1 สตรีที่ถูกเหยียบย่ำ

2183 Words
รถม้าหรูหราเคลื่อนขบวนไปตามเส้นทางที่ตรงไปยังเรือนของบุตรชายคหบดีใหญ่ หนิงเฟิ่ง…นั่งอยู่บนรถม้าคันที่หรูหราที่สุดในขบวนนั้น นางเป็นบุตรสาวของคหบดีผู้ร่ำรวยที่อยู่เมืองข้างเคียง ทั้งยังเป็นสะใภ้ของตระกูลใหญ่ที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองนี้ หนิงเฟิ่งเพิ่งกลับมาจากการทำบุญครบรอบวันตายของมารดาที่บ้านเกิดของนางซึ่งจะจัดขึ้นทุกปี ฮุยอิน...บิดาของนางรักมารดาของนางมาก แม้มารดาของนางจะจากโลกนี้ไปห้าปีแล้ว บิดาของนางยังไม่คิดมีภรรยาใหม่ นอกจากคิดถึงภรรยาเดิมแล้ว ฮุยอินยังรักหนิงเฟิ่งมากจนไม่อยากให้บุตรสาวลำบากใจ จึงตัดปัญหาเรื่องแม่เลี้ยงและลูกเลี้ยงไม่ให้เกิดขึ้นในเรือน ตามกำหนดเดิมแล้ว หนิงเฟิ่งจะร่วมเดินทางไปเยี่ยมบ้านเกิดกับฟู่เฉิงสามีของนางด้วย หากฟู่เฉิงที่เพิ่งรับตำแหน่งต่อจากบิดาให้ดูแลกิจการการค้ามีงานล้นมือจนไม่อาจปลีกตัวได้ นางจึงต้องเดินทางเพียงลำพัง พร้อมกับซูลี่สาวใช้คนสนิทข้างกาย แม้จะต้องทนเดียวดายอยู่บ้าง หากนางก็เข้าใจในความจำเป็นของสามี นางและฟู่เฉิงสนิทสนมกันมาตั้งแต่เด็ก ตระกูลของหนิงเฟิ่งและฟู่เฉิงทำการค้าร่วมกันมาหลายสิบปีก่อนจะหมั้นหมายทั้งสองเพื่อหวังเป็นทองแผ่นเดียวกัน เมื่อถึงวัยออกเรือน ผู้ใหญ่ทั้งสองบ้านได้จัดงานแต่งงานอันแสนยิ่งใหญ่ให้แก่คนทั้งคู่ หนิงเฟิ่งยังจำได้ดีว่าวันนั้นนางมีความสุขมากเพียงใด เพราะฟู่เฉิงคือชายเพียงหนึ่งเดียวที่อยู่ในใจของนาง นางรักเขาอย่างลึกซึ้งจนหมดใจ จึงเต็มใจที่จะออกเรือนกับเขาตามความต้องการของบิดา หนิงเฟิ่งย้ายมาอยู่ร่วมกับตระกูลของสามีได้สามเดือนแล้ว หากเรือนหอของนางและฟู่เฉิงแยกตัวออกมาจากเรือนใหญ่ของตระกูลเพราะฟู่เฉิงไม่ชอบความวุ่นวาย แม้วั่งซูมารดาของเขาจะไม่เห็นด้วยเท่าใดนักเพราะกลัวบุตรคนอื่นๆ ของอนุในเรือนจะมาแย่งชิงเรือนใหญ่ หากสุดท้ายวั่งซูก็ตามใจฟู่เฉิงที่เป็นบุตรชายคนเดียวของนางและของตระกูล ฟู่เฉิงเติบโตขึ้นมาท่ามกลางการเอาอกเอาใจของคนรอบข้าง แม้แต่หนิงเฟิ่งเองก็เป็นฝ่ายโอนอ่อนตามเขาตลอดด้วยความรักในตัวอีกฝ่ายเช่นกัน “พอถึงเรือนข้าจะตรงไปที่โรงครัวเลยนะซูลี่ ข้าตั้งใจจะตุ๋นไก่ดำรอฟู่เฉิงที่จะกลับมาจากการตรวจร้านค้าในช่วงเย็น” หนิงเฟิ่งบอกความตั้งใจของตนที่คิดจะทำให้สามีผู้บ้างานประหลาดใจยามที่พบว่านางเดินทางกลับมาก่อนกำหนด ทั้งยังมีอาหารที่เขาชื่นชอบรอต้อนรับเขาด้วย “อ้อ แต่ฝากเจ้านำหยกหิมะไปเก็บไว้ที่ห้องของข้าให้ทีนะ ข้าจะมอบให้ท่านแม่ ข้าไม่ไว้ใจใคร” หนิงเฟิ่งยังคิดเอาใจแม่สามีด้วยการนำหยกหายากมามอบให้อีกฝ่ายด้วย หลังจากที่นางเคยได้ยินวั่งซูเปรยๆ ว่าอยากได้หยกล้ำค่านี้ นางจึงวานให้บิดาช่วยเสาะหาให้ “ได้เจ้าค่ะฮูหยิน แล้วปิ่นหยกของไป๋ฮวาเล่าเจ้าคะ” ซูลี่ถามถึงของฝากมีราคาที่หนิงเฟิ่งนำมาให้ไป๋ฮวา สาวใช้คนสนิทอีกคนของของหนิงเฟิ่ง ชีวิตที่อาภัพและท่าทางที่สงสารของไป๋ฮวาทำให้หนิงเฟิ่งเอ็นดูนางราวกับน้องสาวแท้ๆ และเลี้ยงดูอย่างดี ไป๋ฮวาเพิ่งพ้นวัยปักปิ่นมาได้ไม่ครบเดือน หนิงเฟิ่งจึงตั้งใจมอบปิ่นหยกล้ำค่าเป็นของขวัญครบรอบหนึ่งเดือนแก่ไป๋ฮวา “เจ้านำไปเก็บไว้ด้วยกัน” หนิงเฟิ่งตอบคำถามนั้นหลังจากคิดไม่นาน รถม้าจอดที่หน้าเรือนหลังใหญ่โตพอดีหลังจากที่ทั้งสองพูดคุยกันเสร็จ หนิงเฟิ่งก้าวลงจากรถม้า มองเข้าไปในเรือนหอของตนด้วยสายตาแห่งความคิดถึง นางก้าวเข้าไปในเรือน ตั้งใจจะตรงไปทางห้องครัวอย่างที่คิดไว้ หากพบกับแม่บ้านใหญ่เสียก่อน “ฮูหยิน” อีกฝ่ายร้องเรียกหนิงเฟิ่งด้วยใบหน้าตื่นตกใจ “เหตุใดท่านจึงกลับมาวันนี้ได้เจ้าคะ” แม่บ้านใหญ่ถามด้วยท่าทีลนลานจนหนิงเฟิ่งแปลกใจ “พอดีงานเสร็จเร็วน่ะ” หนิงเฟิ่งตอบคำถามอีกฝ่าย ความจริงนางต้องกลับอีกสามวันข้างหน้า หากบิดาของนางเห็นว่านางออกเรือนแล้วจึงไม่อยากรั้งให้อยู่บ้านเดิมนานเกินไปแม้จะคิดถึงกันมากก็ตาม “แล้วนี่ไป๋ฮวาไปไหน” ฮูหยินของเรือนถามถึงสาวใช้ของตนเพราะเปลี่ยนใจจะให้ของฝากอีกฝ่ายก่อนเข้าเรือนครัว แม่บ้านใหญ่หน้าตาตื่นยิ่งกว่าเก่า ทั้งยังเหลือบมองไปทางเรือนหอของนางจนหนิงเฟิ่งผิดสังเกต “ซูลี่ ข้าเปลี่ยนใจแล้ว เจ้าช่วยไปเตรียมของที่ครัวให้ข้าก่อน ข้าจะนำหยกไปเก็บเอง” หนิงเฟิ่งหันไปกล่าวกับสาวใช้ที่ยืนด้านหลัง ซูลี่จึงยื่นกล่องใส่หยกขาวและปิ่นหยกให้หนิงเฟิ่ง “เอ่อ...ฮูหยินเจ้าคะ” แม่บ้านใหญ่ร้องเรียกตามหลัง หากหนิงเฟิ่งไม่สนใจนาง หนิงเฟิ่งก้าวไปเรือนหอของตนอย่างมั่นคง หากฝีเท้าเงียบเชียบ นางเดินผ่านห้องรับรองไปจนถึงห้องนอนของนางและฟู่เฉิง เสียงเตียงเอียดอาดดังออกมาให้ได้ยิน ตามด้วยเสียงครวญครางที่แสดงถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นภายในห้องนั้น “อ๊ะ...นายท่านเจ้าคะ อ๊า...ลึกเหลือเกินเจ้าค่ะ” เสียงหวานของหญิงสาวที่ฟังคุ้นหูทำให้หนิงเฟิ่งใจหายวาบ นางค่อยๆ ยื่นมือสั่นเทาไปเปิดประตูห้อง “รู้สึกดีใช่หรือไม่ เสียงครางของเจ้าถึงได้ดังลั่นเรือนเยี่ยงนี้...ไป๋ฮวา” เสียงของฟู่เฉิงดังตามมา “เจ้าค่ะนายท่าน ดีเหลือเกินเจ้าค่ะ อ๋า...” หนิงเฟิ่งปล่อยกล่องในมือจนของมีค่าหล่นแตก เหมือนกับใจของนางที่รวดร้าวย่อยยับทันทีที่ได้เห็นภาพตรงหน้า “ว้าย ฮูหยิน” “หนิงเฟิ่ง” สองกายเปล่าเปลือยของไป๋ฮวาและฟู่เฉิงผละออกจากกันเมื่อมองมาเห็นคนที่พวกเขาไม่คิดว่าจะได้เจอในวันนี้ “น่ะ...นี่มันอะไรกัน พวกเจ้าสองคน...” หนิงเฟิ่งชี้หน้าคนทั้งคู่ นัยย์ตาของนางแดงก่ำ “พวกเจ้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร นี่มันห้องหอของเรานะฟู่เฉิง” หนิงเฟิ่งแผดเสียงลั่น “แล้วนี่...ไป๋ฮวา...สตรีที่ข้าชุบเลี้ยงมาดั่งน้องสาว แต่เจ้ากับนางกลับ...” หนิงเฟิ่งพูดอะไรต่อไม่ออก รู้สึกรวดร้าวไปทั้งอก เมื่อคนที่นางรักและไว้ใจทั้งสองหักหลังนางอย่างเลือดเย็น “คุณหนูเจ้าคะ ยกโทษให้บ่าวด้วยนะเจ้าคะ” ไป๋ฮวาที่ใส่ชุดคลุมปกปิดร่างของตนแล้ววิ่งมาเกาะขาของหนิงเฟิ่ง พร้อมกับกล่าวเสียงเครือ ทั้งยังมีน้ำตาอาบใบหน้า หนิงเฟิ่งมองร่างที่ยังมีคราบน้ำกามด้วยความผิดหวังและรังเกียจจึงดึงขาของตนออก ก่อนที่นางจะต้องสะดุ้งเมื่อไป๋ฮวากลิ้งไปไกลหลายตลบ ทั้งๆ ที่นางไม่ได้ออกแรงมากถึงเพียงนั้น “โอ๊ย คุณหนูเจ้าคะ ฮือ ฮือ” ไป๋ฮวาทำท่าเจ็บปวดเหลือแสน ฟู่เฉิงรีบไปปลอบสาวใช้ที่นั่งบนพื้นแทนที่จะใส่ใจภรรยา “เจ้าทำเกินไปแล้วนะหนิงเฟิ่ง” หนิงเฟิ่งปวดหนึบในหัวใจจนต้องใช้มือเกาะขอบประตูหลังจากถูกสามีที่ทำผิดต่อว่านางอย่างไม่สำนึก “เกินไปหรือ มันเทียบไม่ได้กับความชั่วช้าที่พวกเจ้าสองคนทำหรอกนะ” หนิงเฟิ่งสวนคำของฟู่เฉิง คนฟังตาวาว ก่อนที่เขาจะลุกมาหานางและตบหน้านางอย่างแรงจนหนิงเฟิ่งล้มลงไปกองกับพื้น “นะ...นี่เจ้าตบหน้าข้า” หนิงเฟิ่งมองหน้าฟู่เฉิงอย่างแทบไม่เชื่อสายตา นางยกมือกุมซีกหน้าที่ชาไปทั้งแถบ ต่างจากหัวใจของนางที่เจ็บแสบยิ่งกว่าเดิม “ใช่ เจ้าจะได้รู้ตัวว่าเจ้าทำผิด เจ้าไม่มีสิทธิ์ต่อว่าชายผู้เป็นสามีที่ใหญ่ที่สุดในบ้าน” ฟู่เฉิงตะคอกใส่หน้าหนิงเฟิ่ง “อีกอย่างเจ้าก็รู้ว่าข้าไม่เคยรักเจ้า แล้วเจ้าจะมาโวยวายเพื่อสิ่งใด” หนิงเฟิ่งตะลึงค้าง ใช่...นางรู้ หากนางก็เฝ้าทำดีกับฟู่เฉิงทุกอย่าง เพื่อหวังให้เขาเห็นถึงความรักความจริงใจของนาง “ข้ารักและลอบมีสัมพันธ์กับไป๋ฮวาก่อนที่ข้าจะแต่งกับเจ้าเสียอีก รู้เอาไว้ซะ” ฟู่เฉิงกล่าวต่ออย่างไม่มีความละอาย คนฟังหัวใจแหลกเหลวไปทั้งดวงราวกับมีคนเอาน้ำเกลือมาราดบนบาดแผลที่ชุ่มเลือดของนาง ที่แท้แล้วสามีของนางก็ลักลอบมีสัมพันธ์กับสาวน้อยตั้งแต่ยังไม่ถึงวัยปักปิ่น และนี่คงเป็นเหตุผลที่ทำให้ฟู่เฉิงไม่แตะต้องตัวนางแม้จะเข้าพิธีสมรสกันแล้วก็ตาม “ถ้าเช่นนั้นเจ้าจะแต่งกับข้าทำไม” หนิงเฟิ่งถามสามีของตนด้วยเสียงสั่นพร่า “ถ้าเจ้าไม่รักข้าและรักไป๋ฮวามากถึงเพียงนี้ เจ้าจะแต่งกับข้าทำไมฟู่เฉิง” “เจ้าก็รู้ว่าข้าขัดท่านพ่อไม่ได้” ฟู่เฉิงยักไหล่ หนิงเฟิ่งสะท้านในอก นั่นสินะ...เงื่อนไขที่จะทำให้ฟู่เฉิงได้สืบทอดกิจการของบิดาคือ ต้องยอมแต่งงานกับนาง นางคงมีค่าแค่นั้นสำหรับเขา “เอะอะอะไรกันเสียงดังลั่นเรือน” วั่งซูที่ถูกแม่บ้านใหญ่ไปตามตัวเข้ามาดูความวุ่นว่าย “ว้าย นี่มันหยกหิมะนี่ เหตุใดจึงแตกหักเช่นนี้” แทนที่จะห่วงผู้คน วั่งซูกลับวิ่งไปประคองหยกล้ำค่าที่แตกเป็นสองเสี่ยงอยู่บนพื้นด้วยความเสียดาย “เกิดเรื่องอะไรกันแน่ เอ๊ะ...เหตุใดหน้าของเจ้า...” วั่งซูมองหน้าสะใภ้ของตนที่เริ่มบวมช้ำ ก่อนจะมองเลยเข้าไปในห้องหอของบุตรชายจนเห็นไป๋ฮวาที่ยังร้องไห้อยู่ “อ๋อ...นึกว่าเรื่องอะไร เจ้าคงรู้เรื่องของไป๋ฮวาแล้วโวยวายจนทำให้ลูกของข้าต้องสั่งสอนสินะ” วั่งซูพูดด้วยน้ำเสียงปกติราวกับพูดคุยเรื่องทั่วไป ดวงตาของหนิงเฟิ่งเบิกกว้างยิ่งกว่าเก่า “น่ะ...นี่ท่านแม่ก็รู้มาตลอดหรือเจ้าคะ” หนิงเฟิ่งมองหน้าแม่สามีที่ไม่มีท่าทีทุกข์ร้อน “เฮ้อ ข้าก็เพิ่งรู้ไม่นาน แต่เจ้าจะโทษฟู่เฉิงไม่ได้ ในเมื่อเจ้าเองก็ทอดทิ้งสามี” วั่งซูตำหนิลูกสะใภ้ที่ใบหน้ามีรอยฝ่ามือของบุตรชาย “สตรีที่ออกเรือนก็เหมือนน้ำที่ถูดสาดออกจากบ้าน เจ้าไม่ควรอาวรณ์บ้านเดิมอีก ต่อให้เป็นการทำบุญให้แม่เจ้าก็เถิด เมื่อเป็นเช่นนี้ลูกข้าเลยจำเป็นต้องหาความสำราญจากหญิงอื่น เจ้าเองก็เอ็นดูผู้หญิงคนนี้เหมือนน้องแท้ๆ อยู่แล้วนี่ จะคิดมากไปทำไมกัน ก็แค่ยกให้นางเป็นอนุของฟู่เฉิงเสียก็สิ้นเรื่อง” วั่งซูเข้าข้างบุตรชายของนางอย่างเต็ม ฟู่เฉิงยิ้มพอใจที่มารดาไม่ได้ตำหนิเขา ทั้งยังช่วยพูดส่งเสริมอีก “ดูสิ ทะเลาะกันจนหยกของข้าต้องเสียหายไปด้วย” วั่งซูกลับไปสนใจเรื่องหยกหายากอีกครั้ง ก่อนจะหยิบมันใส่หีบ ถือกลับไปยังเรือนของตนทั้งยังบ่นทิ้งท้าย “เฮ้อ...จะซ่อมได้ไหมนะ” พอลับหลังของมารดา ฟู่เฉิงจึงก้าวมาอยู่ตรงหน้าของหนิงเฟิ่งแล้วกล่าวกับนางด้วยน้ำเสียงเอาแต่ใจและวางอำนาจ “ได้ยินชัดแล้วสินะ และเจ้าก็ควรจะทำตามคำสอนของแม่ข้าด้วย” ฟู่เฉิงถอยเข้าห้องก่อนจะปิดประตูใส่หน้าหนิงเฟิ่งที่ทันเห็นรอยยิ้มร้ายกาจของไป๋ฮวาที่นั่งก้มหน้าอยู่ในห้อง “ฮูหยินเจ้าคะ” ซูลี่ที่เพิ่งมาถึงโอบกอดร่างของหนิงเฟิ่งด้วยความสงสารจับใจ หนิงเฟิ่งน้ำตาไหลพราก ความเสียใจ ผิดหวัง เคียดแค้นอัดแน่นอยู่ในอกของนาง นางร่ำไห้อย่างไม่นึกอายบ่าวไพร่ที่พากันมามุงดูเหตุการณ์ ด้วยหัวใจที่ร้าวรานอย่างไม่มีชิ้นดี เสียแรงที่นางทั้งรักและทุ่มเทให้กับชายคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามี อุ้มชูไป๋ฮวาที่เป็นเด็กกำพร้า แต่สุดท้ายทั้งสองกลับไม่เห็นความดีของนาง ทั้งยังร่วมมือกันเหยียบย่ำนางราวกับนางเป็นคนไร้ค่าที่ไม่ต้องใส่ใจ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD