“สองตระกูลเราก็หมั้นหมายกันมาเป็นสิบปีแล้ว ฉันเองอยากให้ตาภพกับหนูขิงได้ศึกษาเรียนรู้กัน จะได้สร้างความสนิทสนมไปด้วย แม่กุหลาบมีความคิดเห็นว่าอย่างไรล่ะ”
ประดับเพชรจิบชาไป ในขณะที่สนทนากับประภาพร
“แล้วแต่คุณหญิงเลยค่ะ ดิฉันไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ว่ายายขิงยังเด็ก เพิ่งจะเริ่มเรียนมหาวิทยาลัยปีหนึ่ง คงต้องค่อยๆตะล่อมไม่บอกตรงๆ ส่วนคุณภพก็อายุมากกว่าเป็นยี่สิบปี”
คนเป็นแม่รู้สึกสึกหวั่นไหว เมื่อโดนเร่งรัด
“เรื่องนั้นแม่กุหลาบอย่าเป็นกังวลไปเลย อายุเป็นเพียงแค่ตัวเลข ตาภพถึงจะใกล้สี่สิบ แต่ร่างกายยังหนุ่มแน่น รอให้หนูขิงเรียนจบ แล้วค่อยแต่งงานก็ย่อมได้”
จริงอย่างที่บอก เมื่อชัชรัณอายุสามสิบเก้าปีแล้ว
“ค่ะ คุณหญิง”
หล่อนยิ้มให้คุณหญิงประดับเพชร แต่ในใจกลับเป็นกังวล เมื่อบุตรสาวยังเด็กกว่าฝ่ายชายอยู่มากโข แต่ด้วยข้อผูกมัด และบุญคุณตั้งแต่สมัยรุ่นคุณปู่ ทำให้หล่อนหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทว่าบังเอิญอีกฝ่ายมีบุตรชาย และเธอก็ให้กำเนิดลูกสาวพอดี
ในสถานบันเทิงแห่งหนึ่ง ชัชรัญเอาแต่ยกแก้วน้ำสีอำพัน เทกรอกลงคอติดกันหลายแก้ว กระทั่งเพื่อนที่มาด้วยต้องห้ามปราม
“มึงจะรีบเมาไปไหนวะ หรือว่าทะเลาะกับคุณมีมี่มา”
“เปล่า กูเครียดเรื่องที่ต้องแต่งงานกับเด็กอายุสิบเก้า สงสัยแม่กูจะบ้าไปแล้ว”
เรื่องเครียดของเขาในคืนนี้ ไม่พ้นต้องทะเลาะกับมารดา เมื่อตอนหัวค่ำ
“กินเด็กเป็นอมตะนะมึง”
แทนไทพยายามจะไม่ให้เพื่อน ต้องเครียดมากจนหน้าตึงอยู่แบบนี้
“กูไม่ตลก”
แต่ชัชรัณ ก็ยังไม่ยอมยั้งมือ สั่งบรั่นดีมาดื่มอย่างต่อเนื่อง เขากลืนมันราวกับเป็นน้ำเปล่าไม่รู้สึกรู้สา
“เออ รู้แล้วน่า แล้วคุณมีมี่ว่ายังไงบ้าง ให้กูทายนะ คุณมีมี่คงไม่ยอมง่ายๆ”
การคบหาระหว่างเพื่อนรักกับดาราสาวอย่างพิมพ์ดาว ก็เปิดเผยพอสมควร แต่เขาก็รู้ ว่าเพื่อนไม่ได้จริงจังถึงขั้นอยากแต่งงานกับเธอตอนนี้
“กูไม่บอกมีมี่หรอก เพราะยังไงกูก็ไม่แต่ง ปีที่แล้วตระกูลวีระกิตติเกือบล้มละลาย ไม่รู้ตั้งใจเอาลูกสาวมาเกาะกินหรือเปล่า”
ในวงการธุรกิจ ข่าวลือของบริษัทวีระกิตติหมุนเงินไม่ทัน จนพนักงานลาออกเป็นร้อยคนเพราะถูกโกง ซ้ำยังโดนตรวจสอบสารปนเปื้อนในน้ำดื่มแล้วไม่ผ่าน ทำให้ยอดขายตกฮวบในหนึ่งเดือน
“มึงก็ว่าเกินไป ระวังเห็นสาวน้อยแล้วเกิดถูกใจขึ้นมา กูจะหัวเราะให้ฟันร่วง”
ความเจ้าชู้ของชัชรัณก็ใช่ย่อย ถึงแม้จะมีคนรักอย่างพิมพ์ดาวอยู่แล้วก็ตาม
“กูไม่สนใจอยู่แล้ว ดูก็รู้ว่าตั้งใจส่งลูกสาวมาเป็นปลิง”
ในความคิดของเขามีแต่ด้านลบ ให้ตายยังไง เขาก็ไม่ยอมแต่งงานกับเด็กน้อยมินตราแน่ๆ
“งั้นก็แล้วแต่มึงจะคิดละกัน”
แทนไททำหน้าเหมือนจะหัวเราะออกมา แต่ก็อดเครียดแทนเพื่อนไม่ได้ หากเป็นเขาที่โดนคลุมถุงชนคงไม่ยอมง่ายๆ
“เลิกเรียนแล้ว ไปไหนต่อดี”
ชลิดาเก็บของเสร็จก่อน จึงหันไปถามมินตรา
“เราว่าจะกลับบ้านแล้ว วันนี้รู้สึกเพลียๆ”
“แย่จัง เราอยากไปเดินห้างซื้อกระเป๋าหลุยส์ใบใหม่สักหน่อย”
“วันก่อนพะแพงก็เพิ่งซื้อไปไม่ใช่เหรอ”
“เราขอค่าขนมจากพี่ภพมาได้อีกสองล้าน”
ชลิดากับพี่ชายอายุห่างกันกว่ายี่สิบปี เรียกว่าเธอเป็นลูกหลงมาเกิดเลยก็ว่าได้
“พี่ภพเหรอ?”
พอได้ยินชื่อนี้ เธอก็ไม่ค่อยชอบใจนัก แต่ก็นานที กว่าชลิดาจะเอ่ยถึงชัชรัณ
“อือ...ก็คู่หมั้นขิงนั่นแหละ ทำเป็นไม่รู้จักไปได้”
“เราไม่สนใจเรื่องหมั้นหรอก พี่ชายของพะแพง กับเรา ไม่เคยเห็นหน้ากันสักครั้ง จะมาอยู่ด้วยกันได้ยังไง”
ถึงเธอจะเด็ก แต่ก็มีความคิด พอจะเข้าใจว่าอีกฝ่ายก็ไม่น่าจะเห็นด้วย กับทางผู้ใหญ่ของสองตระกูล
“จริงด้วย แต่ขิงก็เห็นรูปพี่ภพแล้วนี่นา เราเปิดให้ดูประจำ”
ชลิดาอยากให้เพื่อนรัก กับพี่ชายได้ลงเอยกัน เพราะเธอไม่ชอบพิมพ์ดาว ผู้หญิงคนนั้นดูมีจริตมารยาเกินงาม
“ถ้าเป็นพะแพง จะยอมแต่งงานกับผู้ชายที่ไม่เคยเจอตัวจริง ไม่เคยคุยกัน แต่เห็นแค่รูปถ่ายไหม”
พอมินตราถามกลับ ก็ทำเอาชลิดาถึงกับไปไม่เป็น
“โอเค เราเข้าใจแล้ว พี่ภพก็มีแฟนแล้วเหมือนกัน อุ้ย! ทำไมเราปากไม่ดีแบบนี้ ต้องโดนคุณแม่ดุแน่ๆเลย”
เธอแทบจะตบปากตัวเอง เมื่อเผลอพูดในสิ่งที่ไม่ควรออกไป
“มันเป็นเรื่องของเรา เราจะจัดการเอง ขอบใจนะที่พะแพงบอกเราตรงๆ”
พอได้ยินแบบนั้น เลยต้องรีบเก็บความรู้สึกบางอย่างไว้ภายใต้ดวงตากลมโตสีน้ำตาลที่กำลังวูบไหว
“แต่เราอยากได้เธอเป็นพี่สะใภ้จริงๆนะขิง”
ชลิดาจับมือเพื่อนสนิทขึ้นมา แล้วบีบกระชับ
“เรากับพี่ชายเธอ ไม่ได้ชอบพอกัน อย่าบังคับจิตใจเลย”
เธอยิ้มกว้างให้เพื่อน ก่อนจะหมุนตัวไปเก็บตำราเรียนเข้ากระเป๋า เตรียมกลับบ้าน
ในระหว่างที่กำลังยืนรอรถ ชลิดาตั้งใจไม่บอกว่าเย็นนี้คนที่จะมารับเธอคือชัชรัณ ไม่ใช่คนขับรถ หากทั้งสองคนได้เจอกัน ฝันของเธอคงเป็นความจริง
“แท็กซี่มาแล้ว เราไปก่อนนะ”
มินตราโบกมือลา ก่อนจะเดินไปหารถแท็กซี่ เป็นจังหวะเดียวกันกับรถบีเอ็มดับบลิวคันสีดำหรูขับมาจอดพอดี แต่เธอกลับไม่ได้สนใจ
“ดะ...เดี๋ยวก่อน ขิง...”
เธอพยายามเรียกชื่อเพื่อน แต่เป็นจังหวะที่รถคันอื่นขับผ่านพอดี เสียงเธอเลยถูกกลบด้วยเสียงของเครื่องยนต์ที่ดังกระหึ่ม
“มัวมองหาอะไรอยู่ ขึ้นรถได้แล้ว”
ชัชรัณลดกระจกลง
“พี่ภพคะ คือว่าขิงเพิ่งจะเดินไป พี่ภพรีบตามไปทำความรู้จักกับขิงสิคะ”
ชลิดาละล่ำละลักบอก แต่แล้วคนเป็นพี่ ก็หาอยากรู้จักกับมินตราไม่
“เอาไว้ก่อนละกัน ตอนนี้พี่ยุ่งๆ”
เขาบอกปัดไปแบบผ่านๆ มองเด็กสาวจากกระจกหลังเพียงครู่ หล่อนไม่ได้โดดเด่นอะไรมากมาย และเขาก็ไม่ได้อยากเห็นหน้าเธอ เลยมองแต่แผ่นหลังบอบบางในชุดนักศึกษา
“ถ้าพี่ได้รู้จักกับขิง พี่จะต้องชอบขิง เชื่อปากพะแพงสิ”
พอเข้ามานั่งในรถแล้ว เธอก็อดแขวะคนพี่ไม่ได้
“เหรอ...อยากเป็นแม่สื่อดีนัก ถ้าถึงตาเราโดนแม่บังคับบ้าง พี่จะไม่ช่วยเลย”
เขาขับรถไปก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องที่น้องสาวกำลังพูดมากนัก
“ไม่เป็นไรค่ะ เพราะพะแพงจะไม่ขัดใจแม่เหมือนกัน”
“ให้มันจริงเถอะ พี่จะรอดู”
ทั้งมารดา ทั้งน้องสาว เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย เหลือก็แต่เขาที่ไม่มีพวกให้ช่วยเลย
ก่อนหน้าชัชรัณจ้างคนให้ตามสืบ เรื่องของครอบครัววีระกิตติ เขาจะหาหลักฐานให้ได้ ว่าคนเหล่านั้นตั้งใจจะมาเกาะกินกับหิรัญวัฒนา หลายปีมาแล้วไม่มีใครเอ่ยถึงการหมั้นหมาย จนกระทั่งมีข่าวไม่ดีเกี่ยวกับวีระกิตติ ประจวบเหมาะพอดิบพอดี