บทที่ 1 ดวงวิญญาณที่ปรโลกไม่ต้องการ 1

2155 Words
บทที่ 1 ดวงวิญญาณที่ปรโลกไม่ต้องการ เปลือกตาบางไหวระริก ก่อนจะค่อยๆ เบิกกว้างแล้วหลับลงไปใหม่ เป็นอย่างนั้นซ้ำกันอยู่สองสามครั้ง ก่อนดวงตากลมโตงดงามเกินวัยจะลืมขึ้นช้าๆ “หรานเอ๋อร์เจ้าฟื้นแล้ว! ท่านพี่ลูกเราฟื้นแล้ว!” เสียงนุ่มนวลเอ่ยร้องเรียกคนที่อยู่ด้านนอกด้วยความดีใจจนไม่อาจเก็บอาการให้สงบเสงี่ยมไว้ได้ นานเหลือเกินที่นางเฝ้ารอคอยที่จะมีวันนี้ ห้าเดือน.... ระยะเวลายาวนาวเกือบครึ่งปีที่บุตรสาวคนเดียวของไป๋ฮวานอนแน่นิ่งไร้สติ ร่างเล็กบอบบางราวกับกิ่งหลิวนับวันยิ่งซีดขาว พาเอาหัวใจของนางห่อเหี่ยวเกรงกลัวว่าจะเสียบุตรสาวเพียงคนเดียวอันเป็นที่รักไปอย่างไม่มีวันกลับ “ฮูหยิน!” เสียงเข้มเสียงหนึ่งเอ่ยเรียกภรรยาสุดที่รัก เขารีบเร่งเข้ามาในเรือนทันทีที่ได้ยินเสียงเรียก “ท่านพี่! หรานเอ๋อร์ของเราฟื้นแล้วเจ้าค่ะ” ปากพูดกับสามีแต่มือก็ยังสาละวนอยู่กับการเช็ดเนื้อตัวบุตรสาว “หรานเอ๋อร์ลูกแม่ ได้ยินแม่หรือไม่ลูกรัก” “ทะ...ท่านแม่” เสียงเล็กแหบแห้งเอ่ยเรียกมารดา ก่อนจะเบนสายตาไปยังคนที่ยืนอยู่ข้างๆ “ท่านพ่อ” “หรานเอ๋อร์ลูกพ่อ ขอบคุณ...ขอบคุณสวรรค์” หลีหยุนขยับเข้าไปใกล้ลูกสาวคนเล็ก ก่อนจะตระกองกอดร่างบอบบางเข้ามาไว้ในอ้อมแขน โชคดี.... โชคดีเหลือเกินที่วันนี้ลูกสาวยังอยู่กับเขา เพราะถ้าหากว่าเขาเสียบุตรสาวคนนี้ไป เขาคงได้คลั่งตายเป็นแน่ ลำพังแค่ชื่อเสียงเงินทองที่เสียไป แม้จะมากมายก่ายกอง แต่ก็ไม่อาจเทียบเท่ากับดวงใจดวงนี้ของเขาได้ เพราะไม่อาจร่วมมือทำตามแผนการบางอย่างของขุนนางกังฉินขั้นหนึ่งได้ ขุนนางขั้นสามอย่างเขาจึงได้ถูกกำจัดโดยการป้ายสีว่าทำความผิดฐานลักลอบกักตุนเกลือ อันเป็นสินค้าที่ราชสำนักผูกขาด แต่ด้วยปริมาณเกลือที่ถูกจัดฉากนั้นไม่มาก โทษที่ได้รับคือการยึดทรัพย์และเนรเทศออกจากเมืองหลวง แม้ว่าหลีหยุนจะเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ของตนเอง ทว่าหลักฐานถูกใส่ร้ายนั้นก็แน่นหนาเกินจะปฏิเสธได้ เขาจึงได้ยอมจำนนและรับโทษแต่โดยดี ทว่าพ้นโทษตายมาได้กลับเกิดเรื่องที่ร้ายแรงขึ้นยิ่งกว่า เมื่อขบวนเดินทางของเขาถูกดักปล้นระหว่างทาง บ่าวไพร่ที่จงรักภักดีล้วนแล้วแต่พลีชีพตายแทนอย่างน่าอนาถ ยิ่งไปกว่านั้นคือโจรกลุ่มนั้นอาจหาญคิดชิงตัวไป่ฮวาผู้เป็นภรรยาของเขา ทว่าในจังที่ฉุดกระชากลากถูกันอยู่นั้น หลีเริ่นหรานบุตรสาวคนเล็กกลับพุ่งตัวไปขัดขวางโจรชั่วที่หวังทำลายมารดา เลยเป็นเหตุให้ถูกโจรทรามคนนั้นผลักอย่างแรงและกลิ้งตกหน้าผาไปในที่สุด จังหวะนั้นเองได้มีกลุ่มผู้มีฝีมือกลุ่มหนึ่งผ่ามาเห็น ได้เข้าช่วยเหลือพวกเขาเอาไว้ โจรกลุ่มนั้นถูกฆ่าตายจนหมดสิ้นภายในเพียงครึ่งเค่อ จบเหตุการณ์วุ่นวายพวกเขาจึงได้สติ รีบเร่งกันตามหาร่างเล็กของลูกสาวที่ผลัดตกลงไป ทว่าหากันอยู่นานกว่าสามวันก็ไม่พบ กระทั่งมีชายชราคนหนึ่งเดินอุ้มร่างเล็กคุ้นตาเข้ามาหา พร้อมกับชี้แจ้งว่าพบนางที่ปลายทางน้ำตก ห่างจากจุดที่พวกเขาอยู่ประมาณแปดลี้ หลังจากนั้นเป็นต้นมา ร่างเล็กของลูกสาวก็หลับใหลไม่ได้สตินานร่วมห้าเดือน จนกระทั่งวันนี้...วันที่ลูกสาวเขาลืมตาตื่นขึ้นมา “ท่านแม่ ข้าหิวน้ำ” เสียงเล็กแหบแห้งเอ่ย ก่อนผู้เป็นมารดาจะรินน้ำใส่จอกเล็กเอามาป้อนให้ถึงปาก “เป็นอย่างไรบ้างลูกแม่” มือบางลูบผมบุตรสาวที่ยังอยู่ในอ้อมกอดสามีด้วยความรักใคร่ นางดีใจนักที่ได้ลูกสาวตัวน้อยคืนมา “ท่านแม่ ข้าเหนื่อยเหลือเกิน ข้าง่วงนอน” พูดจบศีรษะเล็กๆ ก็เอนพิงซบกับหน้าอกแกร่งของผู้เป็นบิดา “เช่นนั้นก็นอนต่ออีกหน่อยเถิด” หลีหยุนค่อยๆ วางลูกสาวตัวลงบนเตียงที่มีฟูกรองอยู่ เห็นแล้วก็นึกสงสารบุตรสาวนัก เป็นบุตรสาวคนเล็กเพียงคนเดียวแท้ๆ แทนที่จะได้อยู่หรูหราอย่างเช่นคุณหนูในห้องหอ กลับต้องมาตกระกำลำบากเพราะพ่อไม่เอาไหนอย่างเขา ร่างสูงก้าวเดินออกมาจากห้องนอนของบุตรสาวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ก่อนจะกวาดสายตาไปทั่วบริเวณจวนเล็กๆ หลังนี้ คิดไม่ถึงว่าจากที่เคยกินหรูอยู่สบายมาตั้งแต่บรรพบุรุษ เติบโตมาในจวนใหญ่มากมายไปด้วยห้องหับ มาบัดนี้กลับต้องพาลูกเมียมาลำบาก มีเพียงจวนหลังเล็กกับที่ดินอีกสามหมู่เท่านั้นที่นับว่าเป็นสมบัติ ดีอย่างที่จวนหลังนี้มีห้องหับที่พอดีกับสมาชิกห้าคนในครอบครัวของเขา แถมยังมีห้องครัวเล็กๆ อีกหนึ่ง เพราะอย่างน้อยๆ เขาก็ไม่ต้องให้ลูกชายสามคนนอนเบียดกันในห้องนอนเล็กๆ ห้องเดียวกัน และแน่นอนว่าเขาใช้เงินที่มีเกือบทั้งหมดนั้นซื้อจวนหลังนี้ อีกทั้งหลายเดือนมานี้ก็ยังยังชีพด้วยการหาสมุนไพรและของป่าขาย และข้อดีอีกอย่างคือจวนหลังนี้อยู่ใกล้กับภูเขาที่เรียงรายทอดยาวไปไกลหลายสิบลี้ แม้จะอยู่ห่างจากตัวเมืองเซียงอู่ค่อนข้างไกล ใช้เวลากว่าสามชั่วยามจึงจะเดินทางไปถึงตัวเมือง ทว่านั่นก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญสักเท่าไหร่ เพราะครอบครัวของเขาตอนนี้คงจะดีกว่าหากไม่พบหน้าผู้คนสักระยะ “ท่านพ่อ” เสียงเรียกของเด็กหนุ่มวัยสิบสองดึงสติของหลีหยุนให้กลับคืนมา ก่อนจะสาวเท้าก้าวไปหาบุตรชายทั้งสามด้วยความเป็นห่วงและโล่งใจในเวลาเดียวกัน “กลับมาแล้วหรือ ปลอดภัยดีทุกคนใช่หรือไม่” เพราะฟืนที่ผ่าไว้ใช้สำหรับก่อกองไฟเพื่อคลายหนาวและไว้หุงหาอาหารใกล้หมด วันนี้เขาจึงอยู่จวนเพื่อจัดการกองฟืนให้เป็นระเบียบ ก่อนจะเข้าไปหาเพิ่มในวันหลัง แม้จะเป็นขุนนางมาก่อน กว่าตอนเด็กๆ นั้นเขาก็ได้มีโอกาสร่ำเรียนวรยุทธกับอาจารย์ผู้ปลีกวิเวก การงานพวกนี้จึงเคยผ่านมือมาบ้าง “พวกเราปลอดภัยดีขอรับท่านพอ แถมวันนี้พี่ใหญ่ยังได้หัวมันป่ามาเยอะมากเลยด้วย” หลีเฉิงตอบผู้เป็นบิดาด้วยแววตาเปล่งประกาย สำหรับเด็กเจ็ดขวบอย่างเขานั้นคงไม่ได้เข้าใจถึงความทุกข์ตรมที่ผู้เป็นบิดาได้รับ จากการถูกใส่ร้ายป้ายสีเท่าใดนัก ทว่าเมื่อผู้เป็นบิดามารดาและพี่ชายอีกสองคนบอกว่า ต่อไปในนี้เราไม่ได้อยู่สุขสบายเหมือนเดิมแล้ว ตอนแรกก็ไม่เข้าใจนัก แต่พอเริ่มเดินทางย้ายออกมาจากเมืองหลวงหลีเฉิงก็เริ่มเข้าใจ และปรับตัวกับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไปได้เป็นอย่างดี “ท่านพ่อ ท่านแม่ไปไหนหรือขอรับ” เป็นหลีหลุนบุตรชายคนโตเอ่ยถาม ปกติถ้าเขากับท่านพ่อและน้องๆ กลับมาจากการไปหาของป่า ท่านก็แม่ก็จะออกมาต้อนรับเสมอ “นั่นสิขอรับ ข้าไม่เห็นท่านแม่เลย” หลีหยางถามขึ้นอีกเสียงหนึ่ง “แม่พวกเจ้าอยู่ในห้องน้องสาว น้องสาวพวกเจ้าฟื้นแล้วนะ” “จริงหรือขอรับท่านพ่อ!” สามเสียงเอ่ยขึ้นพร้อมกันด้วยความดีใจ พวกเขาทั้งสามนั้นรอคอยวันที่น้องน้อยของพวกเขาฟื้นคืนมาอยู่เสมอ “เดี๋ยวๆ!” ผู้เป็นพ่อเอ่ยห้าม “มีอะไรหรือขอรับท่านพ่อ พวกเราอยากไปหาหรานเอ๋อร์” หลีเฉิงเอ่ยถามบิดาด้วยสีหน้ายุ่งนิดๆ ด้วยวัยห่างกันเพียงสองปี อีกทั้งยังสนิทกับน้องสาวมาก เมื่อรู้ว่าน้องสาวฟื้นแล้วเขาก็อยากไปหาน้องสาวเร็วๆ “อาเฉิง น้องสาวเจ้าฟื้นแล้วแต่ตอนนี้ยังหลับอยู่ อีกอย่าง ดูเนื้อตัวเจ้าสิ เปรอะเปื้อนดินแบบนี้ยังจะเข้าไปหาน้องอีกเหรอ? พ่อว่าไปอาบน้ำผลัดผ้าก่อนเถอะ” หลีหยุนเอ่ยยิ้มๆ ด้วยความเอ็นดู หลีเฉิงนั้นรักและหวงแหนน้องสาวมาก จำได้ว่าตอนเขาสองขวบกว่าหลีเฉิงนั้นอุ้มน้องสาวที่เพิ่งอายุได้เพียงสองเดือนไม่วางมือ ทั้งที่ตัวเองยังเป็นเพียงก้อนแป้งน้อยก้อนกลมๆ เท่านั้น ขนาดว่าหลีหลุนกับหลีหยางจะขออุ้มน้องบ้าง เขายังร้องไห้น้ำตาซึมเพราะกลัวพี่ชายทั้งสองจะเอาไปและไม่ให้ตนอุ้มอีก “ได้ขอรับท่านพ่อ ข้าจะไปอาบน้ำให้ตัวสะอาดก่อน” พูดจบหลีเฉิงก็วิ่งจากไปทางห้องนอนของตนเอง “อย่างนั้นข้าจะไปทำอาหารเย็นก่อนนะขอรับ” หลีหยางเอ่ยขึ้นก่อนจะทำท่าเดินไปทางห้องครัว ทว่าผู้เป็นพ่อเอ่ยห้ามไว้เสียก่อน “ไม่ต้องอาหยาง มื้อเย็นวันนี้เดี๋ยวพ่อทำเอง พวกเจ้าสองคนก็ไปอาบน้ำอาบท่าเถอะ แล้วค่อยมากินข้าวกัน วันนี้เราจะได้กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันเสียที” บุตรชายทั้งสองรับคำ ก่อนจะเดินหายไปทางห้องตนเองเช่นเดียวกับหลีเฉิง ถ้าไม่เกิดเรื่องเลวร้ายนั่น บุตรชายคนโตและคนรองของเขาก็คงจะได้เข้าเรียนในสำนักศึกษาดีๆ ต่อ “เฮ้อ!...” หลีหยุนถอนหายใจแรงๆ ออกมา คงอีกนานกว่าที่เขาจะปลงเรื่องเหล่านี้ได้ เพราะไม่ว่าจะคิดอย่างไร คิดในทางไหน ก็เป็นเขาที่ทำให้ลูกเมียลำบาก หลังจากทานมื้อเย็นเสร็จเรียบร้อย ร่างน้อยบอบบางของหลีเริ่นหรานก็ถูกผู้เป็นพี่ชายทั้งสามโอบกอดแนบแน่นนานอยู่เป็นชั่วยาม ก่อนที่ผู้เป็นบิดาจะเอ่ยห้ามให้หยุด ร่างบอบบางที่เพิ่งฟื้นคืนสติจึงได้กลับไปอยู่ในอ้อมกอดอุ่นของมารดา “ท่านพ่อ เหตุใดไม่ให้ข้ากอดน้องสาวแล้วเล่า?” เป็นหลีเฉิงที่เอ่ยขึ้นอย่างแง่งอน “อาเฉิง น้องสาวเจ้าเพิ่งฟื้นร่างกายยังไม่ค่อยแข็งแรงดี ให้น้องพักอีกหน่อยเถิด ขืนน้องถูกเจ้ากอดรัดอยู่เช่นนั้น พ่อเกรงว่าน้องจะไม่แข็งแรงกว่าเดิม” เพราะหลีเฉิงนั้นไม่ได้กอดโอบเพียงอย่างเดียว เขาทั้งหอมแก้มน้องน้อย ทั้งหยอกเย้า แม้ว่ามันจะไม่ได้สร้างอันตรายใดๆ แต่หลีหยุนก็ยังไม่วางใจ เพราะบุตรสาวนั้นเพิ่งคืนสติเมื่อช่วงบ่ายของวันนี้เอง คนถูกห้ามกอดน้องทำแก้มป่อง หลีเฉิงนั้นพยายามอย่างยิ่งที่จะเป็นพี่ชายที่แสนดี เพราะเขานั้นไม่ชอบการเป็นน้องน้อยเอาเสียเลย ก่อนท่านพ่อแม่จะมีหรานเอ๋อร์ ลูกชายคนเล็กอย่างเขาจึงถูกพี่ชายที่รักใคร่ทั้งสองบีบแก้มบ้าง อุ้มบ้าง ทั้งๆ ที่เขาเองก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน แต่ไฉนพี่ชายจึงทำเหมือนเขาเป็นเด็กผู้หญิงไปได้เล่า ครั้นพอมีหรานเอ๋อร์ เลือดความเป็นพี่ในตัวก็สูบฉีด โดยลืมไปว่าตัวเขากับน้องสาวนั้นอายุห่างกันเพียงสองปี “อาเฉิง...ไว้น้องสาวหายดีเจ้าค่อยมากอดน้อง ค่อยมาเล่นเป็นเพื่อนน้องนะ ตอนนี้ให้น้องพักผ่อนมากๆ ก่อน น้องจะได้หายดีโดยเร็ว” ไป๋ฮวาเอ่ยปลอบบุตรชายคนเล็กบ้าง “ขอรับ” ลลิลมองใบหน้าที่ยังมีความกลมเป็นก้อนแป้ง ของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่ชายคนเล็กแล้วก็อดยิ้มขันไม่ได้ ทั้งที่เธอตายไปแล้วและคิดว่าคงไม่ได้ไปเกิดบนสวรรค์แน่ เพราะตลอดชีวิตที่อยู่ในร่างของลลิล เธอนั้นไม่ค่อยได้เข้าวัดทำบุญสักเท่าไหร่ พอตายไปก็คงไม่พ้นตกนรก แต่ใครจะคิดล่ะว่าเธอจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้งในร่างของเด็กหญิงห้าขวบ...ที่ยังคงมีความทรงจำจากชาติที่แล้วอยู่ และไม่เพียงแค่นั้น เธอยังจำเรื่องราวที่คล้ายกับความฝันที่วนเวียนอยู่ในหัวได้ดี...เพราะสิ่งเหล่านั้นทำให้เธอได้รู้ว่าชีวิตและจิตวิญญาณที่แท้จริงของเธอไม่ใช่มนุษย์!
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD