เลออนนั่งถอนหายใจเบา ๆ มองแก้วเหล้าในมือด้วยดวงตาเหม่อลอย แสงไฟสีส้มสลัวภายในผับสะท้อนในของเหลวสีอำพันที่ไหลวนในแก้ว เหมือนกับความคิดในหัวเขาที่วุ่นวายไม่จบสิ้น
ภากรที่นั่งอยู่โซฟาตรงกันข้ามมีสาวสวยนั่งเบียดข้างกายยกแขนโอบเธอด้วยท่าทางชินชา แต่สายตากลับจับจ้องไปยังเพื่อนของตัวเองอย่างเหนื่อยหน่ายสุดขีด
“ไอ้เลออน มึงจะมานั่งซึมเหมือนส้วมแบบนี้ไม่ได้นะเว้ย นี่มันผับ ไม่ใช่วัด”
“...” เลออนไม่ตอบอะไรเพียงแค่ปรายตามองภากรแวบหนึ่งด้วยสายตาว่างเปล่า ก่อนจะหันกลับไปสนใจแก้วเหล้าในมือต่อ ราวกับคำพูดเมื่อครู่ไม่เคยผ่านเข้าหู
ภากรกลอกตาอย่างสุดจะทน จะว่าไปเขาก็ไม่รู้แล้วว่าควรช่วยเพื่อนยังไง จะพาเที่ยวก็ไม่เอา จะให้เปิดใจสาว ๆ ก็ไม่มอง
“โอ๊ย สมกับเป็นมึงจริง ๆ เลย ถ้ารักเขาขนาดนั้นก็ลุยเลยสิวะ จะมานั่งซึมอยู่ทำไม” แม้จะพูดเสียงดังพอให้ได้ยิน แต่เขาก็รู้ว่าเลออนคงไม่ตอบกลับมาเหมือนเดิม ที่เขาไม่รู้ก็คือ เลออนไม่ได้ ‘ไม่ตอบ’ เพราะไม่แคร์ แต่เพราะ ‘ตอบไม่ได้’
“กูถามจริงนะ ถ้าวันหนึ่งเขามีแฟน มีครอบครัว มึงจะทนได้เหรอ?? จะไม่เสียใจทีหลังหรือไง??” ภากรหรี่ตามองเพื่อน
“กูขอแนะนำในฐานะเพื่อนที่ดีที่สุดของมึง ถ้ามึงชอบ ก็จีบ อย่ามัวแต่มองเขาห่าง ๆ แบบนี้”
เลออนยังคงนิ่ง มองเหล้าในแก้วที่พร่องลงเรื่อย ๆ ไม่มีแม้แต่แววเคลิ้มกับแอลกอฮอล์ มีเพียงความว่างเปล่ากับไอเย็นที่แผ่ซ่านออกมารอบตัว
ภากรเงียบลงเมื่อไม่ได้คำตอบใดกลับมา ก่อนจะถอนหายใจยาว เหลือบมองเพื่อนที่ยังนั่งนิ่งไม่ต่างจากรูปปั้น
“มึงมันบ้า... รักเขาแต่ไม่เคยพูด” เสียงของภากรอ่อนลง
“กูว่าเขาไม่รู้จักตัวตนของมึงด้วยซ้ำ แล้วมึงจะปล่อยให้เขาหลุดมือไปแบบนี้จริงเหรอ??”
“กูไม่คู่ควร” คำพูดแผ่วเบาหลุดออกมาช้า ๆ แต่กลับหนักแน่นจนบาดลึก น้ำเสียงแหบต่ำติดหอบเหมือนกลั้นทุกอย่างไว้สุดแรง ภากรชะงัก รอยยิ้มกวนหายไปทันที
“แล้วถ้าวันหนึ่ง... มีผู้ชายคนอื่นเดินเข้าไปในโลกของเขา ได้ยืนข้างเขาในวันที่เขาร้องไห้ ได้จับมือเขาในวันที่เขากลัว มึงจะยอมเหรอ??”
เลออนหลับตาแน่น หัวใจบีบรัดเหมือนถูกใครบีบไว้ด้วยมือเปล่า เงียบ... และเจ็บ
“มึงไม่ได้ไม่คู่ควรหรอก” ภากรพูดเสียงนิ่งกว่าทุกครั้ง
“มึงแค่ไม่กล้า”
เลออนลืมตาขึ้นช้า ๆ แววตานิ่งสงบ แต่ในความสงบนั้น... มีบางอย่างค่อย ๆ ตื่นขึ้น บางทีมันน่าจะพอแล้วกับการยืนมองอยู่ห่าง ๆ
“กู...”
“งั้นถ้ามึงไม่จีบ กูจีบนะ” ภากรหันมายักคิ้วกวน “น้องเขาน่ารักขนาดนั้น ถ้าได้เป็นแฟนกูจะพาไปโชว์ตัวทุกที่เลย” ยังไม่ทันจบประโยคเท้าหนัก ๆ ของเลออนก็ถีบเข้าใส่เขาจัง ๆ จนทั้งภากรและสาวข้างกายหงายหลังไปพร้อมกัน
“ไอ้สัส!! กูเจ็บนะถีบมาได้!!” ภากรนอนแอ้งแม้งอยู่บนโซฟา สาวข้างกายรีบสะบัดตัวหนีไปอย่างตกใจ เขาลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิ หันไปมองเพื่อนตัวดีที่ยังนั่งนิ่งราวกับหินผา
“หึ... สมควร” เลออนว่าเรียบ ๆ
“ไอ้ห่าเลออน ถ้าหวงขนาดนี้ แปลว่ามึงไม่ได้แค่ชอบแล้วเว้ย แต่มึงรักเขามาก” ภากรปัดเสื้อไปพลางด่าไปพลาง เลออนไม่ตอบเพียงแค่ปรายตามองมาเงียบ ๆ
“ถ้างั้น... อย่าช้าไปกว่านี้เลยเพื่อน” ภากรพูดต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ไม่ต้องรอจังหวะหรอก จังหวะน่ะ มึงสร้างมันเองได้”
เลออนไม่ตอบเช่นเคย แต่ครั้งนี้... เขาค่อย ๆ ยกโทรศัพท์ขึ้นมามองดูรูปด้านหลังหญิงสาวท่ามกลางแสงสีส้มของพระอาทิตย์ตกดิน แววตาของเลออนแข็งกร้าวขึ้นนิดหนึ่ง ก่อนเสียงทุ้มต่ำจะเปล่งออกมาอย่างชัดเจน
“กูจะไม่ปล่อยให้ใครได้เธอไป”
“ต้องแบบนี้สิ... ไอ้เลออนที่กูรู้จัก” ภากรมองเพื่อนแล้วยิ้มบาง ๆ
พบรักเดินเข้ามาภายในตัวบ้านพร้อมกับรอยยิ้มบาง ๆ ที่ยังค้างอยู่บนใบหน้า แต่แล้วรอยยิ้มนั้นก็เลือนหายไปทันทีเมื่อเสียงสนทนาแปลกหูดังลอดออกมาจากในบ้าน
“นมเราก็เป็นคนกันเอง ฉันก็ไม่ติดจะให้หลานที่ยังเรียนไม่จบมาดูแลบริษัท นมว่าจริงไหม??”
“ที่คุณสมรพูดก็ถูก นมก็แค่อยากให้คุณหนูสบายใจแต่ก็ไม่อยากให้ใครมาเอาเปรียบ” เสียงของนมคนที่เลี้ยงดูพบรักมาตั้งแต่เล็กฟังดูเหมือนราบเรียบแต่กับพบรักมันไม่ใช่เพราะมันมีความหมายอื่นแฝงอยู่
คิ้วเรียวของพบรักขมวดเข้าหากันทันที มือบางกำสายกระเป๋าสะพายแน่น ก่อนจะค่อย ๆ ก้าวเดินอย่างเงียบที่สุดไป ‘ปกติบ้านเราก็ไม่มีใครแวะมา แต่ทำไมวันนี้ถึงมีคนมาได้’ ความสงสัยแล่นขึ้นในใจ พร้อมกับเสียงอีกเสียงหนึ่งที่เธอจำได้ดีดังขึ้น
“แต่หุ้นที่ฉันกับคุณณรงค์พูดถึง มันก็แค่ย้ายจากมือหลานมาไว้กับผู้ใหญ่ที่ไว้ใจได้ แบบนี้จะทำให้บริษัทมั่นคงมากขึ้นด้วยซ้ำ”
พบรักชะงักฝีเท้าทันที แววตาเรียบนิ่งของเธอเริ่มสั่นไหว ไม่ใช่แค่เสียงของ ‘ป้าสมร’ ที่เธอจำได้เท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องของ ‘หุ้น’ ของบริษัทที่พ่อกับแม่เธอทิ้งไว้ให้ก่อนพวกท่านจะจากไป เธอสูดหายใจลึกรวบรวมความเยือกเย็นก่อนจะเดินเข้าไปเผชิญหน้าคนพวกนั้น
“นม รักกลับมาแล้วค่ะ” น้ำเสียงของเธอสุภาพ แต่เฉียบคมพอจะทำให้บรรยากาศในห้องชะงักไปชั่วขณะ
“อ้าว!! หลานรักกลับมาแล้วเหรอ” ป้าสมรหันมามอง ก่อนจะรีบเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มหวาน ณรงค์ที่นั่งอยู่ด้วยขยับตัวเล็กน้อยเหมือนพยายามกลบอาการ
“สวัสดีค่ะ ป้าสมร ลุงณรงค์” พบรักไหว้อย่างมีมารยาทแต่แววตาเรียบสนิทเกินกว่าจะอ่านออก
“นี่ป้ากำลังคุยกับนมรอหนูอยู่เลย”
“รอ?? รอทำไมคะ ลุงกับป้ามีเรื่องอะไรจะคุยกับหนู”
“ป้าจะมาคุยเรื่องหุ้นบริษัทนะ”
“หุ้น??”
“ใช่จ้ะ ลุงกับป้าอยากจะขอซื้อหุ้นของพ่อกับแม่หนูที่หนูถืออยู่ ลุงกับป้าเห็นว่าหนูยังเด็ก ยังเรียนไม่จบ ยังบริหารงานไม่ได้ ลุงกับป้าก็เลยอยากได้อำนาจบริหารงานเต็มที่ ตอนนี้ผู้ถือหุ้นคนอื่น ๆ ก็ยังลังเลเพราะหนูถือหุ้นมากที่สุด ถ้าหนูยอมโอนมา ทุกอย่างจะง่ายขึ้นเยอะ”
“ขอโทษนะคะ หนูไม่คิดจะขายค่ะ” พบรักตอบชัดถ้อยชัดคำ สีหน้าไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย
“แต่ลุงว่า... บริษัทเราอาจจะรอจนหนูเรียนจบไม่ได้นะ ตอนนี้กำลังจะเริ่มโปรเจกต์ใหญ่ ต้องใช้คนตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ถ้าหนูยังไม่พร้อมจะบริหารจริง ๆ ก็”
“หนูอาจจะยังไม่พร้อมในตอนนี้” พบรักพูดแทรกอย่างสุภาพ แววตามั่นคง
“แต่สมบัตินี้ พ่อกับแม่ตั้งใจให้หนูดูแล หนูไม่มีวันขายค่ะ ต่อให้วันนี้หนูยังทำอะไรไม่ได้ แต่หนูก็จะเรียนรู้จนทำได้แน่นอน”
สมรกับณรงค์สบตากันเงียบ ๆ สีหน้าเริ่มเคร่งขึ้นนิดหน่อย แต่ยังคงรอยยิ้มจอมปลอมเอาไว้
“เด็กสมัยนี้หัวแข็งกันจริง ๆ” สมรพึมพำเบา ๆ ก่อนจะยิ้ม
“งั้นป้ากับลุงคงต้องขอตัวก่อนนะจ๊ะ พอดีมีธุระต่อ”
“ขอบคุณที่แวะมานะคะ” พบรักยิ้มบาง ๆ อย่างสุภาพ เธอเดินไปส่งแขกถึงหน้าประตูด้วยท่าทีอ่อนน้อม แต่สายตาที่ทอดมองแผ่นหลังของคนทั้งสองกลับนิ่งเรียบและเยือกเย็น
เมื่อประตูบ้านปิดลง พบรักก็หันกลับเข้ามาแล้วถอนหายใจออกมาช้า ๆ นมที่ยืนอยู่เงียบ ๆ มาตลอดค่อย ๆ เดินเข้ามา
“คุณหนู...” เสียงแผ่วเบาเรียกชื่อเธอ
“ไม่เป็นไรค่ะนม... ต่อไปนี้รักจะดูแลทุกอย่างเอง รักสัญญา” พบรักพูดเสียงเบา แต่เต็มไปด้วยความแน่วแน่ แม้มือจะยังสั่นเล็กน้อยจากแรงกดดันเมื่อครู่ แต่หัวใจของเธอกลับไม่สั่นตาม