บทที่ 4 มัดมือชก EP.4

1019 Words
“ทุกท่านคิดเหมือนโรสไหมคะว่าปัจจุบันคนไทยเราต่างโหยหาอดีตกัน การได้กลับมาแต่งกายด้วยชุดไทยสมัยก่อน ซึ่งโรสมองว่ามีความงดงามไม่แพ้ชุดประจำชาติใดๆ ในโลก อาจทำให้ความรู้สึกโหยหาบรรเทาเบาบางลงได้นะคะ...” ขณะที่พิธีกรสาวกำลังส่งเสียงเจื้อยแจ้วอยู่บนเวที ใครคนหนึ่งที่อยู่ข้างล่างและอยู่ไม่ห่างจากตรงนั้นนัก ก็กำลังตกอยู่ในอาการตกตะลึงจังงัง นัยน์ตาคมสีนิลจับจ้องไปยังเจ้าของร่างระหงบนเวทีเขม็ง และอยู่ในท่านั้นโดยไม่ได้สนใจกับสิ่งรอบตัวอีกเลย “ภาม” เสียงเรียกทำเอาเจ้าของนัยน์ตาคมถึงกับสะดุ้งเฮือก ก่อนจะหันไปมองคนเรียกอย่างเคืองๆ “เรียกทำไมนักหนาวะ” “แล้วแกเป็นอะไรไปวะ เรียกแค่นี้ทำสะดุ้งดูแล้วเหมือนไม่ใช่ตัวแกเลยนะ” กรวิชญ์เขม้นมองท่าทีของเพื่อนอย่างกังขา “แล้วตกลงแกเรียกทำไม” ภีมวัจน์ตอบไม่ตรงคำถาม “ผู้หญิงที่อยู่บนเวทีนั่นใช่คนเดียวกับคนที่ถูกแกขับรถเฉี่ยวเมื่อวันเสาร์ที่แล้วหรือเปล่าวะ” “ถ้าแกคิดว่าใช่ก็ใช่ คิดว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่” คนถูกถามตอบเล่นลิ้นเพราะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว “อ้าวไอ้ภาม ถามดีๆ เสือกตอบกวนตีน” กรวิชญ์ด่า “แต่ฉันคิดว่าใช่” “ก็ในเมื่อแกมั่นใจว่าใช่แล้วถามเพื่อ?” “ฉันก็ถามไปอย่างนั้นเอง แค่เห็นแกจ้องตาไม่กะพริบแบบนี้ฉันก็รู้คำตอบอยู่แล้ว หรือแกจะเถียงว่าไม่ได้จ้อง” คนถูกจับได้นิ่งซึ่งเท่ากับยอมรับกลายๆ นับเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่คนอย่างเขาใช้สายตาจับจ้องใครได้นานถึงเพียงนี้ “แปลกนะ แม้ชุดที่ผู้หญิงคนนั้นสวมจะคล้ายกับคนอื่นๆ จนแทบแยกไม่ออก แต่ฉันกลับจำได้ทันทีที่เห็น ตอนแรกคิดว่าคุณน้ำผึ้งแต่งชุดไทยสวยแล้วนะ แต่คนบนเวทีสวยกว่ามากแกเห็นด้วยกับฉันไหมวะ” กรวิชญ์พูดพลางลอบมองปฏิกิริยาของเพื่อน ทว่าไม่มีคำตอบจากอีกฝ่ายนอกจากความเงียบ จึงแกล้งถามต่อ “ว่าแต่เมื่อกี้เธอแนะนำตัวเองว่าชื่ออะไรนะ ฉันฟังไม่ถนัด” “รสิกา” ภีมวัจน์เอ่ยออกมาโดยไม่รู้ตัว นัยน์ตาคมมองไปยังคนบนเวทีอีกครั้ง ตอนแรกเขายอมรับว่าไม่ได้ให้ความสนใจกับผู้หญิงที่จะขึ้นไปเป็นพิธีกรบนเวทีนัก ทว่าพอได้ยินเสียงใสๆ แนะนำตัวเองไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้เขาหันไปมอง ไม่คิดเลยว่าน้องโรสที่เมธาวีพูดถึงจะเป็นผู้หญิงคนนั้น คนที่ถูกเขาขับรถเฉี่ยวซ้ำยังมองมายังเขาราวกับเห็นผี และเป็นคนที่ติดอยู่ในดวงตาตรึงอยู่ในใจเขาตั้งแต่เห็นครั้งแรกจนกระทั่งบัดนี้ ต่อให้มีผู้หญิงแต่งกายคล้ายคลึงกับเธอยืนอยู่บนเวทีเป็นสิบ เขาก็มั่นใจว่าจำเธอได้อย่างแน่นอน หลายวันที่ผ่านมาเขาพยายามขับรถวนเวียนไปแถวๆ ที่เกิดเหตุแต่ก็ไม่พบแม้เงา ซึ่งเป็นเรื่องที่เขาไม่เคยกระทำมาก่อน แม้จะพยายามบอกตัวเองว่าที่ไปตามหาเพราะเป็นห่วงอาการบาดเจ็บก็ตาม จากที่คิดว่าไม่รู้จะไปตามหาตัวเธอได้ที่ไหน เธอก็มาให้เห็นจนเขาแทบจะเตรียมตัวเตรียมใจรับไม่ทัน อย่างนี้หรือเปล่าที่เรียกว่าโชคชะตาหรือว่าพรหมลิขิต มันเป็นเรื่องที่ไม่เคยปรากฏในหัวสมองคนอย่างเขามาก่อน ที่เคยคิดว่าเรื่องดังกล่าวไร้สาระมีแต่ในนิยายเท่านั้น ไม่คิดว่าจะเจอกับตัวเอง แต่ไม่ว่าอะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้เธอมายืนอยู่ตรงนี้ ก็ขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ และสัญญาว่าจะไม่ให้เธอคลาดไปจากสายตาอีกเป็นอันขาด “ตกลงแกเห็นด้วยกับฉันไหมวะ” กรวิชญ์ยังเซ้าซี้ถามต่อด้วยคำถามเดิม “แกเห็นยังไงฉันก็เห็นอย่างนั้นแหละ” ภีมวัจน์หันมาตอบด้วยใบหน้าที่เกลื่อนไปด้วยรอยยิ้มจางๆ อย่างที่ไม่ค่อยมีใครได้เห็นบ่อยนัก แต่ก่อนที่ทั้งคู่จะพูดอะไรกันต่อคนเป็นเจ้าบ่าวก็หันมาเรียกเสียก่อน “เฮ้ย พวกแกมัวแต่คุยอะไรกันอยู่ พิธีกรเรียกฉันขึ้นเวทีแล้ว แกสองคนลืมหรือไงว่าต้องขึ้นไปกับฉันด้วย” “เออ แกเป็นเจ้าบ่าวก็เดินนำไปก่อนสิเดี๋ยวพวกฉันเดินตามเอง” ภีมวัจน์พูดกับเพื่อนแต่ดวงตาคมมองไปยังพิธีกรบนเวที “แล้วก็อย่าลืมเดินคู่ไปกับเพื่อนเจ้าสาวอย่างที่ตกลงกันไว้นะโว้ย” คนเป็นเจ้าบ่าวยังไม่วายหันมาสั่งก่อนจะเดินควงแขนเจ้าสาวขึ้นไปบนเวที โดยมีกรวิชญ์ตามไปเป็นคู่ที่สองพร้อมด้วยดาริกาซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของเจ้าสาว “คุณภีมวัจน์คะเราไปกันเถอะค่ะ” “อ๋อ ครับ” ลัลรินมองเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาที่เดินเคียงคู่กับเธอแล้วลอบยิ้มด้วยความสมใจ เพราะอย่างน้อยการเดินคู่กันย่อมต้องถูกถ่ายรูปออกสื่ออยู่แล้ว แม้จะรู้สึกไม่สบอารมณ์นักกับท่าทีของชายหนุ่ม เพราะเธอลอบจับสังเกตอยู่จึงเห็นว่านัยน์ตาของอีกฝ่ายจับจ้องไปที่เวทีตลอดเวลา อีกทั้งคำสนทนาระหว่างเขากับกรวิชญ์ที่แม้จะได้ยินไม่ถนัดนัก แต่ก็เดาได้ว่าต้องเกี่ยวข้องกับผู้หญิงที่เป็นพิธีกรบนเวทีนั่นอย่างแน่นอน หญิงสาวอยากจะรู้นักว่าผู้หญิงที่ทำหน้าที่พิธีกรบนเวทีมีอะไรดี จึงทำให้คนอย่างภีมวัจน์มองจนตาแทบไม่กะพริบเช่นนี้ ก็แค่ผู้หญิงหน้าตาพอดูได้คนหนึ่งเท่านั้น
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD