คืนเหล้าขาว

2407 Words
“ว่าได๋จารย์ คึพากันมาช้าแท้” (ไงเพื่อน ทำไมมาช้าจังวะ" ผมตะโกนถามไอ้เพื่อนรักทั้งสองที่มันเพิ่งโผล่หัวมาขณะที่ผมกับไอ้คาลนั่งดีดกีตาร์ร้องเพลงรอจนเสียงแหบเสียงแห้ง “มีงานหยังบ่วะ รถติดบักคัก” (เขาจัดงานอะไรมั้ยวะ รถโคตรติด) มันบ่นอุบก่อนจะวางของกินที่หอบมาจนเต็มมือลงบนโต๊ะอาหาร “เพื่อนมึงเป็นอาจารย์หรอวะ” “อาจารย์อิหยัง” (อาจารย์อะไร) “ก็…เมื่อกี้มึงทักเพื่อนว่าจารย์” “ฮ่า ๆ ๆ บักห่านี่มันคึตลกแท้วะ” (ไอ้หมอนี่แม่งโคตรตลกเลยว่ะ) ไอ้แคนเดินเข้ามานั่งลงข้าง ๆ พร้อมกับจ้องมองไอ้คาลอย่างสำรวจ “ป๊าดติโธ โตคึหล่อแท้ล่ะหมอ เป็นคนทางได๋” (โอ้โห นายโคตรหล่อเลยนะ เป็นคนที่ไหนหรอ" “เอ่อ… ชะ เชียงใหม่ครับ” ไอ้คาลเหมือนนั่งนึกอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบออกมา “สมพอเนาะ หน้าขาวมุนลุน เบิ่งผิวหนังมึงกะดี บ่แมนหนังตีนเนียนกว่าหนังหน้าบักปึ๊ดพุ่นเบาะ” (มิน่าล่ะ หน้าขาวผ่องเชียว ดูผิวก็ดี ไม่ใช่หนังตีนมึงเนียนกว่าหนังหน้าไอ้ปึ๊ดเลยหรอวะ" “เอ้าบักห่าหนิ” (เอ้า ไอ้ห่านี่) เพิ่งมาถึง ความวุ่นวายก็บังเกิดขึ้นเลยครับ ปวดหัวแทนไอ้คาลเลย “เซา ๆ ฟ่าวเทแนวกินนั่นเป็นหยัง กูหิวจนไส้กิ่วแล้วหนิ” (พอ ๆ รีบเทกับข้าวได้แล้ว กูหิวไส้จะขาดอยู่แล้วเนี่ย) ผมรีบห้ามศึกก่อนที่พวกมันจะวางมวยกันเสียก่อน “มึงสิบ่แนะนำหมู่คนไทยมึงแนเบาะ” (มึงจะไม่แนะนำเพื่อนมึงหน่อยหรอวะ) ไอ้ปึ๊ดเอ่ยทักท้วงขณะเทอาหารที่หอบมาลงชามเปล่าที่ผมเตรียมเอาไว้ “เออ กูกะลืมตั้ว คาล บักห่านี่ซือปึ๊ดเด้อ แล้วกะบักห่านี่ซือแคน มันเป็นเสี่ยวกู แล้วกะอันนี่บักคาลเด้อ ที่กูเว่าสู่ฟังนั่นล่ะ” (เออ กูลืมไปเลย คาล ไอ้หมอนี่มันชื่อปึ๊ดนะ แล้วไอ้นี่ก็ชื่อแคน มันเป็นเพื่อนกู ส่วนนี่ไอ้คาลนะ ที่กูเล่าให้ฟังนั่นแหละ) ผมรีบแนะนำอย่างเป็นทางการ ไอ้คาลมันดูเกร็ง ๆ อยู่บ้าง ไม่ให้เกร็งได้ไงล่ะครับ ก็เพื่อนผมเล่นจ้องมันซะขนาดนั้น “สรุป…คำว่าเพื่อนมันต้องใช้คำว่าหมอ จารย์ หรือว่าเสี่ยววะ” คำพูดของไอ้คาลเล่นเอาทั้งไอ้ปึ๊ดไอ้แคนขำพรืด แต่ผมชินกับมันแล้วล่ะครับ อย่างที่บอก ผมแทบจะเป็นเครื่องแปลภาษาส่วนตัวให้มันแล้ว “ทั้งเสี่ยว ทั้งหมอ ทั้งจารย์ ทั้งหมู่ กะเป็นคำเอิ้นว่าเพื่อนเบิดนั่นล่ะ” (ทั้งเสี่ยว ทั้งหมอ ทั้งจารย์ ทั้งหมู่ ก็เป็นคำเรียกว่าเพื่อนทั้งหมดนั้นแหละ) ผมหันไปตอบคลายความสงสัยให้มัน “อ๋อออ~” มันพยักหน้าตอบรับ “เอ้าหนิ ลองซิมเบิ่งดู้เคยกินบ่” (ลองชิมดู เคยกินมั้ย) ไอ้ปึ๊ดเลื่อนชามกับแกล้มส่งไปตรงหน้าพร้อมกับเทเหล้าขาวใส่แก้วเป๊กให้มัน ไอ้คาลค่อย ๆ ใช้ช้อนจ้วงตักอาหารเข้าไปเคี้ยวตุ่ย ๆ ในปาก เริ่มแรกมันก็ทำหน้าลำบากใจอยู่หรอก แต่พอกินเข้าไปแล้วมันก็ทำตาลุกวาวเป็นประกาย “เป็นจังได๋ แซบบ่” (เป็นไงบ้าง อร่อยมั้ย) “อื้อ แซบดี อันนี้มันคืออะไรหรอวะ” “ผัดเผ็ดงูสิง” แกร๊ง!! อยู่ ๆ ไอ้คาลก็มือไม้อ่อน ช้อนที่กำลังตักงูสิงค้างไว้ถึงกับล่วงหล่นลงสู่พื้นเบื้องล่าง “งะ งูหรอ” ไอ้คาลทำหน้าพะอืดพะอมเหมือนจะอ้วกออกมาจนผมต้องชี้หน้าขู่ “นั่น ๆ ๆ ห้ามฮาก เสียดายของ มันแฮงหายากอยู่ กลืนลงไป” (ห้ามอ้วก เสียดายของมันยิ่งหายากอยู่ กลืนลงไปเลย) “บักห่าหนิ บ่ฮู่จักแนวแซบเด้หนิ” (เอ้าไอ้ห่า ไม่รู้จักของอร่อยใช่มั้ยเนี่ย") ไอ้แคนพูดเสริมขึ้นมาอีกคน มองดูก็สงสารมันอยู่หรอกครับ แต่ทำไงได้ของมันหายากนี่ ผมมองดูมันก็นึกสงสารจึงเลื่อนแก้วเหล้าส่งให้มันเพื่อล้างคอ แต่กลับกลายเป็นว่ามันกระดกเหล้าเข้าไปแล้วดันทำหน้าพะอืดพะอมหนักยิ่งกว่าเดิม “อ้าาา!! เหล้าอะไรวะ บาดคอฉิบหาย” “อย่าว่าเด้อว่าบ่เคยกินเหล้าขาว” (อย่าบอกนะ ว่ามึงไม่เคยกินเหล้าขาว) ผมรีบชูขวดเหล้าสีน้ำตาลขึ้นให้มันดู มันเองก็ส่ายหน้าพัลวัน “มึงผ่านชีวิตจนใหญ่มาปานนี่ได้จังได๋วะ” (มึงผ่านชีวิตจนโตมาขนาดนี้ได้ยังไงวะ) ผมส่ายหน้าด้วยความละเหี่ยใจ ไอ้นี่มันเคยทำอะไรบ้างวะ ผมรู้สึกเหมือนเข้าไปเปิดโลกมันมาก ชีวิตมันคงเพิ่งจะเจอกันความตื่นเต้นสินะ พวกผมนั่งกินเหล้ากันต่อจนถึงเที่ยงคืน ยิ่งดื่มก็ยิ่งคึก เริ่มแรกไอ้คาลมันก็ดูเกร็ง ๆ อยู่หรอก แต่นานไปเหล้าในตัวก็ทำให้มันผ่อนคลายมากขึ้น ล่าสุดมันลุกขึ้นไปเต้นแล้งเต้นกาเป็นเพื่อนไอ้ปึ๊ดไอ้แคนแล้ว เมื่อเริ่มดึก พวกผมก็เปลี่ยนจากเปิดเพลงเป็นดีดกีตาร์คลอเบา ๆ กีต้าร์ตัวนี้มันคือเครื่องดนตรีคู่ใจผม เรียกได้ว่าแบกติดตัวมาตั้งแต่อยู่บ้านนอกเลยล่ะครับ “มาเหมื่อยแท้เบื่อสิคิดฮอด เฮ็ดได้แต่กอดเสาเถียง แนมไปกองเฟียงได้เห็นแต่หน้าขาว ๆ เมากะเมาพอตายยังเห็นแต่ภาพเก่า ๆ กูคิดฮอดเขา โอโอ้ย” ผมร้องเพลงคลอเบา ๆ โดยมีไอ้คาลนั่งจ้องมองผมไม่วางตา มันน่าจะสนใจกีต้าร์ล่ะมั้ง “เสาเถียงคืออะไรวะ” เอาอีกแล้วบักห่าหนิ (เอาอีกแล้วไอ้นี่) “เสาเถียงกะคือเสากระท่อมนี่ล่ะ” “มึงดีดกีต้าร์โคตรเท่ สอนกูบ้างดิ” “ฮันแน สิเอาไว้จีบสาวทางได๋” (ฮันแน จะเอาไว้จีบสาวทางไหนล่ะ) ผมหันไปแซวมันอย่างล้อ ๆ “แค่ดีดกีตาร์ เกี่ยวหรอวะว่าต้องเอาไปจีบใคร” “เกี่ยวล่ะเนาะ” (เกี่ยวสิวะ) “แล้ว…มึงดีดเอาไว้จีบใครวะ” “โอ๊ยยย บักเซียงน่ะเบาะ มันกะเอาไว้จีบผู้สาวเบิดมหาลัยนั่นล่ะ” (ไอ้เซียงน่ะหรอ มันก็เอาไว้จีบสาวทั่วมหาลัยนั่นแหละ) เป็นไอ้ปึ๊ดที่หันมาตอบคำถามแทนผม “หรอ แล้วจีบติดบ้างปะ” ไอ้คาลยังคงถามต่อ ตามนิสัยอยากรู้อยากเห็นของมัน “ระดับอาจารย์เซียง สมัยปีนึงเด้อ กูว่าแมนมันสิได้ปั้นหำตาก” “ฮะ!? อะไรคือปั้นหำตาก” “มันเป็นคำเปรียบเทียบ ประมาณว่า หำเคียวแฮง แรดน่ะ สี่ไปทั่วนั่นล่ะ” “ละ แล้วอะไรคือสี่ไปทั่ว” “ฮ่า ๆ ๆ โอ๊ยยย!!! บักคาลน้อบักคาล” พวกผมสามคนถึงกับฮาลั่นจนท้องขดท้องแข็งเมื่อเจอความใสซื่อของมัน “สี้กะคือมีเพศสัมพันธ์กันน่ะแหมะ” ผมหันไปอธิบายอีกที “อ๋อออ~” มันพยักหน้าหงึกหงักรับรู้ “กูสิเว่าอันนึงสู่ฟัง มื่อเช้ากูไปเลาะหากินอยู่งานศพ หลวงพ่อเพินเลยให้ฝ่ายผูกแขนมาสี่อัน” (กูจะเล่าอะไรให้ฟัง ตอนเช้ากูออกไปหากินข้าวอยู่งานศพ หลวงพ่อแกเลยให้ด้ายผูกข้อมือมาสี่เส้น) ผมหันไปบอกเพื่อน ๆ พร้อมกับยื่นด้ายผูกข้อมือให้พวกมันจนครบคน ฝ้ายผูกแขนตัวนี้เป็นสีเขียวสองเส้น สีม่วงสองเส้น ผมกับไอ้คาลได้สีม่วงมา ส่วนสีเขียวผมให้ไอ้ปึ๊ดกับไอ้แคนไปคนละเส้น “ฝ่ายผูกแขนคึทรงขลังแท้วะ มีฮอดลูกประคำ” (ฝ้ายผูกแขนดูโคตรขลังเลยว่ะ มีลูกประคำด้วย) ไอ้แคนชูฝ้ายผูกแขนขึ้นดูอย่างนึกชื่นชม “ถือว่าได้ฤกษ์งามยามดีผูกแขนเป็นเสี่ยวกันเนาะเฮา” ( ถือว่าได้ฤกษ์งามยาวดีผูกแขนเป็นเพื่อนกันเนาะ) ไอ้แคนหันไปคล้องคอไอ้คาลไว้หลวม ๆ อย่างสนิทสนม เป็นตาอยากหัวเนาะสู พ้อหน้ากันดั้มสามชั่วโมงกะผูกแขนเป็นเสี่ยวกันแล้ว (น่าตลกฉิบหาย เจอหน้ากันแค่สามชั่วโมงพวกมึงก็ผูกแขนเป็นเพื่อนกันซะแล้ว) พวกผมต่างสลับกันผูกฝ้ายผูกแขนให้กันโดยมีไอ้คาลนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ด้วยความพอใจ ไม่รู้มันดีใจอะไรนักหนา “มักเบาะ” (ชอบหรอ) ผมหันไปสะกิดถามมันเบา ๆ “อื้อ ชอบ…ชอบมาก” มันหันกลับมาตอบขณะที่จับจ้องมองมาที่ผมนิ่งทำให้ผมหวนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อช่วงบ่ายที่มันนั่งทำแผลให้ ไม่รู้ผมคิดมากไปเองหรือเปล่า แต่ผมรู้สึกว่าไอ้หมอนี่มันซ่อนอะไรบางอย่างไว้ในแววตา มันไม่ได้น่ากลัว แต่ผมก็แปลความหมายของแววตาคู่นี้ไม่ออก “กูเข้าห้องน้ำแป๊บนะ” ไอ้คาลว่าก่อนจะผละออกไป ผมนั่งดูมันเดินห่างออกไปจนลับตา เมื่อแน่ใจว่ามันจะไม่ได้ยินแล้ว ผมจึงรีบเรียกไอ้ปึ๊ดกับไอ้แคนให้ขยับเข้ามาใกล้ “แมนหยังวะ” (อะไรวะ) ไอ้แคนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ยานคางด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ “มื่อเช้ากูแลนล้ม” (เมื่อเช้ากูวิ่งล้ม) “คึปึกตายแม่มึงแท้” (โง่ฉิบหาย) “บักห่า อย่าฟ่าว กูยังเว่าบ่จบ แล้วบัดเทือหนิกูกะเลยหัวเข่าเหลิ่น” (ไอ้ห่า อย่าเพิ่งขัดสิ กูยังพูดไม่จบ แล้วทีนี้หัวเข่ากูถลอก) ว่าแล้วผมก็ชันหัวเข่าขึ้นให้พวกมันดูประกอบคำพูด “แล้วจังได๋บาดหนิ” (แล้วยังไงต่อ) “ซุมสู…. เป่าให้กูแน” (พวกมึง...เป่าให้กูหน่อยดิ) “ฮะ!? เป่าหาซะแตกหยัง หัวเข่าเด้ะบ่แมนเค้ก” (เป่าทำเหี้ยไร หัวเข่านะไม่ใช่เค้ก) “เออน่าา~ อย่าถามหลาย กูบอกให้เป่ากะเป่าโลดเป็นหยัง” (อย่าถามมาก กูบอกให้เป่าก็เป่าเถอะน่า) ผมยังคงคะยั้นคะยอให้พวกมันเป่าเพื่อพิสูจน์อะไรบางอย่าง ถึงจะไม่เข้าใจ แต่พวกมันก็ยอมเป่าแผลให้ผมจนน้ำลายกระจายเต็มหัวเข่า กูสิได้ติดเชื้อโรคตายมื่อนี่ล่ะ (กูจะได้ติดเชื้อโรคตายวันนี้แหละ) ผมค่อย ๆ เลื่อนมือขึ้นไปทาบบนหน้าอกตัวเองแผ่วเบา แต่สิ่งที่พบกลับไม่ได้ทำให้ความสงสัยของผมถูกไขให้กระจ่างเลยแม้แต่น้อย ทำไมหัวใจของผมมันไม่เต้นแรงเหมือนตอนไอ้คาลเป่าให้วะ หรือว่ามันต้องพูดด้วย “มึงลองเว่าคำว่า หายไว ๆ นะดู้ล่ะ” (มึงลองพูดคำว่า หายไว ๆ นะหน่อย" ไอ้ปึ๊ดกับไอ้แคนหันไปมองหน้ากันอย่างงุนงง ก่อนจะพูดออกมา “หายไว ๆ เด้อ” แปะ!! “เออะ!! มึงตบหัวกูห่าสะแตกหยังบักห่าหนิ” (โอ๊ย!! มึงตบหัวกูทำไมวะไอ้ห่า) ไอ้แคนลูบหัวปรอย ๆ เมื่อโดนฝ่ามือหนาของผมวาดลงที่หลังหัวเสียงดังลั่น “กะยังว่า หายไว ๆ นะ สิมาหายไว ๆ เด้อหยัง เว่าใหม่” (กูบอกว่าหายไว ๆ นะ ไม่ใช่หายไว ๆ เด้อ พูดใหม่) “เอ้า มันกะสิบ่คือกันน่ะเบาะ” (มันไม่เหมือนกันรึไงวะ) “บ่คือ! เว่าใหม่” (ไม่เหมือน! พูดใหม่) “ทำไรกันวะ” ไม่ทันที่ไอ้แคนจะได้พูดประโยคที่ผมบีบบังคับ ไอ้คาลก็ดันเดินออกมาจากห้องน้ำเสียก่อน “กะบักเซียงนี่ล่ะ จักมันเสียเส้นหยัง อยู่ซือ ๆ มันกะอุ๊บ!!” (ก็ไอ้เซียงน่ะสิ ไม่รู้มันเป็นบ้าอะไร อยู่ดี ๆ มันก็ อุ๊บ!!) เมื่อเห็นท่าไม่ดี ผมจึงรีบปรี่เข้าไปเอามือปิดปากไอ้แคนไว้จนแน่นสนิท จนน้ำลายมายืดมาติดมือ “สะ สูบ่พอกลับล่ะเบาะ สิตีหนึ่งแล้วเด้ กูหิวนอนล่ะหนิ” (พะ พวกมึงกลับได้แล้วมั้ง จะตีหนึ่งละนะ กูง่วงนอนแล้วเนี่ย) ผมผละออกจากไอ้แคนก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อเบี่ยงประเด็นสนใจ “ถุย บักห่าหนิ มือมึงคือเค็มตายแม่มึงแท้” (ไอ้ห่านี่ มือมึงเค็มฉิบหาย) “บ่เค็มจังได๋ กูเงียวบ่ทันล้างมืออยู่” (ไม่เค็มได้ไงล่ะ กูฉี่เสร็จยังไม่ทันล้างมือเลยเนี่ย) “แหวะ!!” ไอ้แคนรีบยกน้ำขึ้นมาบ้วนปากยกใหญ่ สมน้ำหน้า ใครบอกมึงอยากปากสว่างดีนัก ต้องเจออย่างงี้แหละ “กลับกะกลับสั่น ไว้พ้อกันมื่อหน้า เอ้อ กูลืมบอก กูตีไก่ชนะตั๊ว คันมึงหาค่าเทอมบ่ทันมาเอานำกูก่อนเด้อ” (กลับก็กลับ ไว้เจอกันวันหลัง เอ้อ ลืมบอกไป กูพนันไก่ชนชนะ ถ้ามึงหาค่าเทอมไม่ทันมาเอากับกูก่อนก็ได้นะ) ไอ้ปึ๊ดหันมาตบไหล่ผมเบา ๆ “เออ ๆ ขอบใจหลายเพี่ยน คึดว่าสิพออยู่ดอก คันบ่พอจังได๋กูสิบอกเด้อ” (ขอบใจมากเพื่อน น่าจะพออยู่หรอก หรือถ้าไม่พอกูจะยืมมึงแล้วกัน) ถึงชีวิตของผมจะเกิดมาในความโชคร้าย แต่มันก็ยังมีความโชคดีซ่อนอยู่เสมอ ผมหอบกระเป๋าเข้ากรุงเทพมาตัวคนเดียวก็จริง แต่ท้ายที่สุดแล้ว ผมก็ได้มีเพื่อนรักทั้งสองที่มันดีกับผมมาก ๆ แล้วต่อไปก็คงจะเป็นเพื่อนรักทั้งสามแล้วล่ะเพราะรวมไอ้คาลเข้าไปด้วย
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD