EP 06
ความหวังบนบ่า
“นายจะช่วยยองวอนน้อยรึเปล่า”
จากที่คิดเอาไว้ว่าโทซองอาจจะเล่าเรื่องที่ได้ยินออกมาก่อน แต่กลับกลายเป็นการยิงคำถามใส่ก่อน นั่นแปลว่าทุกอย่างแย่กว่าที่เขาคิดเอาไว้
“นายก็รู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร การจะ ‘เปลี่ยน’ มันไม่ง่าย ไม่ใช่คิดจะทำก็ทำได้ อีกอย่างคือมันจะสูญเปล่า”
“ฉันเข้าใจ แต่คนที่ตั้งความหวังเอาไว้ทั้งที่รู้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้อย่างยองวอนไม่มีทางเข้าใจแน่ๆ” โทซองพูดพลางถอนหายใจ
“ยองแอเป็นน้องสาวของยองวอน ฉันเองก็เพิ่งรู้ว่าเขามีน้องสาว” ชินซองอธิบาย สีหน้าของโทซองที่แย่อยู่แล้วยิ่งแย่หนักเข้าไปอีก
“หดหู่ชะมัด”
“คงงั้น แม่ตายไปเมื่อห้าปีก่อน ตอนนี้ยองแอเก้าขวบ ตอนนั้นก็ประมาณสี่ห้าขวบ นั่นเท่ากับว่ายองวอนเลี้ยงยองแอมาเองโดยตลอด”
“งั้นก็ไม่แปลก ถ้าเป็นฉัน ฉันก็คงทำทุกทางเหมือนกัน”
เสียงจากโทซองเปรียบเสมือนทางแยกที่เร่งให้ชินซองต้องรีบตัดสินใจ จริงอยู่ว่าเขาเลือกแล้วว่าจะช่วย แต่จะต้องทำยังไงให้ยองวอนเข้าใจและยอมรับวิธีการช่วยเหลือของเขา เพราะมันไม่ใช่วิธีที่ยองวอนต้องการ
“ทำไมสองคนนั้นยังไม่ไปกันสักที” ชินซองถามขึ้นเบาๆ ด้วยความสงสัย เพราะเขากำลังรอให้บอนซองขับรถออกไปเพื่อจะได้ขับตาม แต่นั่งคุยกับโทซองมาสักพักใหญ่แล้ว ก็ยังไม่มีวี่แววว่าบอนซองจะออกรถ
“ฉันได้ยินว่ายองวอนจะไม่กลับน่ะ คงกำลังตกลงกับเพื่อนอยู่มั้ง หมอนั่นชื่ออะไรนะ”
“บอนซอง ลีบอนซอง ลูกชายลีวังซองน่ะ”
“อ้อ วังซองกรุ๊ป เฮ้อ เมื่อไหร่ฉันจะหนีพ้นเรื่องแวดวงธุรกิจสักที เบื่อวงจรอุบาทว์นี่จริงๆ” โทซองรำพึงรำพันพลางทิ้งตัวลงกับเบาะหนังราคาแพง ก่อนจะปิดเปลือกตาลงอย่างเหนื่อยล้า
“ให้ตาย ตอนตัดสินใจจะหอบผ้าหนีมาอยู่กับนายเพราะไม่อยากถูกแม่จับแต่งงานฉันก็คิดว่ามันแย่แล้วนะ เทียบไม่ได้กับเรื่องของยองวอนน้อยเลย รู้สึกหดหู่เป็นบ้า”
ชินซองมองเพื่อนสนิทแล้วได้แต่นึกสงสัยว่ายองวอนเอาพลังมาจากที่ไหนถึงมีชีวิตผ่านไปได้แต่ละวัน ลำพังเขากับโทซองที่เพิ่งจะรับรู้เรื่องราวของเขาได้แค่ไม่นาน ยังรู้สึกเหนื่อยล้าขนาดนี้ เห็นทีเขาต้องลงมือทำอะไรสักอย่าง ไม่อย่างนั้นอาจมีคนตายคาโรงพยาบาลทั้งที่ไม่ได้เป็นมะเร็ง
“ขอโทษที่เสียมารยาทโทรมารบกวนคุณตอนดึกๆ นะเลขาฯ วอน แต่คืนนี้ผมต้องการห้องพักที่อยู่ใกล้กับโรงพยาบาล...ภายในสามชั่วโมง”
ประโยคคำสั่งที่ชินซองเพิ่งจะพูดกรอกใส่โทรศัพท์ทำให้โทซองเบิกตาโพลงพลางหันกลับมามองหน้าเพื่อนรักอีกครั้งให้แน่ใจ
“ผมรู้ว่าคุณรู้ดีถึงมาตรฐานของผม และคุณไม่เคยทำให้ผมผิดหวัง เอาเป็นว่าผมจะรอข่าวดี” พูดจบชินซองก็กดวางสายพลางล้วงหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมา เขาดึงการ์ดใบสีทองขึ้นมาก่อนจะยื่นมันให้กับโทซองที่จ้องมองมันด้วยความตกใจ
“อะไร”
“คีย์การ์ด รับไว้สิ เดี๋ยวนายขับรถไปส่งฉันที่คอนโดข้างๆ นี่แล้วก็กลับไปก่อนเลย”
“หืม” โทซองครางเสียงสูงในลำคอพลางหรี่ตามองชินซองอย่างจับพิรุธ
“นายคิดจะทำอะไรกันแน่ท่านประธานฮัน บอกฉันมาซะดีๆ” โทซองถามด้วยสีหน้าใคร่รู้ ทั้งที่เขาคิดว่าเขาน่าจะพอเดาเกมออก
“นายเคยบอกเองว่านี่เป็นโอกาสที่ดีที่ฉันจะได้เอา...คืน จำไม่ได้แล้วเหรอโทซอง”
“เหอะ!”
“ลงมาขับด้วยล่ะ” ชินซองบอกเร็วๆ ก่อนจะเปิดประตูรถพร้อมกับก้าวเท้าลงไปในทันที ทำเอาโทซองที่ยังเอาแต่จ้องจับผิดไม่ทันได้ตั้งหลัก ต้องรีบเปิดประตูแล้วก้าวตามลงมาด้วยความตกใจ แต่ทว่าลงมาจากรถได้ก็ต้องเบิกตาโพลงอีกรอบเมื่อเห็นแผ่นหลังกว้างๆ ของเพื่อนสนิทเดินย้อนกลับไปที่รถยนต์สีดำที่เขาเองก็เห็นว่าเป็นรถเพื่อนของยองวอน
“ก็ยังทำอะไรไม่ปรึกษาใครอีกเหมือนเคย คนมีเงินนี่เนอะ” โทซองรำพึงรำพันพลางก้มหน้าลงมองการ์ดในมือก่อนจะรีบเดินอ้อมตัวรถมาที่ฝั่งคนขับแล้วเข้าไปนั่งประจำที่ สายตาจ้องมองไปยังกระจกมองหลังเพื่อสังเกตการณ์อยู่เงียบๆ พบว่าตอนนี้ท่านประธานฮันชินซองเดินไปกระชากประตูรถฝั่งด้านข้างคนขับของรถคันนั้นออกเรียบร้อยแล้ว
คาดหวังว่าจะเป็นการเดินไปพูดคุยกันด้วยดีล่ะนะ
“ลงมา”
การกระทำของชินซองตรงกันข้ามกับสิ่งที่โทซองคิดเอาไว้ลิบลับ ถึงท่าทางจะไม่ได้หุนหันพลันแล่น น้ำเสียงไม่ได้ตีโพยตีพาย แต่มันน่าจะทำให้อีกฝ่ายตกใจอยู่พอสมควร
“พี่ชินซอง”
“มากับฉัน” น้ำเสียงของชินซองยังฟังดูสุขุมและเยือกเย็นตามแบบฉบับของแวมไพร์ผู้บริหาร แต่ในขณะเดียวกันมันก็มีพลังอำนาจมากพอจะทำให้คนฟังรู้สึกขนลุก ร่างสูงยืนตัวตรงดิกอยู่ข้างรถ กระทั่งเวลาผ่านไปหลายวินาทีก็ยังไม่มีทีท่าว่าคนในรถจะก้าวเท้าลงมาตามคำสั่ง ชินซองจึงตัดสินใจจะเอื้อมมือไประชากอีกฝ่ายลงมาเพราะเริ่มจะหมดความอดทน
“เดี๋ยวๆ นี่มันเรื่องอะไรกันครับ แล้วพี่มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” ยองวอนร้องถามด้วยความตกอกตกใจกับการถูกชินซองลากลงจากรถจนหน้าซีดเผือด
“ก็แล้วนายโผล่หัวไปหาฉันทำไมล่ะ” ชินซองย้อนถามพลางก้าวไม่หยุด ทุกก้าวมั่นคง แต่กับคนที่ถูกลากมาด้วยกลับรู้สึกหวาดหวั่นและไม่ปลอดภัย ภาพที่โทซองเฝ้ามองทำให้เขาถึงกับต้องลอบกลืนน้ำลายแล้วยกมือขึ้นปาดเหงื่อทั้งที่อุณหภูมิในรถก็ไม่ได้ร้อนอบอ้าวเลยสักนิด
“นี่แปลว่าพี่ตามผมมางั้นเหรอครับ”
“ใช่”
“แล้วพี่ตามผมมาทำไมในเมื่อพี่ไม่ได้คิดจะช่วยผม”
ครั้งแล้วครั้งเล่าที่โทซองเป่าลมออกจากปาก เขารู้จักฮันชินซองดีไม่น้อยไปกว่าใคร และถ้าจะเทียบกับยองวอนที่กำลังจะถูกขย้ำนั่นแล้ว เขาคิดว่าเขารู้จักหมอนั่นดีกว่าที่ยองวอนรู้จักแน่
ภายนอกที่ดูเหมือนจะใจเย็น แต่ลึกๆ แล้วคนที่มีทุกอย่างเพียบพร้อมรวมถึงมีอำนาจล้นมือขนาดนั้น ยิ่งเงียบก็ยิ่งน่ากลัว และแน่นอนว่าไม่เคยมีใครขัดขวางได้แน่ๆ เพราะฉะนั้นตอนนี้ถ้าเขาแนะนำยองวอนได้หนึ่งอย่าง เขาอยากจะบอกว่า...ควรจะตามน้ำไปก่อน อย่างน้อยก็น่าจะรอดน่ะนะ...
“ปล่อยผมครับ”
พลั่ก!
“โอ๊ย!” เสียงร้องของยองวอนทำให้โทซองเบิกตาโพลง ร่างกายกระตุกโดยอัตโนมัติ นึกอยากจะก้าวเท้าลงไปแต่ก็ต้องเปลี่ยนใจนั่งมองทุกอย่างเงียบๆ ภายในรถ คงจะเหมือนกับที่คนในรถอีกคันกำลังทำอยู่ เพราะตั้งแต่ที่ชินซองลากยองวอนลงมาจากรถคันนั้น เขาก็ไม่เห็นว่าคนขับจะก้าวตามลงมานี่
ยองวอนล้มลงไปนั่งอยู่กับพื้นเพราะพยายามจะสะบัดข้อมือของชินซองให้หลุด แต่พอหลุดแล้วเขากลับเป็นฝ่ายล้มลงมาเพราะไม่ทันระวังตัว
“ตกลงนายอยากให้ฉันช่วยหรือไม่อยากให้ช่วยกันแน่ยองวอน” ชินซองเอ่ยปากถามเสียงเครียด พลางยกมือขึ้นกอดอก จ้องมองคนตรงหน้าด้วยสายตาคมปลาบ สีหน้าเรียบตึงราวกับกำลังตัดสินใจจะไล่พนักงานที่ทำผิดกฎร้ายแรงของบริษัทออกไม่มีผิด
“ผมขอร้องล่ะครับ ถ้าพี่ไม่คิดจะช่วยจริงๆ ก็ได้โปรดเห็นใจผมด้วย” ยองวอนอ้อนวอน “ผมไม่มีอะไรเหลือแล้ว อย่างน้อยก็ขอให้ผมได้อยู่กับความหวังบนบ่าของผมต่อไปได้รึเปล่า”
คำว่าความหวังบนบ่ามันบ่งบอกได้ดีว่า เจ้าตัวเองก็น่าจะรู้ว่าสิ่งที่กำลังแบกอยู่มันหนักหนา แต่ก็ยังพยายามจะแบกมันเอาไว้อย่างสุดความสามารถ
“บ้าฉิบ” โทซองกำพวงมาลัยรถแน่นจนมือสั่นไปหมด เขานึกสังเวชยองวอนสุดหัวใจ ถึงจะเป็นเพียงแค่คำพูดเพียงไม่กี่คำ แต่มันกลับทำให้คนฟังสัมผัสได้ถึงความทุกข์ทรมานในจิตใจของเด็กนั่นได้เป็นอย่างดี
“ไปขึ้นรถ”
“ไม่ครับ ผมจะ...”
“แล้วฉันจะช่วย” ชินซองรีบพูดต่อ และมันก็ทำให้ยองวอนเงียบลงได้สักที
“พี่จะช่วยผมจริงๆ เหรอ”
“คนอย่างฉันไม่ทำลายเกียรติของตัวเองด้วยการพูดพล่อยๆ”
นั่นจะถือเป็นคำสัญญาว่าเขาจะรักษาคำพูดได้รึเปล่า ยองวอนไม่กล้าคาดเดา สิ่งที่เขาทำเอาไว้เป็นความผิดที่ตามติดเขาเหมือนเงาตามตัว กลัวว่าคนตรงหน้าจะกลับมาเอาคืนเข้าสักวัน
“ตกลงยังไง จะไปขึ้นรถหรือจะกลับเข้าไปในโรงพยาบาล” ชินซองถามย้ำอีกครั้งเสียงเรียบ เหตุผลเดียวที่เขายังใจเย็นอยู่ได้ก็เพราะกำลังรอคอยเสียงโทรศัพท์จากเลขาฯ เพราะถ้าหากได้รับรายงานว่าเขาได้ในสิ่งที่เขาต้องการแล้วเมื่อไหร่ ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องยืนเถียงกันให้วุ่นวายอีก ยังไงซะเขาก็ตัดสินใจไปแล้วว่าจะช่วย ไม่อย่างนั้นเขาอาจรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต
“พี่บอกได้รึเปล่าว่าจะพาผมไปที่ไหน”
“นายจะรู้ไปทำไม กลัวฉันจะหลอกนายไปขายงั้นเหรอยองวอน สภาพนายตอนนี้ฉันว่ามันไม่น่าจะได้ราคาสักเท่าไหร่หรอก” น้ำเสียงเย้ยหยันของชินซองขัดกับแววตาที่ดูเป็นห่วงเป็นใยยองวอนลิบลับ ใครดูไม่ออก แต่โทซองที่นั่งยิ้มอยู่ในรถดูออก และมั่นใจว่าไม่มีทางมองผิดแน่
“ผมไม่ได้กลัวเรื่องนั้นหรอกครับ” ยองวอนบอกเสียงเศร้า พลางค่อยๆ ลุกขึ้นยืนด้วยตัวเองโดยมีชินซองยืนมองทุกการกระทำอยู่เงียบๆ
“ผมแค่อยากรู้ว่ามันไกลจากโรงพยาบาลมากรึเปล่า พรุ่งนี้ผมต้องมาหายองแอแต่เช้า ถ้าเธอตื่นมาแล้วไม่เจอผม เธอจะกลัวมาก”
ทุกคำพูดที่หลุดออกจากปากของยองวอนบีบหัวใจคนฟังเสมอ แม้กระทั่งตอนนี้ที่ชินซองเองก็ยังคงยืนกำหมัดแน่น พยายามจะควบคุมสติและอารมณ์ รวมถึงคุมสถานการณ์เอาไว้ให้ได้มากที่สุด
ในขณะที่โทซองถึงกับต้องกะพริบตาปริบๆ ทั้งที่เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเขาร้องไห้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ น่าจะเป็นตอนที่แมวที่บ้านตายไปเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อนโน่น
“ไม่ไกล”
“ครับ ถ้างั้นผมก็หมดห่วง” ยองวอนยอมอ่อนลงแต่โดยดี ทั้งหมดก็เพราะความหวังว่าจะได้รับความช่วยเหลือที่ก่อนหน้านี้เขาเองก็คิดว่ามันอาจจะเป็นเพียงภาพลวง
Rrrr~
โทรศัพท์มือถือสายสำคัญที่ชินซองกำลังรออยู่ดังขึ้นสักที
“ขอบคุณ”
หมับ!
คำเดียวเพียงสั้นๆ ของชินซองหมายถึงเขาได้ทุกอย่างตามที่ต้องการแล้ว
หลังจากกดวางสาย ชินซองรีบเดินมาคว้าหมับที่ข้อมือของยองวอนเอาไว้อีกครั้ง ก่อนจะพาเดินตรงมาที่รถทันที โดยที่โทซองเองก็เตรียมพร้อมที่จะพาทั้งคู่ไปยังจุดหมายปลายทางที่ชินซองบอกเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว
สัมผัสที่เย็นเยียบจากฝ่ามือของชินซองที่สัมผัสบริเวณข้อมือของยองวอนทำให้เขาสะดุ้งเฮือก แต่คนที่ตกใจกว่ากลับเป็นชินซอง ที่ถึงแม้เขาจะคุ้นชินกับสัมผัสเย็นๆ และรู้จักอุณหภูมิร่างกายของตัวเองเป็นอย่างดี แต่นั่นหมายถึงมันควรจะมาจากเขา ไม่ใช่จากคนที่ถูกเขาสัมผัส
“ยองวอน”
“ผม...”
“บ้าฉิบ!” ชินซองสบถพร้อมกับก้าวยาวๆ เข้าไปรีบช้อนตัวยองวอนที่แข้งขาอ่อนแรงลงในฉับพลันขึ้นเอาไว้ในอ้อมแขนได้ทันเวลา
“ผม...”
“หุบปากแล้วหลับตาไปซะ” ชินซองพลั้งปากตะคอกออกไปเสียงดัง เขากระชับยองวอนเอาไว้ในอ้อมแขนพร้อมกับที่สองเท้ากำลังก้าวเร็วๆ กลับเข้าไปด้านในโรงพยาบาล โทซองและบอนซองที่ต่างคนต่างนั่งมองเหตุการณ์อยู่ตั้งแต่แรกรีบดับเครื่องแล้วพากันเดินตามเข้ามาติดๆ
“พี่ไม่ได้หลอกผมใช่มั้ย”
“บอกให้หุบปาก”
“ผมอยากได้ยินก่อน บอกผมทีสิ พี่จะช่วยผมรึเปล่า”
ความดื้อดึงของยองวอนทำให้ชินซองกัดฟันกรอด แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็จำเป็นจะต้องพูดออกไป ไม่อย่างนั้นคงได้ค้างคาใจกันไม่เลิกแน่
“ฉันพูดคำไหนคำนั้น นายเองก็อย่าลืมรักษาคำพูดล่ะ เสนอตัวให้ฉันแล้วก็ตื่นขึ้นมาทำตามที่พูดเอาไว้ด้วย”
ทั้งที่คิดว่าจะช่วยเหลือโดยมีระยะห่าง แต่เพียงแค่ได้มีโอกาสจ้องมองใบหน้าที่ไม่ได้พบเจอมาร่วมเก้าปีใกล้ๆ อีกครั้ง ชินซองกลับนึกอยากจะกอดยองวอนเอาไว้ไม่ให้เหลือช่องว่างใดๆ อีกเลย ทุกอย่างของคนในอ้อมแขนคล้ายมีพลังอะไรบางอย่างดึงดูดเขาอย่างที่ไม่สามารถต้านทานได้
“ผมขอพักแป๊บเดียว” เสียงคล้ายละเมอมาพร้อมกับรอยยิ้มมุมปาก รอยยิ้มที่ทำให้ชินซองเผลอโอบรัดคนในอ้อมแขนแน่นเพราะความลืมตัว ก่อนจะต้องรีบปล่อยออกเมื่อบุรุษพยาบาลรีบเข็นเตียงมารอรับคนที่กำลังอ่อนล้าจวนจะหมดแรงเต็มที
ชินซองค่อยๆ วางยองวอนลงอย่างเบามือ สายตาของเขายังคงจ้องมองไปที่ใบหน้าของยองวอนราวกับถูกรอยยิ้มเล็กๆ นั้นตรึงเอาไว้ ก่อนจะถูกโทซองรั้งให้ถอยออกมาเพื่อให้บุรุษพยาบาลเข็นยองวอนเข้าไปปฐมพยาบาล
“บอนซอง”
“ครับพี่ชินซอง”
“ยองวอนกินข้าวมื้อสุดท้ายไปเมื่อไหร่” ชินซองหันไปถามอย่างนึกหงุดหงิด
ตอนที่เขาจับข้อมือของยองวอนเอาไว้ เขาสัมผัสได้ว่าชีพจรของยองวอนเต้นอ่อนมาก แถมสีหน้าก็ยังซีดเผือด ริมฝีปากแห้ง ผิวกายเย็นเฉียบไปหมด
“ผะ ผมไม่แน่ใจครับ ก่อนหน้านี้เจอกันตอนเช้าผมไม่รู้ว่ายองวอนกินมื้อเช้ารึยัง”
“บ้าฉิบ! รอดมาได้ยังไง” ชินซองบ่นอย่างหัวเสีย ก่อนจะก้าวยาวๆ ตามเตียงของยองวอนที่เพิ่งจะถูกเข็นออกไป เหลือโทซองกับบอนซองที่หันมายืนมองหน้ากันงงๆ แม้จะยังไม่รู้จักกันและเพิ่งจะเจอหน้ากันตรงๆ เป็นครั้งแรก แต่บอนซองก็เลือกจะยิ้มก่อนตามมารยาท ซึ่งโทซองยินดีที่จะยิ้มตอบ
“เชื่อฉันมั้ยว่าหลังจากวันนี้เพื่อนนายคงได้เจริญอาหารทุกมื้อแน่ๆ”
“ผมเชื่อสนิทใจเลยครับ”