บทที่ 5 : ตุ๊กตาในกรงทอง

1576 Words
รถยนต์สีดำสนิทคันหรูแล่นผ่านม่านราตรีของกรุงเทพฯ อย่างนุ่มนวลจนแทบไร้เสียง แสงไฟนับพันจากเมืองหลวงไหลย้อนผ่านกระจกฟิล์มสีเข้ม ราวกับภาพฝันที่พร่าเลือน มีนาจมดิ่งลงกับเบาะหนังแท้ที่โอบรับร่างเล็กของเธอไว้ ทว่าความเย็นเฉียบของมันกลับซึมผ่านเนื้อผ้าเข้าสู่ผิวกาย ร่างของเธอแข็งเกร็งในความเงียบที่อึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก ความเงียบภายในรถหนักหน่วงยิ่งกว่าความเงียบในห้องทำงานของเขาเสียอีก อย่างน้อยที่นั่น... เธอยังได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นแรงด้วยความหวาดกลัว แต่ที่นี่... ทุกอย่างกลับตายสนิท “เรา... จะไปไหนคะ...” เสียงของเธอแผ่วเบาราวกระซิบ กลืนหายไปกับเสียงเครื่องปรับอากาศ เธอกลัว... แม้แต่จะทำลายความเงียบนี้ด้วยคำพูดของตัวเอง มาร์โคซึ่งนั่งนิ่งอยู่เบาะหน้า ยังคงจับจ้องถนนเบื้องหน้าอย่างเยือกเย็น ไม่เหลือบมองกระจกมองหลังแม้แต่น้อย “ที่ที่คุณจะเริ่มต้นใหม่” คำตอบนั้นราบเรียบและเย็นชา... เย็นยิ่งกว่าอุณหภูมิภายในรถ มันคือคำตัดสินที่ปิดฉากชีวิตเดิมของเธอโดยสิ้นเชิง ชีวิตเดิม... ร้านอาหารตามสั่งที่อบอวลไปด้วยกลิ่นควันไฟและเสียงตะหลิวกระทบกระทะ เสียงหัวเราะของป้านวลที่ดังทุกครั้งเวลาเปิดละคร ชีวิตนักศึกษาที่วุ่นวายและเรียบง่าย... ทุกอย่างถูกทิ้งไว้หลังบานประตูของ Oblivion Club ปิดตายตลอดกาล รถเลี้ยวเข้าสู่อาคารสูงระฟ้าแห่งหนึ่ง ตัวอาคารตั้งตระหง่านเสียดฟ้า ราวกับจะท้าทายดวงดาว ลิฟต์ส่วนตัวบุด้วยไม้ขัดเงา สะท้อนแสงไฟสีทองอ่อน ๆ พาเธอขึ้นสู่ชั้นบนสุดอย่างเงียบงัน ติ๊ง เสียงลิฟต์ดังขึ้นเบา ๆ ก่อนประตูค่อย ๆ เปิดออก สิ่งที่ปรากฏตรงหน้า คือเพนท์เฮาส์หรูหราที่กว้างใหญ่จนแทบจะกินพื้นที่ทั้งชั้น ผนังกระจกสูงจรดเพดานโอบล้อมรอบทิศ เผยให้เห็นแสงไฟนับล้านดวงของมหานครเบื้องล่าง งดงามราวกับผืนฟ้าที่ถูกพลิกกลับด้าน ห้องตรงหน้าช่างสวยเหลือเกิน... สวยจนน่าใจหาย แต่ความงามนั้นกลับเวิ้งว้าง เยียบเย็น และไร้ชีวิตจนน่าหวาดหวั่น ครั้งหนึ่ง เธอเคยฝันอยากมีชีวิตในสถานที่เช่นนี้ อยากได้ อยากครอบครอง แต่ในตอนนี้... ทุกอย่างกลับตรงกันข้าม สิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่สรวงสวรรค์ หากคือ กรงทอง กรงที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อกักขังเธอไว้ในคราบของผู้หญิงอีกคน ผู้หญิงที่เธอไม่เคยเห็นหน้า ไม่รู้จักแม้แต่เสียงหัวเราะหรือรอยยิ้ม รู้เพียงชื่อเดียว... พิมพ์นารา อดีตคนรักที่จากไปของชายคนนั้น “คุณอมรา จะเป็นผู้ดูแลคุณ... มีนา” มาร์โคเอ่ยเรียบ ๆ ก่อนพยักหน้าให้หญิงสูงวัยในชุดกระโปรงสีเทาเข้มที่ยืนรออยู่ด้วยท่าทีนิ่งขรึม คอตั้งตรง แววตาเยือกเย็นจนอ่านไม่ออก “ยินดีต้อนรับค่ะ... คุณหนูพิมพ์” น้ำเสียงของคุณอมราราบเรียบ ไร้อารมณ์ใด ๆ ทว่ากลับทำให้มีนารู้สึกชาวาบไปทั้งใจ “ขะ... ขอโทษนะคะ ฉันชื่อมีนา...” เธอเผลอแย้งออกไปด้วยเสียงสั่นพร่า มือบางบีบเข้าหากันแน่น ราวกับกำลังพยายามจับบางสิ่งที่กำลังหล่นหายไปจากชีวิต “ตอนนี้... คุณคือคุณหนูพิมพ์ค่ะ” คุณอมรายิ้มบาง ๆ เป็นรอยยิ้มที่มุมปากขยับ แต่ดวงตากลับว่างเปล่า “นายท่านสั่งให้ดิฉันเตรียมทุกอย่างไว้ให้คุณแล้วค่ะ” “ดิฉัน...” มีนากระพริบตาถี่ หัวใจเต้นถี่รัว “ต้องอยู่ที่นี่จริง ๆ เหรอคะ...” คุณอมราเหลือบมองเพียงแวบ “ที่นี่คือที่ของคุณ... และก็ไม่ใช่ของคุณในเวลาเดียวกันค่ะ” น้ำเสียงราบเรียบแต่ทิ่มแทงลึกลงกลางอก “อยู่หรือไม่อยู่ ไม่ใช่สิ่งที่ดิฉันตัดสิน... แต่คุณไม่มีทางเลือกอื่นแล้วค่ะ” และในวินาทีนั้นเอง... ชีวิตที่เคยเป็นของมีนาถูกสลัดทิ้งไปอย่างไร้เยื่อใย เหลือไว้เพียง พิมพ์นารา ตัวแทนของผู้หญิงที่ตายไปแล้ว หญิงสาวที่เธอไม่เคยรู้จัก ไม่เคยแม้แต่เห็นหน้า แต่กลับต้องมีชีวิตแทนในนามของเธอ... ตั้งแต่นี้ไป เช้าวันต่อมา “เสื้อยืดพวกนี้... ใช้ไม่ได้ค่ะ” เสียงของคุณอมราเอ่ยขึ้นเรียบเย็น ขณะที่ใช้ปลายนิ้วเพียงสองนิ้วคีบเสื้อยืดลายการ์ตูนเก่า ๆ ของมีนาขึ้นมา ราวกับมันเป็นสิ่งสกปรก ก่อนจะหย่อนลงกล่องกระดาษโดยไม่แม้แต่จะเหลือบมอง มีนาขมวดคิ้วทันที ดวงตากลมโตไหวระริก เธอก้าวเข้าไปคว้าเสื้อคืนจากกล่อง “เดี๋ยวก่อนค่ะ... นั่นมันของฉัน!” เสียงของเธอเบา แต่เต็มไปด้วยความตกใจ “ฉันใส่มันประจำ มันยังดีอยู่เลย...” “คุณหนูพิมพ์ไม่สวมเสื้อผ้าแบบนี้ค่ะ” คุณอมราตอบโดยไม่หันมามอง สายตาจดจ่ออยู่กับการคัดแยกของใช้ส่วนตัวชิ้นเล็ก ๆ ที่มาร์โคให้คนเอามาจากหอพักของมีนา “เสื้อผ้าของคุณหนูพิมพ์อยู่ในตู้เสื้อผ้าค่ะ” “แต่ฉันไม่ใช่...” เสียงของเธอขาดหาย เมื่อสายตาคู่นั้นเหลือบมามองเพียงแวบเดียว ความเย็นชาในดวงตาทำให้คำพูดทุกคำถูกกลืนหาย ตู้เสื้อผ้าแบบวอล์กอินขนาดใหญ่... บัดนี้กลายเป็นของเธอ ภายในเรียงรายไปด้วยชุดหรูหราราคาแพงจนแทบไม่กล้าแตะ ทุกตัวล้วนมาจากแบรนด์เนมชื่อดัง ทั้งชุดเดรสเรียบหรูในโทนสุภาพ ชุดลำลองเนื้อดีสำหรับวันสบาย ไปจนถึงชุดออกงานที่ตัดเย็บประณีตด้วยผ้าไหมแท้ทุกฝีเข็ม แม้แต่ชุดนักศึกษาใหม่ก็ถูกจัดเตรียมไว้อย่างครบครัน ผ้าที่ใช้ตัดนั้นเนื้อดีเกินกว่าที่เธอเคยมีทั้งชีวิต ชั้นวางด้านข้างเต็มไปด้วยกระเป๋าแบรนด์ดังราคาแพงหูฉี่ หลายใบเป็นรุ่นที่เธอเคยเห็นแค่ในรูป หรือเคยหยิบลองจากร้านของพี่ฟ้าเล่น ๆ ด้วยความฝันเล็ก ๆ ที่ไม่คิดว่าจะเป็นจริง แต่ตอนนี้... ของจริงกลับเรียงอยู่ตรงหน้าเธอเป็นสิบ ๆ ใบ รองเท้าส้นสูง เครื่องประดับ และน้ำหอมจากแบรนด์ชั้นนำถูกจัดเรียงในตู้กระจกใส แสงไฟส่องกระทบโลหะและผิวหนังแท้ให้ประกายระยับราวของต้องสาป มีนามองทุกอย่างราวกับกำลังยืนอยู่ในฝันร้าย “นี่...” เสียงเธอสั่นเครือ “มันเยอะเกินไปค่ะ ฉันไม่กล้าใช้... ฉันไม่ควรอยู่ที่นี่ด้วยซ้ำ” “หน้าที่ของคุณ ไม่ใช่การตั้งคำถามค่ะ” คุณอมราหันมาช้า ๆ แววตาคมเฉียบจับจ้องใบหน้าของเธอ “แต่คือการทำตามทุกอย่างที่ถูกสั่งให้ทำ” มีนากลืนน้ำลายฝืดคอลงไป เธอรู้สึกเหมือนถูกตรึงให้อยู่ในโลกที่ไม่ใช่ของตัวเองอีกต่อไป วันนั้นทั้งวัน เธอไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่ เธอเพียงจำได้ว่าเสียงของคุณอมราไม่เคยหายไปจากหู เสียงที่เรียบแต่แข็ง ดุจเสียงเหล็กกระทบกันอย่างเย็นเยียบ “กรุณาอย่าเดินกระแทกส้นเท้า” เสียงนั้นดังขึ้นทันทีที่เธอก้าวออกจากห้องนอน มีนาชะงัก หัวใจหล่นวูบลงสู่ตาตุ่ม “ขะ... ขอโทษค่ะ” เธอรีบเอ่ยออกไปโดยสัญชาตญาณ “คำว่า ขอโทษ ไม่ใช่คำที่คุณหนูพิมพ์จะพร่ำพูดโดยไร้เหตุผล” น้ำเสียงของคุณอมราเรียบทว่าเฉือนคมยิ่งกว่าคมมีด “คุณหนูพิมพ์จะไม่ก้มหัว ไม่เสียงสั่น และจะไม่มีวันพูดอย่างคนไร้มารยาท” มีนาเงยหน้าขึ้น ดวงตาเบิกโพลง “แต่... ฉันแค่...” “ตั้งตัวให้ตรง” เสียงนั้นตัดบททันที เย็นเยียบและทรงอำนาจ “เชิดหน้าไว้ มือแนบลำตัว อย่าก้าวเท้าแบบนั้น!” ปลายเท้าของคุณอมราขยับก้าวช้า ๆ สาธิตให้ดู “ต้องใช้ปลายเท้าเบา ๆ ไม่ลาก ไม่กระแทก จำไว้ว่าคุณคือหญิงสาวจากตระกูลผู้ดี... ไม่ใช่หญิงบ้าน ๆ ทั่วไป” “แต่ฉัน...” เสียงเธอสั่น “ฉันไม่เคยฝึกแบบนี้มาก่อน...” “ก็ถึงเวลาที่จะต้องเรียนรู้ค่ะ” คุณอมราเอ่ยเสียงเรียบ ดวงตาคมกริบกวาดมองเธอตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เสียงส้นรองเท้าของหญิงสูงวัยดังกึกกักบนพื้นหินอ่อน เมื่อเธอเดินวนรอบตัวมีนา ดุจครูฝึกที่กำลังตรวจท่าทางของศิษย์ที่ยังไม่ผ่าน “ทุกย่างก้าวคือศักดิ์ศรี ทุกลมหายใจคือภาพลักษณ์ของคุณหนูพิมพ์นารา อย่าทำให้ชื่อของคุณหนูต้องมัวหมอง” มีนากลืนน้ำลาย ฝืนยืดหลังตรง ดวงตาร้อนผ่าว แต่เธอไม่กล้ากะพริบ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง “เข้าใจหรือยังคะ” เธอพยักหน้าช้า ๆ “ค่ะ...” เสียงนั้นแทบไม่เป็นเสียง คุณอมรากล่าวปิดท้ายด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น “ถ้าเธอยังอยากอยู่ที่นี่... ก็จงจำไว้ให้ขึ้นใจ ผู้หญิงบ้าน ๆ อย่างเธอ ไม่มีตัวตนในที่แห่งนี้อีกแล้ว มีนา... คนนั้น ตายไปแล้ว ตั้งแต่ก้าวเข้ามาในเพนท์เฮาส์หลังนี้” มีนากลืนน้ำตา “แล้วถ้าเธอที่คุณพูดถึง... กลับมาอีกครั้งล่ะคะ คุณจะทำยังไง...” คุณอมราเพียงมองนิ่ง “ไม่มีวันค่ะ คนที่ตายแล้ว... ไม่มีวันกลับมาได้อีก”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD