ซัน…
หลังมื้อเย็น…
“มะหมายความว่ายังไงคะ?” เสียงเอะอะปนตกใจของใครบางคนเอ่ยถามหลังจากได้ยินเรื่องที่ผู้เป็นพ่อนั้นคุยกับผม เมื่อเธอเดินผ่านมายังห้องนั่งเล่นพอดี
“ก็หมายความว่าพอหนูไปเรียนที่กรุงเทพก็ต้องไปพักที่หอสตรีของอาซันไงลูก” คนเป็นพ่อเอ่ยบอกลูกสาวซึ่งกำลังเดินตรงเข้ามาหา “อาซันมีหอพักสตรีให้นักศึกษาเช่าพักด้วยนะ อยู่ใกล้มหาลัยที่หนูจะไปเรียนพอดีเลย” ผู้เป็นพ่ออธิบายต่อเมื่อเห็นสีหน้าไม่สู้ดีนักของลูกสาว
“แล้วทำไมหนูต้องไปพักที่นั่นด้วยล่ะคะ ไปพักที่อื่นก็ได้นี่นา อย่างน้อยก็อยากเลือกที่พักเอง” เจ้าของใบหน้าบูดบึ้งเดินมาทิ้งตัวนั่งลงบนตักของผู้เป็นพ่อพลางออดอ้อนไปด้วย
“เราตกลงกันแล้วนะว่าถ้าพ่อยอมให้หนูไปเรียนที่กรุงเทพหนูจะให้พ่อเป็นคนดูแลเรื่องที่พักให้” เสียงทุ้มทักท้วงลูกสาวขณะที่ฝ่ามือใหญ่นั้นลูบผมคนบนตักไปมาเบา ๆ
“ก็ได้ค่ะ…”
หลังจากผมกับคุณกันต์คุยเรื่องที่พักของคุณหนูเสร็จแล้วก็ตกลงกันว่าจะให้คุณหนูไปพักที่หอพักสตรีซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยของคุณหนู หอพักตรงนั้นผมซื้อไว้สมัยที่น้องสาวคุณกันต์ยังเป็นนักศึกษาอยู่และเริ่มดูแลกิจการมาตั้งแต่ตอนนั้น
ความจริงแล้วผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะซื้อหอพักตรงนั้นหรอก แต่น้องสาวคุณกันต์ซึ่งเป็นนายหญิงของผมในตอนนี้ได้หนีเจ้านายของผมไปพักที่นั่นสมัยที่ทั้งคู่คบหากัน วิธีเดียวที่จะทำให้เจ้านายของผมขึ้นไปง้อและพานายหญิงกลับมาได้ก็คือต้องซื้อหอพักนั่นซะ
“วันที่ยัยหนูไปกรุงเทพ กูกับโซดาคงไม่ได้ไปส่งนะเพราะกูต้องไปประชุมกับเจ้านายก่อนหน้านั้นวันนึง ส่วนโซดาก็ตามเจ้านายไปต่างประเทศช่วงเช้ามืดของวันนั้นเลย”
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมมารับคุณหนูเอง”
สองเดือนต่อมา…
♪ ♬ ♫ ♬
ท่ามกลางแสงไฟหลากสีและเสียงดนตรีในผับที่ดังอึกทึก บรรดาเหล่าผีเสื้อราตรีกำลังโยกย้ายส่ายสะโพกไปมาตามจังหวะดนตรี เป็นเวลาสองเดือนกว่าแล้วที่ผมกลับมาอยู่เมืองไทยหลังจากไปทำงานที่ต่างประเทศมาสิบกว่าปี ตอนนี้ผมกลับมาดูแลผับซึ่งเป็นธุรกิจที่รับช่วงต่อจากพ่อของผมซึ่งถือหุ้นอยู่คนละครึ่งกับคุณกันต์และกิจการอย่างอื่นที่เคยซื้อทิ้งไว้มาดูแลต่อ
“ตอนนี้ป๋ากับหนูเจ้าเป็นยังไงบ้างอะ คุยกันหรือยัง ได้ข่าวจากแม่ ๆ ว่าเข้าหน้ากันไม่ค่อยติด” เสียงคนที่เดินมาทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามเอ่ยถามขณะที่ผมกำลังนั่งเคลียร์เอกสารบนโต๊ะทำงาน
“จะเป็นยังไงล่ะครับ” ผมเงยหน้าขึ้นไปสบตากับเจ้านายหนุ่มซึ่งนับถือกันเสมือนเป็นคนในครอบครัว ก่อนจะเอนตัวพิงพนักโซฟาด้วยความเซ็งเมื่อได้ยินคำถาม “อย่าว่าแต่เรียกชื่อผมเลยครับคุณพายัพ คุณหนูจำผมไม่ได้ด้วยซ้ำ” ผมพูดกับคนตรงหน้าก่อนจะถอนหายใจออกมา
“สองเดือนกว่าแล้วนะครับ หนูเจ้ากับป๋ายังเข้าหน้ากันไม่ติดอีกเหรอ” เจ้านายหนุ่มเอ่ยถาม
“ครับ เหมือนคุณหนูพยายามตีตัวออกห่างทั้ง ๆ ที่เราก็ห่างกันมากอยู่แล้ว” ผมระบายความในใจออกมา
ตอนนี้คุณหนูมาเรียนที่กรุงเทพฯ ได้สัปดาห์กว่า ๆ แล้วแต่ความสัมพันธ์ของเราสองคนยังคงห่างเหินเหมือนกับช่วงแรก ไม่รู้เพราะเราห่างหายกันไปนานจนความรู้สึกเดิม ๆ ที่เคยมีนั้นจางหายไป หรือเป็นเพราะใครบางคนยังโกรธผมเรื่องเมื่อก่อนอยู่กันแน่
“คุณพายัพคิดว่ามันแปลก ๆ ไหมครับ”
“ยัพว่ามันก็ปกตินะป๋า ตอนนั้นหนูเจ้าเพิ่งจะสี่ขวบกว่า ๆ เอง ยิ่งป๋าหายไปแบบไม่ติดต่อกลับมาก็ไม่แปลกที่หนูเจ้าจะลืม”
“ที่คุณพายัพพูดมาก็ถูกครับตอนนั้นคุณหนูยังเด็กมาก แต่จะจำกันไม่ได้จนกระทั่งกลับมาเจอกันอีกครั้งแล้วยังไม่คุยกันนี่… ผมว่ามันแปลกนะครับ”
“ป๋าอยากให้หนูเจ้าจำป๋าได้?” คนตรงหน้าเอียงคอถามราวกับรู้ทัน “แต่ยัพเข้าใจป๋านะ ก็ป๋าเลี้ยงหนูเจ้ามากับมือนี่นา ตอนท้องก็ซื้อของบำรุงให้แม่เขากิน ตอนคลอดก็ไปเฝ้าแม่เขาเป็นเพื่อนพ่อเขาแถมยังช่วยเลี้ยงอีก พอเริ่มเข้าโรงเรียนป๋าก็สอนหนูเจ้าให้อ่านเขียนจนเรียนเก่งกว่าเด็กวัยเดียวกัน”
“ตอนนั้นผมรักแล้วก็เอ็นดูคุณหนูมากจริง ๆ นะครับ”
“แล้วตอนนี้ล่ะครับ” คุณพายัพถามก่อนจะเงียบไปพลางจ้องมองมาที่ผมแล้วพูดต่อ “ตอนนี้ยังรักแล้วก็เอ็นดูหนูเจ้าเหมือนเดิมหรือเปล่า”
“…”
“พอเวลาผ่านไปแล้วเราอาจจะไม่ได้รู้สึกกับคนคนนึงเหมือนเดิมก็ได้นะป๋า จากที่สนิทกันก็กลายเป็นห่างเหินกันไป หรือบางทีสนิทกันมากเท่าไหร่ความรู้สึกที่มีมันก็มากขึ้นเรื่อย ๆ จนยากจะควบคุม…” เสียงทุ้มแผ่วลงเล็กน้อยก่อนจะเงียบไปราวกับคนพูดกำลังคิดอะไรอยู่ “ถ้ามันดีก็แล้วไปแต่ถ้ามันแย่ก็… ไม่รู้สิ”
“…”
“ตอนนี้หนูเจ้าอาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้ แต่จะเป็นไปในทางที่ดีขึ้นหรือแย่ลงมันก็อีกเรื่องนึง”
“…งั้นเหรอครับ”