ณ ร้าน “แพรวาอาหารญี่ปุ่น” 🍱 / ห้องพักชั้นบน
เสียงประตูไม้ชั้นล่างดัง “แกร๊ก” เบา ๆ ตามด้วยเสียงแม่ตะโกนจากในครัว
“แพรวา กลับมาแล้วเหรอลูก?”
แพรวายืนอยู่ตรงหน้าประตูบ้านสักพัก ก่อนจะฝืนตอบกลับไปเสียงปกติที่สุดเท่าที่ทำได้
“ค่ะ แม่”
กลิ่นโชยุ กลิ่นข้าวสวยร้อน ๆ ลอยปะทะหน้า ปกติกลิ่นนี้ทำให้เธอรู้สึกเหมือนได้กลับที่ปลอดภัย แต่วันนี้…มันเหมือนถูกทับด้วยอะไรหนัก ๆ ในอก หายใจก็ยังแน่นไปหมด
แม่โผล่หน้าออกมาจากครัว ยิ้มกว้างเหมือนทุกวัน
“เป็นไงบ้าง วันแรกของเด็กทุนเทวากร เหนื่อยไหมลูก?”
แพรวาฝืนยิ้ม ทั้งที่หัวใจยังเต้นแรงเพราะภาพริมฝีปากของเพลิงในรถเมื่อกี้ยังชัดเจนอยู่ไม่หาย
“ก็…เหนื่อยนิดหน่อยค่ะแม่ คนเยอะ หนูมึนไปหมดเลย”
แม่หัวเราะเบา ๆ เดินเอาชามแกงจืดและข้าวสวยมาวางตรงหน้า
“มากินก่อน เดี๋ยวจะปวดหัว หิวแล้วคิดมากมันยิ่งแย่”
แพรวานั่งลง มองชามแกงจืดใส ๆ ควันลอยขึ้นมานิด ๆ แต่ช้อนในมือกลับหนักแปลก ๆ เธอตักข้าวขึ้นมาแต่กินไม่ลง กลืนอะไรแทบไม่เข้า
คำของเพลิงดังกลับมาแบบไม่ปรานี
“เด็กทุนปีนี้ถูกเลือกเพราะพ่อเธอ ไม่ใช่เพราะคะแนน”
“พ่อเธอมีเรื่องกับแก๊งมาเฟียต่างประเทศ”
“ถ้าเธอไม่รู้ความจริง เธอจะอยู่ที่นั่นไม่ถึงเดือน”
มือเธอสั่นจนช้อนกระทบขอบชามดัง “กริ๊ก” แม่เงยหน้าขึ้นมามองทันที
“ลูก เป็นอะไรหรือเปล่า?” น้ำเสียงอ่อนลงแต่จริงจัง “หน้าเครียดกว่าตอนอ่านหนังสือสอบอีกนะ”
แพรวาสะดุ้ง รีบวางช้อน ยิ้มกลบเกลื่อน
“ไม่มีอะไรค่ะแม่ แค่…ตื่นเต้นวันแรกมั้งคะ คนเยอะ ระบบเยอะ หนูงงไปหมดเลย”
แม่ยังมองนิ่ง ๆ เหมือนจะไม่เชื่อทั้งหมด แต่ไม่ได้ซักต่อ ยกมือมาตบหลังมือเธอเบา ๆ
“ถ้าเหนื่อยก็พักเยอะ ๆ นะลูก เรื่องอื่นไว้ค่อยคิดทีหลัง”
ถ้าเรื่องมันง่ายแบบนั้นได้ก็ดี แพรวาคิดในใจ แต่พูดแค่
“ค่ะ แม่ เดี๋ยวหนูขึ้นไปอาบน้ำก่อนนะคะ จะได้ลงมาช่วยล้างจาน”
ไม่รอให้แม่ถามอะไรอีก เธอลุกขึ้น เดินขึ้นบันไดเร็วเกินกว่าปกติ เหมือนกำลังหนีสายตาอ่อนโยนของแม่ ที่พร้อมจะดึงน้ำตาเธอออกมาได้ทุกเมื่อ
พอเข้าห้องได้ เธอปิดประตูแนบหลัง แล้วทิ้งตัวลงนั่งกับพื้น พิงบานประตูไว้แบบหมดแรง
เสียงหัวใจเต้นดังยิ่งกว่าเสียงร้านทั้งร้านรวมกัน เธอเอามือกดที่อกตัวเองแน่น เหมือนอยากบังคับให้มันหยุดวุ่นวายสักที
“พ่อ…มันเรื่องอะไรกันแน่…”
ถ้าเพลิงโกหก มันก็จบง่าย แต่สายตาเขาตอนพูด…ไม่ได้เหมือนคนโกหกเลยสักนิด แถมคำเตือนจากโน้ตในซองทุน เสียงผู้ใหญ่ที่มหา’ลัย สายตาแปลก ๆ ทั้งหมดมันต่อกันเป็นรูปเดียวกันจนเธอขนลุก
อาบน้ำเสร็จ เธอนั่งอยู่หน้าตโต๊ะอ่านหนังสือ เปิดชีทออกมา แต่ตัวหนังสือพร่าไปหมด อ่านไปสองหน้า ไม่รู้เลยว่าตัวเองอ่านอะไรไปบ้าง สมองวนกลับไปเรื่องเดียว
พ่อ
มาเฟีย
เทวากร
เพลิง
และ จูบในรถเมื่อกี้
แค่คิดหน้าก็ร้อนวาบ เธอส่ายหัวแรง ๆ กับตัวเอง
“โฟกัสหน่อยแพรวาไม่น่าเลยจริง ๆ”
ยังไม่ทันจะได้ฝืนอ่านอะไรต่อ เสียงประตูบ้านด้านล่างก็ดังขึ้น ตามด้วยเสียงพ่อทุ้ม ๆ
“ผมกลับมาแล้ว”
มือที่ถือปากกาหยุดนิ่งทันที ใจเหมือนถูกบีบแรง ๆ เธอลุกขึ้นไปยืนที่หน้าประตูห้อง เงี่ยหูฟังเสียงสนทนาลงข้างล่าง ทั้งอยากลงไปกอดพ่อเหมือนเดิม ทั้งอยากถามให้รู้เรื่อง ทั้งกลัวคำตอบ
ยืนเถียงกับตัวเองอยู่หน้าประตูเกือบห้านาที สุดท้ายก็สูดหายใจเข้าลึก กำมือแน่น
หนีไปก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี
เธอค่อย ๆ เดินลงบันไดทีละขั้น เห็นพ่อนั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าว แม่กำลังรินชาให้ พอเห็นลูกสาวลงมา พ่อก็ยิ้มเหมือนทุกวัน
“วันนี้เป็นไงบ้างลูก วันแรกของเด็กทุนเทวากร”
แพรวาพยายามยิ้มตอบ แต่รู้ดีว่ามุมปากมันสั่นจนพ่อดูออก
“ก็ดีค่ะ คนเยอะ ระบบเยอะ หนูยังงง ๆ อยู่”
พ่อมองนิ่งขึ้นนิดนึง
“แพรวา”
แค่เรียกชื่อเฉย ๆ น้ำตาก็เกือบไหลแล้ว
“มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า?”
เธอเงียบไปแป๊บหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจพูดออกมาให้หมดในทีเดียว ไม่งั้นคงไม่มีวันกล้าพูดแล้ว
“พ่อคะ…พ่อเคยมีเรื่องกับพวกมาเฟียต่างประเทศจริง ๆ ใช่ไหม?”
บ้านทั้งหลังเงียบลงทันที แม่ชะงัก แก้วชาในมือแทบหลุด พ่อหันมามองเธอเต็มตา แววตาเปลี่ยนไปชัดเจน
แพรวารีบพูดต่อ เพราะถ้าหยุดตอนนี้ เธอจะหนีอีกแน่
“หนูไม่ได้ไปขุดคุ้ยอะไรนะคะ แต่มีคนพูดถึง…บอกว่าทุนของหนูไม่ได้ได้มาแค่เพราะคะแนน” น้ำเสียงเริ่มสั่น “เขาบอกว่าพ่อมีเรื่องกับมาเฟีย และหนูถูกเลือกเพราะหนูเกี่ยวกับอดีตของพ่อ หนูแค่ ไม่รู้จะเชื่ออะไรดี หนูกลัวว่ามันจะย้อนมาทำร้ายเรา”
พ่อเงียบไปนานมาก นานจนยืนนิ่งแล้วรู้สึกเหมือนพื้นบ้านมันเย็นขึ้นเรื่อย ๆ แม่มองหน้าพ่อ น้ำตาคลอแบบไม่พูดอะไรเลย
สุดท้าย พ่อก็ถอนหายใจยาว หลุบตาลง ก่อนเงยหน้ากลับมามองลูกสาวชัด ๆ
“แพรวา เรื่องนั้น พ่อจะเล่าให้ฟังทั้งหมด”
หัวใจเธอเต้นแรงขึ้นทันที
“แต่ไม่ใช่ตอนนี้”
เหมือนโดนดึงเบรคนั่นแหละ
“ทำไมล่ะคะ? หรือมันแย่มากจริง ๆ”
พ่อส่ายหน้าเบา ๆ แต่แววตากลับเหมือนยอมรับไปแล้วครึ่งหนึ่ง
“ใช่ มันแย่มากพอ ที่จะทำให้ชีวิตเราทั้งบ้านไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ถ้าลูกรู้ทุกอย่างวันนี้”
คำตอบนั้นทำให้ขาเธอแทบหมดแรง แม่ยื่นมือมาจับมือเธอแน่นขึ้นเหมือนกัน ทั้งสองคนกลัวเหมือนกัน แต่คนละแบบ
พ่อมองเธออีกครั้ง น้ำเสียงหนักแน่นขึ้น
“และพ่อไม่อยากให้ลูกต้องตกอยู่ในอันตรายอีกครั้ง เหมือนตอนนั้น”
คำว่า “อีกครั้ง” ทำให้สมองเธอค้างไปเลย
อีกครั้ง…?
แปลว่าเคยเกิดอะไรขึ้นมาก่อนแล้ว?
แล้วทำไมเธอถึงไม่รู้?
“พ่อ…หมายความว่ายังไงคะ ตอนนั้นคือเมื่อไหร่ เกิดอะไรขึ้น…”
พ่อเม้มปาก ไม่ตอบทันที เหมือนกำลังต่อสู้กับอะไรในอกตัวเอง
นานพักใหญ่ เขาเลยพูดมาแค่ประโยคเดียว แต่อัดทุกอย่างไว้ข้างใน
“แพรวา ลูกต้องระวังตัวให้มากกว่าที่คิดในเทวากร”
พ่อเน้นทีละคำ
“พวกเขาไม่ได้เลือกลูกเพราะคะแนนสอบหรอก”
เธอกลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอยากเย็น
“แล้ว…เพราะอะไรคะ”
พ่อมองหน้าเธอนิ่ง ๆ ก่อนตอบ
“เพราะลูกคือ ‘กุญแจ’ ของบางอย่าง ที่พ่อปิดไว้มานานมากแล้ว”
คำว่ากุญแจ ทำเอาทั้งตัวเธอเย็นวาบ
“กุญแจ…ของอะไรคะ”
ครั้งนี้ พ่อเงียบสนิท
ไม่มีคำตอบ มีแค่ความเงียบที่หนาหนักจนแทบหายใจไม่ออก
ภาพสายตาของเพลิงลอยขึ้นมาในหัวทันที สายตาคนนั้นตอนพูดเรื่องทุน เรื่องพ่อ เรื่องมาเฟีย…มันเหมือนเขารู้เรื่อง “กุญแจ” นี่อยู่ก่อนแล้วด้วยซ้ำ แต่ยังเลือกไม่พูดทุกอย่าง
แพรวารู้เลยว่า คืนนี้เธอคงนอนไม่หลับแน่ ๆ ต่อให้ปิดไฟ ปิดประตู ปิดผ้าม่านหมดแล้ว เสียงคำพูดของทั้งพ่อ ทั้งเพลิง ทั้งโน้ตในซองทุนยังจะวนอยู่ในหัวเธอทั้งคืน
ไม่ใช่แค่เรื่องทุน
แต่เป็นจุดเริ่มต้นของอะไรสักอย่างที่ใหญ่เกินกว่าชีวิตเด็กปีหนึ่งคนหนึ่งจะรับไหว
เธอขอตัวขึ้นห้องเร็ว ๆ แม่มองตามอย่างเป็นห่วงแต่ไม่ได้รั้ง พ่อเองก็เงียบ เหมือนกำลังจมอยู่กับอดีตของตัวเอง
ประตูห้องปิดลงอีกครั้ง คราวนี้แพรวาไม่พยายามฝืนตัวเอง เธอล้มตัวลงบนเตียง มองเพดานมืด ๆ น้ำตาซึมจนปลอกหมอนเปียก เธอไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าร้องไปนานแค่ไหน
กระทั่ง…
เสียงข้อความเข้า “ติ๊ง” ขึ้นมาบนโทรศัพท์
เธอเอื้อมมือไปหยิบแบบไม่มีแรง คิดว่าเป็นรดา แต่ชื่อบนจอกลับไม่ใช่
[P: ลงมาเปิดประตูข้างร้าน]
หัวใจเธอกระตุกวาบ
[P: ตอนนี้]
เธอเด้งตัวขึ้นมานั่งทันที ทั้งงง ทั้งโกรธ ทั้งใจเต้นแรงแบบควบคุมไม่ได้
“หมอนี่ตามมาถึงบ้านเลยเหรอวะ…”
แต่ขาพาเธอลุกไปหยิบเสื้อคลุมบาง ๆ สวมทับชุดนอนเรียบร้อยแล้วก่อนสมองจะทันค้าน เธอแง้มประตูห้อง ดูให้แน่ใจว่าแม่กับพ่อยังกำลังคุยกันข้างล่าง แล้วค่อยย่องลงบันไดหลัง ออกไปทางประตูเล็กที่เชื่อมไปหลังร้าน
ด้านหลังร้านมืด มีแต่ไฟส้มดวงเดียวเหนือประตูทางออก กลิ่นอากาศเย็นหลังฝนตกยังลอยอยู่จาง ๆ
เพลิงยืนพิงกำแพงอยู่ตรงนั้นจริง ๆ
ชุดเดิมจากตอนเย็น แต่ปลดกระดุมบนออกหนึ่งเม็ด แขนเสื้อพับขึ้นถึงข้อศอก มือหนึ่งล้วงกระเป๋า อีกมือถือโทรศัพท์
พอเห็นเธอ เขาเก็บมือถือทันที
“นายมาที่นี่ทำไม” แพรวากอดอกไว้แน่น ทั้งหนาว ทั้งเขิน ทั้งโมโห
เพลิงมองหน้าเธอแวบหนึ่ง แววตาไม่ได้เย็นเหมือนตอนอยู่ในมหา’ลัย แต่กลับวุ่นวายพอ ๆ กับของเธอ
“เธอร้องไห้”
ประโยคแรกที่เขาพูด ไม่ใช่คำทักทาย แต่เป็นข้อเท็จจริงที่ทำให้เธอชะงัก
“นายรู้ได้ไง”
“ตาบวม ขอบจมูกแดง เสียงก็สั่น” เขาขยับเข้าใกล้สองก้าว จนแสงไฟส้มจับใบหน้าเธอชัด “ใครทำอะไรเธอ พ่อเธอพูดอะไร”
“เรื่องของฉัน” เธอรีบเบือนหน้า “แล้วนายมาตามถึงบ้าน มันเกินไปแล้วนะเพลิง”
เขาเงียบไปนิดหนึ่ง แล้วพูดออกมาแบบตรง ๆ
“ฉันทนอยู่เฉย ๆ ไม่ได้”
สายตาเขาแวววาวขึ้นมาหน่อยหนึ่ง
“ในหัวฉันทั้งเย็นมีแต่หน้าตอนเธอถามฉันเรื่องทุน กับหน้าตอนเธอมองฉันในรถ ฉันรู้ว่าเธอกลับมาบ้านแล้วต้องคิดมากแน่ ๆ แล้วใช่ไหม”
แพรวาเม้มปาก ไม่ตอบ แต่ความเงียบของเธอคือคำตอบดี ๆ นี่เอง
เพลิงถอนหายใจต่ำ ๆ เหมือนกำลังหงุดหงิดตัวเองมากกว่าใคร
“ฉันหึงจนจะบ้าอยู่แล้วก็ส่วนหนึ่ง” เขาพูดเหมือนหลุด “แต่พอคิดว่าเธอต้องมานั่งร้องไห้เพราะเรื่องที่ผู้ใหญ่ก่อไว้ ฉันยิ่งทนไม่ได้หนักกว่าอีก”
เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาตรง ๆ
“นายมาเพราะหึง หรือมาเพราะสงสารกันแน่”
เขายิ้มมุมปากแบบกวน ๆ ตามสไตล์เดิม แต่แววตากลับจริงจังเกินกว่าคำว่าเล่น
“มาทั้งสองอย่างนั่นแหละ และจะไม่กลับจนกว่าเธอจะหยุดทำหน้าเหมือนโลกทั้งใบจะพังอยู่คนเดียว”
พูดจบ เขาก็เอื้อมมือมาจับข้อมือเธอเบา ๆ ดึงให้เดินตามไปที่มุมบันไดเล็ก ๆ หลังร้าน ตรงนั้นเงียบ ไม่มีคนผ่าน ไม่มีเสียงรถ มีแค่เสียงหัวใจของเธอกับเขาดังแข่งกัน
“ปล่อยนะเพลิง เดี๋ยวแม่ได้ยิน—”
“ก็อย่าร้องดังสิ” เขาตอบหน้าตาย “แล้วก็อย่าทำตาแบบนั้นใส่ฉัน”
“ตาแบบไหน”
“แบบที่ทำให้ฉันอยากกอดเธอแรง ๆ จนเธอหายใจไม่ออกไปเลยเนี่ย”
คำพูดโง่ ๆ แบบนั้นทำให้หน้าเธอร้อนผ่าวทันที
“นายพูดอะไรของนาย”
ยังไม่ทันจบประโยค แขนเขาก็รั้งเอวเธอเข้าหาตัวแน่น แผ่นหลังชิดกำแพงเย็น ๆ หน้าอกเธอแนบกับแผ่นอกเขา จนได้ยินจังหวะหัวใจชัดกว่าลมหายใจตัวเอง
เพลิงก้มมองเธอใกล้ ๆ แสงไฟส้มสะท้อนในตาเขาเหมือนมีไฟอีกดวงอยู่ข้างใน
“ถ้าพ่อเธอไม่เล่าอะไรให้ฟังตอนนี้ ฉันก็จะยังอยู่ตรงนี้” เขาพูดเสียงต่ำ “จนกว่าเธอจะยอมเล่าให้ฉันฟังเอง ว่าอะไรทำให้ร้องไห้ขนาดนี้”
“ฉันไม่อยากให้ใครต้องมายุ่งกับเรื่องนี้ มันอันตราย” เธอพยายามดันเขาออก แต่แรงแทบไม่มี “นายเองก็ไม่ควรเข้าใกล้ด้วยซ้ำ”
“สายไปแล้ว” เขาตอบง่าย ๆ “ฉันเข้าไปยืนอยู่กลางเรื่องของเธอตั้งแต่คืนที่คอนโดแล้วแพรวา”
แค่เขาพูดถึงคืนนั้น ภาพทุกอย่างก็ไหลกลับมาเอง โซฟาในห้อง VIP ไฟสลัว มือเธอที่ดึงคอเขาลงมา จูบที่หลุดไปไกลเกินกว่าควบคุม และเช้าวันถัดมาที่เธอตื่นขึ้นมาในเสื้อเขา
หน้าเธอร้อนจนเหมือนจะระเบิด
เพลิงมองแล้วหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ
“เห็นไหม แค่เอ่ยถึง เธอก็หน้าแดงแล้ว”
“หุบปากไปเลยเพลิง”
“ถ้าจะให้ฉันหยุดพูด…” เขาก้มลงกระซิบข้างหู “ฉันคงต้องใช้วิธีอื่นแทน”
ยังไม่ทันได้ตั้งตัว ริมฝีปากเขาก็กดลงมาบนริมฝีปากเธอ ช้าแต่แน่น จังหวะกดแรกนุ่ม จังหวะต่อมาลึกขึ้น ลึกขึ้น ตามจังหวะหัวใจเขาที่ไม่มีท่าจะช้าลงเลย
จูบครั้งนี้ไม่เหมือนในรถเมื่อเย็น
ในรถมันร้อนเพราะหึง
แต่ตอนนี้มันร้อนเพราะกลัวจะเสียเธอให้ความมืดที่กำลังล้อมอยู่
มือเขาเลื่อนจากเอวขึ้นมาประคองใบหน้าเธอ ริมฝีปากเคลื่อนไปช้า ๆ เหมือนกำลังขอให้เธอโยนความกลัวทุกอย่างออกมาใส่เขา
แพรวาเผลอยกมือขึ้นไปจับปกเสื้อเขาแน่น ก่อนจะตอบจูบกลับไปแบบลืมไปแล้วว่ากำลังยืนอยู่หลังร้าน แค่รู้ว่าตอนนี้ การอยู่ในอ้อมแขนเขามันทำให้เธอหายใจได้มากกว่าตอนอยู่คนเดียวบนเตียงเมื่อกี้หลายเท่า
ลมหายใจทั้งคู่เริ่มถี่ขึ้น เสียงหัวใจดังจนกลบเสียงลมด้านหลัง เขาผละออกช้า ๆ แตะแค่ปลายจมูกกับปลายจมูก ใบหน้าพวกเขาอยู่ใกล้กันจนมองเห็นแค่ดวงตาอีกฝ่าย
“อย่าให้คนอื่นเห็นหน้าแบบนี้อีกนะ” เขากระซิบ
“หน้าเวลาพึ่งคนอื่นแบบนี้มันควรเป็นของฉันคนเดียว”
“นายพูดแบบนี้ เดี๋ยวฉันก็คิดว่านายจริงจังหรอก” น้ำเสียงเธอสั่น แต่ความดื้อยังอยู่
เพลิงหัวเราะนิด ๆ แต่แววตาไม่ขำเลย
“ไม่ได้ ‘คิดว่า’ ฉันจริงจังมาตลอด แค่เธอเป็นคนทำเป็นไม่เชื่อเอง”
เขากดจูบเบา ๆ ที่มุมปากเธออีกครั้ง เหมือนตราย้ำอะไรบางอย่าง ขยับหน้าไปกระซิบข้างหู
“ต่อให้เรื่องทุน เรื่องพ่อ เรื่องมาเฟียมันเละไปหมดฉันก็จะยังอยู่ในฝั่งเธออยู่ดี แพรวา”
มือเขาเลื่อนมาประสานนิ้วกับมือเธอ กดแน่นเหมือนจะผูกเธอไว้จริง ๆ
“เพราะฉันอยากได้เธอ ทุกเวลา ไม่ใช่แค่ตอนเธอหัวเราะ แต่รวมถึงตอนเธอร้องไห้แบบนี้ด้วย”
น้ำตาเธอที่พยายามกลั้นไว้ไหลออกมาจริง ๆ ในที่สุด
ไม่ใช่เพราะคำว่า “กุญแจ”
แต่เพราะคำว่า “ฝั่งเธอ” จากคนที่น่าจะอยู่คนละฝั่งตั้งแต่แรก
เธอซบหน้าลงกับอกเขา ปล่อยให้เสื้อเชิ้ตเขาเปียกนิด ๆ จากน้ำตา เขาไม่ได้ผลัก ไม่ได้ตกใจ แค่ยกมือลูบผมเธอช้า ๆ อย่างกับทำแบบนี้มาทั้งชีวิต
“ร้องออกมาเถอะ” เสียงเขาเบา “ฉันทนดูเธอกลั้นมากกว่าไม่ได้”
แพรวาไม่ได้ตอบ แต่ปล่อยให้ตัวเองพิงเขาหนักขึ้น กลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ ผสมกลิ่นอากาศเย็นหลังฝนตกกับเสียงหัวใจเขา มันทำให้โลกที่วุ่นวายทั้งวันเงียบลงครั้งแรกในรอบหลายชั่วโมง
เวลาผ่านไปเท่าไรไม่รู้ พอเธอเริ่มหายใจได้เป็นจังหวะ เขาก็ค่อย ๆ ผละออกนิดหน่อย เพื่อมองหน้าให้ชัดอีกครั้ง นิ้วโป้งเขาเช็ดคราบน้ำตาใต้ตาเธอเบา ๆ
“ดีขึ้นยัง”
“นิดหนึ่ง” เธอพึมพำ
“งั้น” เขายิ้มมุมปาก “เดี๋ยวฉันเพิ่มให้อีกหน่อย”
เขาก้มลงจูบหน้าผากเธอหนึ่งครั้ง ช้า ๆ และแน่นกว่าปกติ จูบตรงนั้นไม่ได้เร่าร้อนเท่าริมฝีปากเมื่อกี้ แต่ลึกกว่า และอุ่นกว่ามาก
เหมือนคำสัญญาแบบคนปากแข็งที่ไม่ถนัดพูดคำหวานตรง ๆ
“จำไว้นะ” เขากระซิบ
“ต่อให้โลกทั้งเทวากรจะจับตาเธอในฐานะกุญแจของใครสักคนในสายตาฉัน เธอเป็นแค่แพรวา เด็กทุนที่เมาแล้วจูบฉันก่อน กับคนที่ฉันอยากกอดทั้งคืนแค่นั้นแหละ”
“เพลิง…” เธอเรียกชื่อเขาเบา ๆ ใจสั่นจนจับอะไรไม่ติด
“หื้อ”
“ถ้าสักวันความจริงมันโคตรเลวร้ายเลยจริง ๆ” เธอเงยหน้าขึ้นมองตาเขาตรง ๆ “นายจะยังอยู่ฝั่งฉันอยู่ไหม”
เขาไม่ตอบด้วยคำพูดทันที แต่ดึงเธอเข้ามากอดแน่นกว่าเดิม จนเธอแทบจมหายเข้าไปในอ้อมแขนเขา ก่อนจะก้มลงมากระซิบชิดหู
“ต่อให้ทั้งมหา’ลัยเล่นเกมสกปรกกับเธอ ฉันก็ขอเป็นคนเดียวที่เล่นสกปรกกว่านั้นเพื่อดึงเธอมาอยู่ข้างฉันก็แล้วกัน”
คำตอบโง่ ๆ แต่หนักแน่นจนเธอเถียงอะไรไม่ออก
ค่ำคืนนั้น
หลังร้านเล็ก ๆ แสงไฟส้มดวงเดียว
เด็กทุนที่ถูกเรียกว่า “กุญแจ”
กับทายาทเทวากรที่ควรจะเป็นคนคุมเกม
กลับมายืนกอดกันเงียบ ๆ อยู่มุมกำแพง
เหมือนโลกทั้งใบเหลือแค่สองคนนี้จริง ๆ
และแพรวารู้..
ตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป
เธอไม่ได้ถูกลากเข้าไปในความลับของพ่อแค่คนเดียวอีกแล้ว
แต่มีคนดื้อด้านคนหนึ่งเดินลงมาในความมืดด้วยกัน
พร้อมไฟในอกที่ทั้งคลั่งรัก ทั้งหึง ทั้งหวงเธอจนคุมตัวเองแทบไม่อยู่แล้วด้วย 🔥🖤