เผชิญหน้า

1675 Words
ซัน… “จำไม่ได้จริง ๆ หรือโกรธเราอยู่นะ…” ผมพึมพำเบา ๆ เมื่อนึกถึงใครบางคน “แต่หลังจากนั้นอีกสองอาทิตย์เราก็ส่งของขวัญวันเกิดไปให้แล้วก็กลับมาคุยกันอีกเป็นอาทิตย์เลยนี่หว่า” ผมพ่นลมหายใจออกมาเพราะรู้สึกหงุดหงิดตั้งแต่กลับมาจากบ้านคุณกันต์แล้ว จริงอยู่ที่ผมหายไปไม่ยอมติดต่อคุณหนูตั้งแต่เดินทางไปถึงฮ่องกง แต่หลังจากนั้นอีกสองสัปดาห์พอจำได้ว่าเป็นวันเกิดคุณหนู ผมก็จัดแจงส่งของขวัญวันเกิดไปให้และทำให้เราสองคนกลับมาคุยกันอีก แต่ก็คุยกันได้แค่สัปดาห์เดียวเท่านั้นเพราะก่อนวางสายทุกครั้งคุณหนูมักงอแงและเริ่มพูดถึงเรื่องวันนั้นอีก เสียงร้องไห้หลังวางสายตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่เรากลับมาคุยกันทำให้ผมนึกถึงเหตุการณ์วันที่จากกัน มันทำให้ผมฝันร้ายและรู้สึกแย่จนไม่สามารถฟังเสียงร้องไห้ของคุณหนูได้อีก เลยเลือกที่จะหายไปจริง ๆ แม้ว่าคุณหนูจะพยายามติดต่อมา “สุดท้ายแล้วก็ฝากพ่อมาบอกว่าเกลียดเรา ไม่อยากเห็นหน้าเรา…” ผมพึมพำเบา ๆ เมื่อนึกถึงวันที่คุณหนูฝากข้อความผ่านคุณกันต์มาบอกผม นั่นเป็นวันสุดท้ายที่เราติดต่อกันจริง ๆ “เฮ้อ!” ตกลงว่าลืมเราจริง ๆ หรือโกรธเราอยู่กันแน่นะ… ครืด ครืด ครืด สายเรียกเข้า >>> คุณกันต์ เสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้นบนโต๊ะกระจกหน้าโซฟาทำให้ผมเลิกนึกถึงเรื่องที่ทำให้หงุดหงิด ก่อนจะรีบกดรับสายเมื่อเห็นชื่อของคนที่โทรเข้ามา “ครับคุณกันต์” ผมเอ่ยทักทายปลายสาย [วันนี้มึงจะมากินข้าวเย็นที่บ้านกูไหม มืดแล้วนะทำไมยังไม่มาอีก] เสียงทุ้มของคนในสายถามขึ้น สามสี่วันมาแล้วตั้งแต่ที่ผมกลับมาจากฮ่องกง ผมก็ไปฝากท้องมื้อเย็นที่บ้านคุณกันต์ตลอด ส่วนตอนกลางวันช่วงนี้ผมยังต้องช่วยงานคุณผู้หญิงที่โรงแรมอยู่ก็เลยมาพักที่โรงแรมเพราะจะได้ง่ายต่อการทำงาน “วันนี้ผมว่าจะไม่ไปน่ะครับ กินข้าวบ้านคุณกันต์ทุกวันก็เกรงใจ” [มึงจะมาเกรงใจห่าอะไรตอนนี้ ทีเมื่อก่อนกูไล่แทบตายเสือกเสนอหน้ามาแดกข้าวบ้านกูทุกวัน นี่ถ้าเป็นคนอื่นเขาคงคิดว่ามึงเป็นชู้กับเมียกูแล้ว] “โธ่คุณกันต์ ก็ตอนนั้นผมไม่มีเพื่อนที่ไหนนี่ครับ” [ตกลงมึงจะมาไหม กูจะได้ให้โซดาทำกับข้าวแบบไม่เผ็ดไว้ให้] “ไปครับ ว่าแต่คุณกันต์อยากได้อะไรไหมผมจะได้ซื้อเข้าไป” [ไม่ว่ะ ขอบใจ] “งั้นอีกครึ่งชั่วโมงน่าจะถึงครับ ยังไงวันนี้ผมค้างที่นั่นหนึ่งคืนนะครับ มืดแล้วไม่อยากนั่งเรือมันอันตราย” [เออ ๆ จะค้างกี่คืนก็แล้วแต่มึง จะว่าไปแล้วกูนึกออกแล้วว่าจะฝากมึงซื้ออะไร] “อะไรครับ” [เมื่อวานยัยหนูบ่นอยากกินชานมไข่มุก ในโรงแรมมีอยู่ร้านนึงมึงซื้อเข้ามาหน่อยสิ] “ได้ครับ” ผมวางสายก่อนจะรีบเปลี่ยนชุดและเตรียมเสื้อผ้าไปค้างที่บ้านคุณกันต์ และไม่ลืมจะไปซื้อชานมไข่มุกที่ใครบางคนบ่นอยากกินติดมือไปด้วย อีกทั้งหาขนมที่คุณหนูตัวน้อยในวัยเด็กนั้นชอบกินติดมือไปให้ “หวังว่าจะยังชอบกินอยู่นะ” ผมมองถุงขนมในมือก่อนจะรีบเดินออกจากร้านไป ไม่นานนักผมก็เดินทางมาถึงบ้านคุณกันต์ซึ่งอยู่บนเกาะไม่ไกลจากโรงแรมมากนัก ธรรมชาติและสภาพแวดล้อมของที่นี่เปลี่ยนไปนิดหน่อย เพราะเป็นทะเลและเกาะจึงไม่มีใครเปลี่ยนแปลงอะไรมันมากนัก ไม่อย่างนั้นจะไม่หลงเหลือความเป็นธรรมชาติให้นักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชม “อ้าวซัน? ทำไมเข้ามาในครัวล่ะ” เสียงหญิงสาวหน้าตาสะสวยเอ่ยทักเมื่อเห็นผมเดินเข้าไปในครัว แม้ว่าคุณโซดาจะเป็นแม่คนแล้วแต่เธอยังสวยไม่สร่างแถมยังขยันดูแลตัวเองอีกด้วย เรียกได้ว่าเหมือนสาวยี่สิบต้น ๆ ก็ว่าได้ “ไปนั่งดูทีวีก่อนก็ได้นะ กันต์อาบน้ำอยู่น่ะเดี๋ยวคงลงมา” คนที่กำลังเตรียมมื้อเย็นอยู่เอ่ยบอกเมื่อเห็นว่าผมวางถุงของกินที่ซื้อติดมือมาด้วยลงบนโต๊ะ “ครับ ว่าแต่ชานมไข่มุกที่คุณกันต์บอกให้ผมซื้อเข้ามาด้วยนี่เอาแช่ตู้เย็นไว้ก่อนไหมครับ เหมือนน้ำแข็งมันใกล้จะละลายหมดแล้ว” ผมยกแก้วชานมไข่มุกขึ้นให้คนที่กำลังปรุงกับข้าวอยู่ดู “อ้าวเหรอ? พอดีเลยยัยหนูบ่นว่าอยากกิน แต่วันก่อนร้านปิดเลยอดกิน” คนเป็นแม่ฉีกยิ้มกว้างเมื่อเอ่ยถึงลูกสาวเพียงคนเดียวของตัวเอง “ขอบใจนายมากนะ เดี๋ยวนายเอาแช่ไว้ในตู้เย็นก็ได้ ให้ยัยหนูกินข้าวก่อนแล้วค่อยบอกเขาว่ามีชานมกับขนมอย่างอื่น” “คุณหนูยังกินขนมมากกว่ากินข้าวเหมือนเดิมเหรอครับ” “ใช่ เมื่อก่อนดื้อยังไงตอนนี้ก็ดื้ออย่างนั้น ข้าวปลาก็ไม่ค่อยกิน กินแต่ขนม” คนเป็นแม่บ่นอุบเมื่อพูดถึงลูกสาว “นี่จะเข้ามหาลัยแล้วยิ่งทำให้เป็นห่วง ถ้าไปอยู่คนเดียวมีหวังเป็นโรคกระเพาะแน่ ๆ” “แล้วคุณหนูสอบเข้าได้ที่ไหนครับ” “ที่กรุงเทพโน่นแน่ะ ทีแรกพ่อเขาไม่ยอมจะให้เรียนที่ภูเก็ตอย่างเดียว แต่รายนั้นงอแงแล้วก็งอนไปหลายวันก็เลยต้องยอมปล่อยเขาไป” “เหมือนคุณหนูจะไม่เปลี่ยนไปจากตอนเป็นเด็กเท่าไหร่นะครับ” ผมพูดยิ้ม ๆ เมื่อได้ฟังสรรพคุณของคุณหนูตัวน้อยซึ่งตอนนี้โตเป็นสาวแล้ว แต่หลายอย่างที่คุณโซดาพูดถึงกลับไม่ต่างไปจากจากเมื่อก่อนเลย สำหรับผมเธอยังเป็นเด็กดื้อเหมือนเดิม “ใช่ไม่เปลี่ยนเลย แต่ถ้าจะเปลี่ยนอย่างเห็นได้ชัดก็คงเป็นเรื่องที่ไม่อยากเป็นเจ้าสาวของนายแล้วนั่นแหละ” คุณโซดาพูดติดตลกเมื่อพูดถึงเรื่องราวขบขันในวัยเด็กของลูกสาวตัวเอง “นี่คุณโซดาพูดแทงใจดำผมหรือเปล่าครับ” ผมถามติดตลกเพราะไม่ได้ติดใจอะไรกับคำพูดของเด็ก ๆ “เจ็บใช่ไหมล่ะ” คนตรงหน้าหัวเราะขบขันขณะที่มือกำลังปรุงอาหารไปด้วย “ว่าแต่ตอนนี้นายไม่อยากเป็นลูกเขยฉันแล้วเหรอ ยัยหนูโตเป็นสาวแล้วนะ ฉันจำได้ว่านายจองยัยหนูไว้ตั้งแต่อยู่ในท้องโน่นแน่ะ” คนที่ทำกับข้าวอยู่แซวเรื่องสมัยก่อนตอนที่ผมยังเป็นหนุ่มน้อยเรียกรอยยิ้มปนขำจากผมได้เป็นอย่างดี “ตอนนี้ผมไม่กล้าเสี่ยงเหมือนเมื่อก่อนหรอกครับ คุณกันต์เอาเลือดหัวผมออกแน่ ๆ” ผมตอบติดตลก “นั่นสิ รายนั้นหวงลูกมากเลย” คนที่ทำกับข้าวอยู่หันมาสบตากับผมพลางหัวเราะคิกคักไปด้วย “ไหน ๆ นายก็อยู่ในนี้แล้วงั้นเดี๋ยวฉันฝากนายดูหม้อแกงให้หน่อยนะ จะเอาน้ำพริกไปให้คุณยายบ้านข้าง ๆ น่ะ” คนที่ถือถ้วยน้ำพริกกะปิเอ่ยบอก “ครับ” ผมพยักรับคำก่อนจะเดินไปหยุดอยู่หน้าหม้อแกงหอม ๆ พลางจ้องมองน้ำแกงสีแดงที่เดือดปุด ๆ อยู่ในหม้อ “แม่ขา~ วันนี้ทำอะไรกินคะ ห๊อมหะ…” เสียงสดใสของใครบางคนดังขึ้นพร้อมกับร่างบางที่วิ่งเข้ามาในครัวราวกับเด็กน้อย ก่อนจะชะงักไปเมื่อเห็นผมยืนอยู่ “คุณโซดาเอาน้ำพริกไปให้เพื่อนบ้านหลังข้าง ๆ ครับ” ผมปรายตามองคนที่ยืนอยู่หน้าประตูก่อนจะหันกลับมาจ้องมองแกงในหม้อที่กำลังเดือดปุด ๆ อยู่ ไม่ปฏิเสธว่าทุกครั้งที่เจอหน้าคุณหนูผมรู้สึกประหม่า เราเหมือนคนไม่เคยรู้จักกันและแทบไม่พูดคุยกันด้วยซ้ำทั้ง ๆ ที่ผมก็มากินมื้อเย็นที่นี่ได้หลายวันแล้ว “มีขนมกินไหมน้าา” เสียงพึมพำของคนที่เดินไปเปิดตู้เย็นดังขึ้น “คุณหนูต้องกินข้าวก่อนครับ ถ้ากินขนมก่อนจะกินข้าวไม่ได้นะ” ผมหันไปบอกคนที่กำลังจิ้มหลอดใส่แก้วชานมไข่มุก คนถูกปรามขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ก็ไม่ยอมพูดอะไรต่อ ยังคงเดินมาเปิดถุงขนมที่ผมซื้อมาหน้าตาเฉย ทำเหมือนกับว่าในนี้ไม่มีผมอยู่ “ขนมเยอะจังเลย ไหนพ่อขาบอกว่าไม่มีอะไรให้กินไง” คนตรงหน้าพึมพำคนเดียวพลางเลือกขนมที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์ไปด้วย “คุณหนูต้องกินข้าวก่อนนะครับ” ผมย้ำอีกครั้งพลางจ้องมองใบหน้าขาวนวลของเด็กดื้อเอาไว้ ริมฝีปากอมชมพูที่ดูดชานมไข่มุกอยู่นั้นยู่เข้าหากันเล็กน้อยเมื่อหันมาสบตากับผมก่อนจะหันกลับไปสนใจขนมตรงหน้าต่อ “ตอนเป็นเด็กดื้อยังไงโตมาก็ดื้ออย่างนั้นเลยนะครับ” มือเล็ก ๆ ที่กำลังวุ่นวายกับห่อขนมชะงักไปก่อนจะวางทุกอย่างไว้ที่เดิมแล้วเดินออกจากห้องครัวไปพร้อมกับแก้วชานม แต่เสียงพึมพำที่ดังขึ้นก็ทำให้ผมอยากจะจับคนตัวเล็กกว่ามาตีก้นสักสองสามที “ชื่อซันแปลว่าพระอาทิตย์ แต่แปลก… ชอบทำตัวเหมือนพระจันทร์ ชอบโผล่มาเวลากลางคืนทุกทีเลย” “…” ฮึ่มม!
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD