มหาวิทยาลัย โรงอาหารของคณะ
“ระยะหลังมานี้กูไม่ได้คลิปไอ้อินเยเย่กับสาวเลย หลายเดือนละ” มาร์คพูดขึ้นลอย ๆ สายตามองอินดี้ที่ไถหน้าจอโทรศัพท์
“เออ กูเห็นด้วย ระยะหลังมานี้ไม่ยืมโทรศัพท์กูติดต่อหาสาว ๆ เลย กูก็พลอยอดอยากปากแห้งไปด้วย น่าเบื่อฉิบหาย” นักรบรีบเข้าร่วมบทสนทนาอย่างรวดเร็ว
“เมื่อวานนี้กูดูคลิปวันเกิดมึง” อินดี้มองหน้านักรบ
“ช่วงไหนวะ โคตรจะยาวเลย หรือดูช่วงที่มึงควงเบ้นเข้างาน”
“ดูหมด ดูไปเรื่อย ๆ”
“มึงว่างเยอะเนอะ”
“เบื่อ ๆ ไม่มีอะไรทำก็หาดูไปเรื่อย ไม่คิดว่าจะเห็นอะไรที่ไม่เคยเห็น”
“อะไรวะ” นักรบทำหน้าสงสัย
ฉันเองก็สงสัย อินดี้มันจะทำอะไรอีก
“เพื่อนกันนี่หอมแก้มกันได้ด้วยเหรอ หรือว่ามึงกับไอ้มิวมีซัมติงกัน” อินดี้มองหน้าฉันสลับกับมองหน้านักรบ
“มึงหอมแก้มมิวสิคเหรอ” มาร์คหันมองนักรบทันที
“กูหอมแก้มมึงเหรอ” นักรบหันมาถามฉัน
“กูไม่รู้ กูเมา” ไอ้ห่านี่เอามาโยนให้ฉันได้ไง มึงไม่รู้สินะว่ากูโดนด่าแค่ไหนกับเรื่องที่มึงทำ
“กูก็ไม่รู้ กูเมา” ไอ้รบมันพูดตามฉัน นี่กะเอาประโยคนี้เป็นทางรอดสินะ
“ไอ้รบคิดอะไรกับมึงแน่เลยมิว ไม่งั้นคืนนั้นมันไม่หอมแก้มมึงหรอก” หนูจี๊ดออกความคิดเห็น แต่ความเห็นแบบนี้ไม่ต้องพูดจะดีกว่านะ หลายรอบละกับฝาแฝดคู่นี้ หางานให้ฉันบ่อยเลย
“มึงเสือกอะไรไอ้จี๊ด” นักรบหันมองหนูจี๊ด ใช้สายตาประมาณว่า มึงเงียบ ๆ ไป
“กูอยู่ในเหตุการณ์ กูเสือกในฐานะพยานไงมึง”
“กูด้วย กูก็เห็น เห็นเต็มตาเลย” หนูอี๊ดรีบยกมือ
“นี่พวกมึงคิดว่าตัวเองอยู่ในศาลกันหรือไง ถึงได้พากันเป็นพยาน” นักรบมองคู่แฝด ฉันก็อยากจะมอง อยากจะแหกปากด่าไอ้แฝดแรง ๆ แต่ทำอย่างนั้นไม่ต่างอะไรกับการแสดงออกว่า ร้อนตัว เหมือนที่นักรบกำลังทำ
แต่ที่ฉันไม่เข้าใจก็คือ มึงต้องการอะไรอินดี้ ถึงได้งัดเรื่องนี้มาพูด ไหนเราสองคนเคลียร์กันรู้เรื่องแล้ว
เอามาพูดในกลุ่มเพื่ออะไร
“พวกกูสองพี่น้องแค่พูดความจริง ทำไมมึงต้องร้อนตัวด้วย” หนูจี๊ดทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ มั่นใจมากว่าไม่ได้ทำอะไรผิด
“กูไม่ได้ร้อนตัว กูแค่เมา”
“ถ้าเมาทำไมต้องหอมแก้มไอ้มิว”
“ในคลิปกูพูดว่าอะไร”
“ของขวัญวันเกิด”
“นั่นไง กูก็แค่คิดว่าเป็นของขวัญวันเกิด คนเมาไงมึง”
“งั้นทำไมไม่ทวงกูสองคนบ้าง ทำไมทวงไอ้มิวคนเดียว มึงไม่คิดว่ามันแปลก ๆ เหรอ” ฝาแฝดมันยังไม่ยอมหยุด ยังคงซักถามไม่เลิก เหมือนอยากจี้ให้นักรบจนมุม
“นั่นสิ นี่มึงแอบคิดอะไรกับเพื่อนเหรอไอ้รบ ไม่คิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่ควรจะทำเหรอ” มาร์คพูดด้วยสีหน้าจริงจัง จริงจังมาก ๆ จ้องชนิดที่ว่ากินเลือดกินเนื้อได้คงกินไปแล้ว
ฉันละสายตาออกจากกลุ่มเพื่อน ขี้เกียจจะสนใจเรื่องที่พวกมันกำลังพยายามต้อนนักรบ ไอ้คนจุดประเด็นก็จ้องหน้านักรบอยู่อย่างนั้น
หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเล่น ทำเป็นไม่ใส่ใจ พอดีกับมีแจ้งเตือนว่ามีคนไลน์มาหา ฉันจึงถือโอกาสนี้กดเข้าไปอ่าน
พี่เรย์เพื่อนของพี่ต้าร์กดส่งสติ๊กเกอร์มาให้ เป็นสติ๊กเกอร์ถามว่าว่างหรือเปล่า ตัวละครดุ๊กดิ๊กไปมา ดีที่ฉันกดปิดเสียงโทรศัพท์ ก็เลยไม่มีเสียง
(มิวสิค: ว่างค่ะ พักกลางวันอยู่ ขอโทษที่ตอบช้านะคะพี่เรย์)
พี่เรย์เขาทักมาตั้งแต่สิบโมงกว่า ฉันเปิดอ่านตอนเกือบบ่าย ถ้ามีธุระสำคัญอะไรฉันก็เป็นคนที่พึ่งพาไม่ได้
(พี่เรย์: ไม่เป็นไร เลิกเรียนกี่โมงครับ)
(มิวสิค: วันนี้เลิกเย็นค่ะพี่เรย์ พี่เรย์มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ)
(พี่เรย์: พี่แค่อยากนัดกินข้าวกับน้องมิวครับ)
(มิวสิค: จะดีเหรอคะ พี่เรย์ไม่ยุ่งเหรอ)
(พี่เรย์: พี่ไม่ได้เจอน้องมิวนานเลยอยากกินข้าวด้วย อาทิตย์หน้าพี่จะไปทำงานต่างประเทศ เป็นไปได้อยากเลี้ยงข้าวน้องมิวก่อน)
(มิวสิค: ที่จริงไม่จำเป็นต้องเลี้ยงก็ได้นะคะ เราเพิ่งเจอกันครั้งเดียวเอง)
(พี่เรย์: มันเป็นเรื่องเมื่อนานมาแล้ว แต่พี่ไม่เคยลืมเลยนะ น้องมิวเคยช่วยพี่ไว้เยอะเลย พี่ตั้งใจไว้แล้วว่าถ้ามีโอกาส สักวันพี่อยากขอบคุณน้องมิวดี ๆ สักครั้ง)
(มิวสิค: หือ มิวทำอะไรคะ)
(พี่เรย์: มันอาจจะเป็นเรื่องเล็ก ๆ ที่น้องมิวไม่ได้ใส่ใจ แต่สำหรับพี่มันเป็นความรู้สึกดี ๆ ที่ไม่มีวันลืม อาจจะเป็นเพราะวันนั้นเป็นวันที่ทุกอย่างแย่ไปหมด แต่เพราะคำพูดของน้องก็เลยกลายเป็นวันที่ดี)
(มิวสิค: หมายถึงวันที่พี่เรย์ถูกสาวหลอกเอาเงินไปเหรอคะ)
(พี่เรย์: พูดตรง ๆ เลยเหรอ พี่อายนะ)
(มิวสิค: ง่า ขอโทษค่ะพี่เรย์)
(พี่เรย์: ไม่เป็นไร มันเป็นเรื่องจริงนี่)
(พี่เรย์: แล้วรับปากไปทานข้าวกับพี่หรือเปล่าครับ)
(มิวสิค: ได้ค่ะ แต่วันนี้น่าจะไม่ได้)
(พี่เรย์: น้องมีวันว่างก่อนพี่เดินทางหรือเปล่าครับ)
(มิวสิค: พี่เรย์เดินทางวันไหนคะ)
(พี่เรย์: พฤหัสหน้าครับ)
(มิวสิค: งั้นวันอังคารตอนเที่ยงดีไหมคะ วันนั้นมิวไม่มีเรียน)
(พี่เรย์: ได้เลย สถานที่เรานัดกันอีกทีนะ)
(มิวสิค: ตกลงค่ะ)
“อีนี่ก็ไม่สนใจเลยว่าพวกมันกัดกันยังไง ก้มหน้ากดโทรศัพท์อย่างเดียวเลย มีผัวไม่บอกเพื่อนเหรอจ๊ะ” หนูจี๊ดชะโงกหน้ามองหน้าจอ ฉันจึงรีบกดออก
“เปล่า พี่ชายกู” เพื่อนพี่ชายก็เหมือนพี่ชาย
แล้วไอ้แฝดคู่นี้ก็หางานให้ฉันเก่งจริง ๆ เพียงแค่หนูจี๊ดพูดว่าฉันคุยกับผู้ชาย สายตาอินดี้ก็จ้องมาที่ฉันเงียบ ๆ
“กูก็นึกว่าซุ่มเงียบมีผัว”
“หน้าอย่างกูใครจะเอา”
“ทำเป็นดูถูกตัวเอง มึงก็รู้ตัวอยู่แล้วว่ามึงสวย ปัญหามันอยู่ที่มึงไม่เอาคนที่มาจีบมากกว่า ถ้าลองมึงสนคนที่มาจีบ ป่านนี้มึงได้ผัวเป็นสิบละ”
“เป็นร้อยค่า” หนูอี๊ดพูดเสริม
ดูคำพูดของมันสองคนสิ แต่ละคำดี ๆ ทั้งนั้น
เดี๋ยวกลับห้องไอ้บ้าอินก็หาเรื่องทะเลาะกับฉันอีก
“อือ ถ้าจะเป็นร้อยขนาดนั้นกูอยู่โสด ๆ แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”
“ไม่อยากมีผัวเหรอวะ” หนูอี๊ดถาม
“เออ นั่นสิ ไม่คันบ้างเหรอ มีผัวก็ดีนะมึง ช่วยให้เราผ่อนคลายได้”
“เรื่องนั้นไม่ต้องมีผัวก็ช่วยได้” นักรบพูดเสริม
“ทำไม มึงจะช่วยมันหรือไง” มาร์คเอ่ยด้วยสีหน้าหาเรื่อง
“ไอ้มาร์คไอ้เหี้ย กูก็ไม่ได้หมายถึงกู หมายถึงเอากันเฉย ๆ อยากเอาก็เอา ไม่ต้องมีสถานะ เจอกันแค่ตอนอยากเอา ก็เหมือนที่ไอ้อินมันชอบทำไง”
“มึงก็ทำค่า อย่าว่าแต่ไอ้อิน มึงน่ะหากินแบบนั้นมาตั้งเท่าไหร่แล้วคะ” หนูจี๊ดรีบดักทางนักรบ
ขณะเดียวกันใจฉันเต้นแรง เรื่องที่เพื่อนพูดกันทำให้ฉันร้อนตัว นี่พวกมันระแคะระคายอะไรหรือเปล่า ทำไมพูดเหมือนรู้ว่าฉันแอบกินผู้ชายล่ะ
หรือฉันคิดไปเองนะ อาจจะเป็นฉันที่ร้อนตัวไปเอง กังวลเกินเหตุ ที่จริงเพื่อน ๆ มันก็แค่หาเรื่องพูดกันไปเรื่อยเท่านั้นเอง
แค่บังเอิญเรื่องที่พูดไปเรื่อยเป็นเรื่องที่ตรงกับช่วงชีวิตของฉันตอนนี้พอดี
“แม่ง แค่กูหอมแก้มไอ้มิวครั้งเดียว พวกมึงพากันกัดกูฉิบหาย กูพูดอะไรก็ผิดไปหมด” แล้วนักรบก็เข้าสู่การตัดพ้อน้อยใจ สีหน้าไม่ได้จริงใจอะไรเลย
“ทีหลังก็อย่าเสือกทำ เพื่อนกันน่ะดีแล้ว รักษาความสัมพันธ์นี้ไว้ให้ดี เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมันยั่งยืนที่สุด อยากเอาหรือคันมากก็ไปหาเอาคนอื่น ไม่ใช่เอาเพื่อนตัวเอง” มาร์คมันยังคงพูดเรื่องนี้ได้เจ็บแสบเหมือนเดิม ฉันหัวหดทุกครั้งที่มาร์คพูดเรื่องเหล่านี้
“ทำไมมึงต้องแอนตี้ขนาดนี้วะ ใช่ว่าไม่มีคนเคยเป็นเพื่อนกันแล้วแต่งงานกันสักหน่อย” หนูอี๊ดตั้งคำถาม
ซึ่งฉันน่ะเคยถามมันแล้ว คำตอบของมาร์คก็เข้าใจได้
“เพราะมันไม่ใช่ทุกคู่ที่สมหวัง แล้วพอเลิกกันก็ทำให้เพื่อนคนอื่นในกลุ่มลำบากใจไปด้วย ทางที่ดีอย่าหาทำจะได้รักษาความสัมพันธ์ที่ดีไว้”
นี่ไง ตอบเหมือนเดิมเลย และก็อย่างที่บอก คำตอบของมาร์คฟังขึ้นจริง ๆ นั่นแหละ