6 ความสุขจากชายแปลกหน้า

1478 Words
หนิงเฟิ่งไม่อาจนั่งสมาธิได้นานตามที่หวังเพราะจิตใจที่ยังว้าวุ่น นอกจากนางจะยังหลงเหลือความเศร้าจากเรื่องของฟู่เฉิงกับไป๋ฮวาที่ผุดขึ้นมาเป็นระยะแล้ว นางยังจดจำภาพฝันได้อย่างแจ่มแจ้งจนไม่อาจวางตัวนิ่งเฉยอยู่ในอารามศักดิ์สิทธิ์ได้ นางจึงเปลี่ยนใจมาเก็บตัวอยู่ที่บ้านพักชายป่า นำตำราที่พกติดตัวมาอ่านเพื่อฆ่าเวลาจนหมดวัน คืนนี้หนิงเฟิ่งเข้านอนช้ากว่าเมื่อคืนวาน นางออกมานั่งเล่นที่ชานบ้านและมองไปที่ลำธารก็ไม่เห็นว่าสายน้ำจะเปล่งแสงเหมือนในความฝัน “คงเป็นแค่ฝันไร้สาระจริงๆ นั่นแหละ” หนิงเฟิ่งรำพึง ก่อนจะกลับเข้าห้องนอนเพื่อพักผ่อน หนิงเฟิ่งเอนกายนอนบนเตียง พอถึงช่วงกลางดึกนางก็ตื่นขึ้นมาในศาลาริมน้ำอีกครั้ง นางปรายตามองไปทางลำธารที่ทอแสงประกายอร่าม จึงมั่นใจว่ายามนี้นางอยู่ในความฝัน ไม่ใช่เรื่องจริง “เหตุใดจึงได้ฝันถึงที่นี่อีกแล้ว” หนิงเฟิ่งครุ่นคิดอย่างแปลกใจ พร้อมกับก้าวลงจากศาลาด้วยท่าทีที่เต็มไปด้วยความสงสัย “เสียงอะไร” หนิงเฟิ่งมองไปรอบกายเมื่อได้ยินเสียงคล้ายกับบทเพลงบางอย่างแว่วมาตามสายลม นางมองไม่เห็นผู้ใด จึงหลับตาตั้งสมาธิเพื่อจับทิศทางของต้นเสียงจนนางมั่นใจว่าเสียงที่นางได้ยินดังออกมาจากทางป่าไผ่ หนิงเฟิ่งจึงก้าวไปทางนั้น และได้เจอกับชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนโขดหิน ชายคนนั้นอยู่ในชุดสีเขียวอ่อน มีใบหน้าคมคาย ท่วงท่าของเขาสง่างามจนน่าชื่นชม เขาหลับตาพริ้ม ใช้ริมฝีปากสีชมพูอ่อนเป่าบนใบไม้จนเกิดเสียงดนตรีไพเราะจับใจของผู้ฟัง หนิงเฟิ่งค่อยๆ ก้าวเข้าไปหาชายแปลกหน้า แสงจันทร์สีนวลที่สาดลงมาปกคลุมร่างของเขาทำให้เขาสูงสง่าราวกับเทพเซียน “ท่านเป็นใครเจ้าคะ” หนิงเฟิ่งเปล่งเสียงถามหลังจากที่บทเพลงจบลง ชายคนนั้นจึงลืมตาขึ้น ดวงตาคมเข้มจับจ้องมาทางนาง หนิงเฟิ่งรู้สึกราวกับมีกระแสบางอย่างวิ่งพล่านไปทั่วร่างของนาง ทันทีที่ได้สอดประสานสายตากับชายที่งดงามราวกับเทพมาจุติ แรงกระหายในบางอย่างพัดโหมรุนแรง หนิงเฟิ่งหอบหายใจหนักจนต้องเป็นฝ่ายหลบสายตาจากเขาเสียเอง ชายคนนั้นหัวเราะในลำคอ ก่อนจะสาวเท้ามาหยุดตรงหน้าหนิงเฟิ่ง “เรียกข้าว่าอาหยาง” เขาเปล่งคำพูดออกมาด้วยน้ำเสียงรื่นหู ไม่ต่างจากใบหน้าและท่าทีที่แสนสง่างาม “ส่วนข้าจะเรียกเจ้าว่าเฟิ่งเอ๋อ” “ท่านรู้จักข้าด้วยหรือเจ้าคะ” หนิงเฟิ่งเบิกตาขึ้นเล็กน้อย ทั้งยังสำรวจชายตรงหน้าอย่างถ้วนถี่มากขึ้นว่านางเคยเจอเขาหรือไม่ จนสุดท้ายนางก็มั่นใจว่านางไม่เคยพบเขามาก่อน หนิงเฟิ่งหลุบตาอย่างครุ่นคิด ก่อนจะเบิกตากว้างกว่าเก่า “ท่านเป็นคนพาข้ามาที่นี่ใช่ไหมเจ้าคะ” หนิงเฟิ่งมั่นใจว่าชายคนนี้ต้องไม่ใช่คนธรรมดา ในเมื่อเขาเข้ามาในความฝันของนางได้ เขาจึงน่าจะเป็นคนที่ชักนำให้นางมาที่สถานที่แห่งนี้ผ่านความฝันในยามค่ำคืนเช่นกัน เช่นนั้นเขาเป็นใครกันแน่ เทพเซียนหรือว่ามาร... “จะหวาดกลัวไปใย ข้าไม่มีวันทำร้ายเจ้า” อาหยางเห็นความตื่นตระหนกในดวงตาของหนิงเฟิ่งจึงปลอบโยนหญิงสาว “สิ่งเดียวที่ข้าจะทำ คือ ทำให้เจ้ามีความสุขเท่านั้น” อาหยางทอดสายตามองหนิงเฟิ่งอย่างอบอุ่นจนนางรู้สึกอุ่นวาบไปทั้งอก แม้จะแปลกใจในถ้อยคำของเขา ที่แสดงถึงความใส่ใจในความรู้สึกของนางทั้งๆ ที่นางและเขาเพิ่งพบกัน ดวงใจที่กำลังเคว้งคว้างสั่นไหวอย่างรุนแรง ยิ่งสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงอาทรอย่างจริงใจของเขา ยิ่งทำให้นางรู้สึกตื้นตัน “เชื่อข้านะเฟิ่งเอ๋อ ปล่อยใจไปกับข้า แล้วเจ้าจะพบแต่ความสุขสม” อาหยางยื่นมือข้างหนึ่งมาตรงหน้าหนิงเฟิ่ง น้ำเสียงของเขาหนักแน่น มั่นคง ทั้งยังแฝงการเชิญชวนให้นางได้ก้าวเข้าไปในโลกของเขาบ้าง หนิงเฟิ่งมองมือหนาอย่างลังเลในคราแรก หากเมื่อนางสบตากับอาหยางอีกครั้ง นางก็รู้สึกถึงแรงดึงดูดแปลกประหลาดที่แสนเย้ายวนใจ หนิงเฟิ่งจึงวางมือของนางลงบนมือของเขา แล้วตัวของนางกับเขาก็ทะยานขึ้นที่สูงทันที “ว้าย” หนิงเฟิ่งร้องอย่างตกใจเมื่อจู่ๆ ร่างของนางลอยขึ้นบนฟ้า นางรีบกอดเกี่ยวร่างหนาที่เป็นคนพานางขึ้นมา และตอนนี้กำลังคลี่ยิ้มมองนางอย่างเอ็นดู “ไม่ต้องกลัว ข้าไม่มีวันปล่อยให้เจ้าเป็นอันตราย” อาหยางลูบหลังของหญิงสาวที่กำลังหลับตาแน่น ทั้งยังเนื้อตัวสั่นเทาอยู่ในอ้อมกอดของเขา “ทะ...ท่านจะพาข้าไปไหนเจ้าคะ” หนิงเฟิ่งเสียงสั่น เริ่มไม่มั่นใจขึ้นมาที่นางยอมไว้ใจคนแปลกหน้า “ข้าก็พาเจ้ามาที่ๆ เจ้าชื่อชอบไง ลืมตาเถิดเฟิ่งเอ๋อ เจ้าชอบดูดาวมิใช่หรือ” อาหยางส่งเสียงหวานปลอบประโลม หนิงเฟิ่งที่รับรู้ได้ว่าตอนนี้ตัวของนางหยุดนิ่งอยู่กับที่แล้วค่อยๆ ลืมตา “ที่นี่...” หนิงเฟิ่งส่งเสียงร้องอย่างตื่นเต้นก่อนจะคลี่ยิ้มกว้างเมื่อเห็นดวงดาวงดงามรายล้อมอยู่รอบกาย นางผละออกจากร่างสูง วิ่งไปบนก้อนเมฆอย่างไร้ความตื่นกลัว มีเพียงความสนุกสนานตื่นเต้นเปล่งประกายอยู่บนใบหน้าและแววตาของนาง “มีความสุขหรือไม่” อาหยางที่ก้าวตามหนิงเฟิ่งถามหญิงสาวที่หันกลับมาส่งยิ้มให้เขาพลางพยักหน้ารัว “มีเจ้าค่ะ ข้าชอบที่นี่มาก ราวกับสรวงสวรรค์เลย” หนิงเฟิ่งชูแขนทั้งสองขึ้นแล้วหมุนตัวไปมา ก่อนจะหยุดนิ่ง เอียงคอมองหน้าอาหยาง “เอ๊ะ หรือว่าที่นี่คือสรวงสวรรค์เจ้าคะ” อาหยางไม่ได้ตอบคำถามนั้น หากหนิงเฟิ่งก็ไม่ได้ต้องการคำตอบอย่างจริงจัง เพราะยามนี้นางก็หันไปวิ่งเล่นบนปุยเมฆต่อด้วยท่าทีเบิกบาน หนิงเฟิ่งวิ่งเล่นจนเหนื่อยก่อนจะทิ้งตัวนอนลงบนกลุ่มเมฆเพื่อจ้องมองหมู่ดาราที่อยู่ใกล้ชิดจนคล้ายจะเอื้อมมือหยิบได้ อาหยางทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ นาง หนิงเฟิ่งจึงพลิกตัวไปพูดคุยกับเขา “ข้าไม่เคยฝันมาก่อนเลยเจ้าค่ะ ว่าวันหนึ่งข้าจะได้นอนอยู่บนเมฆเพื่อชมดาวอย่างใกล้ชิดเช่นนี้” หนิงเฟิ่งยิ้มจนตาหยี อาหยางจึงบีบจมูกเล็กอย่างเอ็นดู “ถ้าเป็นเจ้า ข้าหาให้ได้ทุกอย่างเฟิ่งเอ๋อ” น้ำเสียงของอาหยางบ่งบอกว่าเขาไม่ได้พูดเล่น หนิงเฟิ่งจึงยิ่งมองเขาอย่างซาบซึ้งและวางใจ หนิงเฟิ่งเลยไม่เลี่ยงหลบยามที่อาหยางเริ่มยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ริมฝีปากของเขานาบลงบนริมฝีปากของนาง หนิงเฟิ่งหลับตาพริ้ม รับสัมผัสนุ่มนวลและอ่อนหวาน จนเมื่อเขาพลิกตัวขึ้นมาคร่อมร่างของนาง หนิงเฟิ่งจึงได้สติรีบดันร่างหนาให้อยู่ห่างจากกาย “พะ...พอเถิดเจ้าค่ะ” หนิงเฟิ่งพยายามห้ามปรามด้วยน้ำเสียงที่ขาดห้วง “ข่ะ...ข้ามีสามีแล้วเจ้าค่ะ” สำนึกผิดชอบทำให้นางไม่อาจปล่อยใจไปกับเขาได้ ในเมื่อตอนนี้นางมิใช่สตรีตัวเปล่า อีกทั้งเขาและนางยังเพิ่งเจอกันครั้งแรก “ชายที่ให้ความสำคัญกับสตรีอื่น ทั้งยังตบตีภรรยาเช่นนั้น ไม่คู่ควรที่เจ้าจะเห็นเป็นสามีอีก” อาหยางเอ่ยเสียงเข้มยามที่กล่าวถึงฟู่เฉิง หนิงเฟิ่งเบิกตาขึ้นอีกครั้ง ที่ชายตรงหน้ายังรับรู้ความเป็นมาของนางด้วย “ข้ารู้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับเจ้าเฟิ่งเอ๋อ” ครั้งนี้อาหยางกลับมาใช้เสียงอ่อนหวาน มือหนาลูบไล้ใบหน้างดงามของสตรีใต้ร่างอย่างหลงใหล “เพราะข้ามีเจ้าเพียงผู้เดียว” ดวงตาของอาหยางที่สะท้อนแค่เงาของนางดั่งมนต์สะกดที่ทำให้หนิงเฟิ่งไม่ห้ามปรามเขาอีกยามที่เขาเคลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้ ริมฝีปากของทั้งสองสัมผัสกันอีกครั้ง จูบในครั้งนี้ดื่มด่ำลึกล้ำกว่าครั้งแรกหลายเท่า หากหนิงเฟิ่งก็ยอมโอนอ่อนผ่อนตาม ให้อาหยางได้ตักตวงทุกความหอมหวานของนางอย่างเต็มใจ ในเมื่อนี่เป็นความฝันนางจะขอกอบโกยความสุขเอาไว้ ความสุขที่นางอาจจะไม่มีวันได้รับในยามที่นางลืมตาตื่นอีกครั้ง
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD