชุนหนักอึ้งเช่นเดียวกับความหวาดหวั่นที่เกาะกินใจของทุกคนในบ้านหลังนี้
เรือนพักของคุณชายมู่หยางเงียบสงัดจนแม้แต่เสียงถอนหายใจยังดังสะท้อนไปทั่วห้อง กลิ่นยาสมุนไพรที่ถูกต้มจนข้นติดอยู่ในอากาศอย่างไม่จางหาย ทำให้ห้องทั้งห้องอบอวลด้วยกลิ่นขมที่ชวนให้อึดอัด เครื่องเรือนไม้ที่เคยดูสง่างามกลับดูหม่นหมองลงเมื่อถูกปกคลุมด้วยความเงียบและความสิ้นหวัง
บนเตียงนอน มู่หยางนั่งพิงหมอนสูง ใบหน้าซีดเซียว ดวงตาที่เคยคมกริบของเขาบัดนี้แฝงด้วยความเหน็ดเหนื่อยและโทสะที่สะสมอยู่ในทรวงอกเป็นเวลานาน
ท่านหมอผู้สูงวัยนั่งลงข้างเตียงมือจับชีพจรอย่างละเอียด มือเหี่ยวย่นสั่นเล็กน้อยเพราะอากาศที่เย็นจัด แต่สายตากลับมั่นคงเพราะผ่านการรักษาผู้ป่วยมาหลายสิบปี ทว่าเมื่อเขาปล่อยข้อมือของมู่หยางลง สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นความเคร่งเครียดที่ปิดไม่มิด
“บุตรชายข้าเป็นอย่างไรบ้าง ท่านหมอ…พอมีหวังหรือไม่”
เสียงของมารดามู่หยางสั่นปนความหวาดกลัว นางยืนอยู่หัวเตียง ดวงตาแดงก่ำเพราะทั้งคืนไม่ได้หลับ เดิมนางเป็นสตรีที่ภูมิฐาน แต่หลายเดือนมานี้ความกังวลทำให้นางดูราวกับแก่ลงหลายปี
ท่านหมอถอนหายใจยาวอย่างหนักใจ ก่อนส่ายหัวช้า ๆ ราวกับไม่อยากทำร้ายความรู้สึกของผู้เป็นแม่ แต่ก็ไม่อาจโกหกความจริงได้อีกต่อไป
“ฮูหยินเกรงว่าคุณชายจะไม่สามารถกลับมาเป็นปกติได้แล้วขอรับ”
“หมายความว่าอย่างไรท่านหมอ!” เสียงนางสูงขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ นิ้วมือกำชายเสื้อแน่นจนปลายเล็บขาวซีด ท่านหมอโค้งคำนับเล็กน้อย ก่อนพูดด้วยเสียงหนัก
“หลายเดือนมานี้ข้าเฝ้ารักษาอย่างเต็มความสามารถ แต่คุณชายมู่หยางร่างกายอ่อนกำลังลงเรื่อย ๆ และที่สำคัญ…”
เขาหยุดไปเล็กน้อยราวกับลังเลว่าจะกล่าวต่อดีหรือไม่
“คุณชายไม่อาจมีบุตรได้อีกแล้วขอรับ ท่านควรรับเด็กจากข้างนอกมาเลี้ยงสักคน เพื่อสืบสายตระกูลจะดีกว่า”
คำพูดนั้นเหมือนฟ้าผ่ากลางใจมู่หยาง เขาเงยหน้าขึ้นทันที โทสะแล่นปราดขึ้นไปยังดวงตาของเขาอย่างรุนแรง
“สวะ! เจ้าพูดอะไรของเจ้า ข้ายังแข็งแรงดีอยู่!”
เสียงตะโกนของเขาแหบพร่าจนสะท้อนความอ่อนแอของร่างกายออกมาโดยไม่ตั้งใจ แต่ยิ่งตะโกนก็ยิ่งเผยให้เห็นว่าภายในใจของเขาสั่นคลอนเพียงใด
หลายเดือนมานี้ เขาพยายามมีบุตรกับเจินเจิน สตรีที่เขาเลือกเข้ามาเป็นภรรยาโดยเชื่อว่านางเหมาะสมกว่าใคร แต่ไม่ว่าจะพยายามมากเพียงใด นางก็ไม่ตั้งครรภ์สักครั้ง ยิ่งไปกว่านั้น ร่างกายของเขายังทรุดลงเรื่อย ๆ ราวกับถูกสูบพลังชีวิตทีละน้อย
ไม่อาจมีบุตรได้?
เป็นไปไม่ได้!
เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน!
“ร่างกายของคุณชายมันบ่งชี้เช่นนั้นขอรับ หากท่านไม่เชื่อ ข้าก็ไม่อาจทำอะไรได้มากกว่านี้ ข้าขอตัว”
ท่านหมอประสานมือคำนับอย่างสุภาพ ก่อนเดินออกจากห้องไปท่ามกลางสายตาโกรธเกรี้ยวของมู่หยาง เมื่อประตูปิดลงเสียงถ้วยชามกระแทกพื้นก็ดังตามมา
“ไอ้หมอไร้ประโยชน์!!”
มู่หยางปาถ้วยยาวางข้างเตียงจนแตกกระจาย เศษถ้วยกระเด็นไปทั่วพื้น แต่เขาไม่สนใจแม้แต่น้อย เขาหอบหายใจถี่รัวราวกับสัตว์ป่าที่ถูกต้อนจนจนมุม
มารดาของเขามองสภาพบุตรชายด้วยหัวใจบีบแน่น นางก้าวเข้ามานั่งข้างเตียง ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวมู่หยางช้า ๆ แม้เขาจะยังคงหงุดหงิดแต่ก็ไม่อาจผลักนางออกได้เพราะเรี่ยวแรงแทบหายไปเกือบหมด
“มู่หยาง…” นางเรียกเขาด้วยเสียงอ่อนล้า
“ท่านแม่ ข้าบอกแล้วว่าข้าแข็งแรงดี!” เขาตอบกลับทันที แต่เสียงกลับแผ่วลงในตอนท้ายราวกับไร้เรี่ยวแรงจะโต้เถียงอีกต่อไป
มารดาขยับมือจับแขนของเขาเบา ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นขึ้น
“พอได้แล้ว…เจ้าจะแข็งแรงได้เช่นไร ในเมื่อเจ้าแต่งเจินเจินเข้ามาตั้งนาน แต่ไม่มีทีท่าว่านางจะตั้งครรภ์บุตรของเจ้าเลยสักคน”
มู่หยางกัดฟันแน่น ใบหน้าซีดเผือดของเขาบิดเบี้ยวด้วยความคับแค้น
“ข้าจะเป็นหมันได้เช่นไร! ในเมื่อในตอนนั้นอันหรานนางเคยตั้งครรภ์บุตรของข้า!”