หลายวันต่อมา
ร้านอาหารกึ่งบาร์
ด้วยความที่หมวยเป็นเจ้าของแบรนด์เสื้อผ้า ‘M STORY’ มีช็อปอยู่ทั้งในห้างสรรพสินค้าและโลกออนไลน์ แบรนด์เสื้อผ้าเป็นที่รู้จักพอสมควรอาจเป็นเพราะเธออยู่ในแวดวงไฮโซ เวลาทำอะไรมักจะได้รับความสนอกสนใจเสมอ จึงมีคนเล่าขานปากต่อปากให้ว่าหมวยทำอาชีพนี้
เธอเข้าดูร้านทุกวันเพราะกลัวว่าจะเกิดข้อผิดพลาด แต่พนักงานทุกคนก็เก่งและเป็นงานมากจึงแทบไม่มีปัญหาอะไรให้แก้ไขเลย เพราะแบบนี้มันจึงทำให้หญิงสาวมาโผล่ยังร้านอาหารในช่วงหัวค่ำก่อนถึงเวลานัดหมาย สองตากลมโตถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางเหลือบมองบรรยากาศในร้านสักพักก็มีพนักงานเดินมาต้อนรับพร้อมสอบถามถึงเรื่องอาหารการกิน
มันจริงที่ว่าเธออยู่ภูเก็ตมาตั้งแต่เกิดแต่ไม่เคยมาร้านอาหารร้านนี้เลยทั้ง ๆ มีชื่อเสียงพอสมควร อาจเป็นเพราะมันอยู่ในซอยเล็ก ๆ ไร้ซึ่งรถโดยสารผ่านจึงทำให้เธอเลี่ยงที่จะมา หากเมาแล้วขับรถไม่ได้คงจะยากต่อการเดินทาง
แต่วันนี้เพื่อนมาด้วยไม่เป็นไร ต่อให้เมาจนคอพับก็มีคนพาส่งกลับบ้านอยู่ดี
“รอนานไหม” พอคิดถึงปุ๊บก็โผล่มาปั๊บ หญิงสาวได้แต่เอ่ยอยู่ในใจก่อนเพื่อนจะทิ้งตัวนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับเธอ “ดูแต่งตัว ไม่หนาวหรือไง”
“หนาวอะไรอุ่นขนาดนี้”
“เอาเถอะ แกมันเจ้าแม่แฟชั่นอยู่แล้วนี่” ขวัญจิราหรือเขมเอ่ยอย่างปลงใจ ต่อให้ประเทศไทยมีหิมะตกก็คงไม่สามารถทำให้มนัสนันท์เพื่อนสาวของเธอคนนี้ลดการแต่งตัวลงได้ ทุกอย่างต้องเป๊ะปังอลังการห้ามพังเด็ดขาด
นั่นคือสโลแกนของเจ้าหล่อนได้บอกกับเธอไว้ตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย
แต่ถึงอย่างนั้นตอนเรียนมนัสนันท์ก็ไม่ได้แต่งตัวเปรี้ยวเยี่ยวราดอะไร ใบหน้ายังคงมีแว่นตาใส่เหมือนสาวเฉิ่มทั้ง ๆ ที่ไม่ได้สายตาสั้นแม้แต่น้อย ทำตัวขัดกับความชอบของตัวเองจนเพื่อนหลายคนงงว่าทำไปทำไม
“ว่าแต่ทำไมถึงชวนมาร้านนี้” ขวัญจิราเอ่ยปากถามพลางมองไปรอบร้านอย่างพิจารณา “ไม่เคยพูดถึง”
“แค่อยากลองเปลี่ยนบรรยากาศดู ร้านนี้บรรยากาศเหมาะกับการมานั่งชิล ๆ ที่สุดแล้ว”
“ไม่ได้มาส่องผู้หรอกใช่ไหม”
“ส่องผู้อะไร เปล่านะ” หมวยส่ายหน้าพัลวัน “อยู่ไหนก็มีผู้ไม่ใช่เหรอ ไม่จำเป็นต้องมาส่องไกลขนาดนี้หรอก”
“ได้ข่าวว่าเจ้าของร้านนี้หล่อ ทรงแบดแต่หล่อมาก”
“เหรอ”
“จริง” เพื่อเป็นการยืนยันคำพูดของตัวเองทำให้เขมเปิดเข้ากูเกิลแล้วเสริชหาชื่อเจ้าของร้านดังกล่าว เพียงไม่นานภาพต่าง ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาให้เห็น จากสีหน้ากระตือรือร้นเมื่อครู่แปรเปลี่ยนทันใด
“ไหนขอดูด้วย”
“ไม่มี ๆ”
“ไม่มีอะไรมองไปเห็นภาพอยู่” แล้วคนที่อยู่ในชุดเดรสตัวสั้นและรัดรูปจนเห็นส่วนเว้าส่วนโค้งของร่างกายชัดเจนยันตัวขึ้นชะเง้อมองภาพดังกล่าว เมื่อเห็นว่าเป็นใครดวงตากลมโตพลันเบิกกว้างพร้อมส่งประกายวาววับทันที
“นั่นพี่สองนี่”
“แก…”
“งงล่ะสิว่าฉันรู้จักพี่สองได้ไง” ใบหน้าหมวยระบายยิ้มอย่างมีเลศนัย “นี่แหละคนที่เล่าให้ฟังว่าแม่ไปดีลผู้หล่อร้าวกร้าวใจมาให้ พี่สองคนนี้เลย ๆ”
“เอาจริงอะหมวย”
“เอาจริงสิหล่อขนาดนี้” คนพูดพยักรับอย่างกระตือรือร้นแต่ตาไม่วายหรี่ตามองอย่างจับผิด “ทำไม มีอะไร”
“ไม่มีอะไร”
“สีหน้าแกมันฟ้องเขม”
เพราะไม่เคยมีความลับกับเพื่อน และไม่เคยโกหกได้สักครั้งจึงทำให้ขวัญจิราถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่ ยอมเปิดปากบอกเรื่องสำคัญให้เพื่อนได้ฟัง
“ตอนเราเรียนอยู่ปีสาม… แกสนิทกับพี่ฟินมากจำได้ไหม”
“อือฮึ” จำไม่ได้ก็แปลกแล้ว ‘พี่ฟิน’ ที่ว่าคืออดีตพี่สาวข้างบ้านของเธอเอง
“วันนั้นน่าจะตรงกับวันเกิดของพี่ฟิน แกเลยได้เจอกับเพื่อนของพี่ฟินซึ่งคือพี่สองคนนี้”
“…”
“แกชอบพี่เขามาก เหมือนความสัมพันธ์ของแกกับเขาจะดีขึ้นแต่แล้วไม่เป็นแบบนั้นเลย”
“…”
“ฉันไม่รู้ว่าเบื้องลึกเบื้องหลังมันเป็นยังไง รู้แค่ว่าแกทะเลาะกับพี่สองหนักชนิดที่ว่าไม่สามารถกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีก แต่เท่าที่รู้คือพี่เขาปฏิเสธแกเพราะมีคนชอบอยู่แล้วคือพี่ฟิน”
“…”
“แกกลายเป็นคนแทบไม่พูดไม่จา จากเป็นผู้หญิงร่าเริงกลายเป็นคนเก็บตัว เวลาพี่ฟินมาหาแกจะเลี่ยงตลอดถึงขั้นขอแม่ออกมาเช่าคอนโดฯ อยู่กับฉัน”
“…”
“หลังจากเกิดเรื่องไม่นานแกรถชนสมองได้รับความกระทบกระเทือนถึงกลับมาเป็นหมวยคนเดิม แล้วตอนนี้แกกำลังจะกลับเข้าไปในวังวนเดิม ฉันไม่โอเคเลย”
ดวงตากลมโตกลอกขยับไปมาอย่างใช้ความคิดเมื่อได้ยินเรื่องดังกล่าว พลางสมองหลั่งความสงสารออกมาให้กับหมวยคนเก่าที่เจอเรื่องราวแย่ ๆ ในอดีต มันจริงที่เรื่องดังกล่าวมันเกิดขึ้นกับเธอ และเธอเสียใจมาก แต่ด้วยความจำอะไรไม่ได้จึงทำให้หมวยยิ้มเผล่เหมือนไม่คิดอะไร
“นั่นมันหมวยคนเก่า นี่หมวยเวอร์ชันใหม่แล้ว” สายตาของเธอสื่อความแน่วแน่ออกมาให้เห็น “กล้าบังอาจมากที่ปฏิเสธหมวยคนนี้ คอยดูเถอะจะรุกให้ได้รักเลย!”
“เอาจริง?” สีหน้าของขวัญจิรายังคงเดิมไม่เปลี่ยน “แกกำลังเล่นกับไฟ”
“ไม่เป็นไร เปรียบดั่งตัวฉันเป็นน้ำมันก็แล้วกัน”
“ร้องไห้อีกครั้งจะซ้ำให้ดู”
“หมวยคนนี้ไม่มีร้อง คนที่ร้องต้องเป็นพี่สองต่างหาก”
อีกด้าน
ดวงตาคมจับจ้องมองกล้องวงจรปิดด้วยสีหน้านิ่งเรียบ มีเพียงหัวคิ้วที่กำลังขยับเข้าหากันเมื่อเห็นร่างคุ้นเคยเดินวนอ้อมลานจอดรถราวกับว่ากำลังหาอะไรอยู่ ใช้เวลาสักพักเธอก็หยิบอะไรบางอย่างจากกองไม้ขึ้นมาแล้วเอาไปวางไว้ใต้ล้อรถของตัวเอง ก่อนที่ร่างบางจะเดินขึ้นรถแล้วขยับถอยไปมาซ้ำ ๆ อยู่หลายที
ทำอะไร?
ความจริงเขาเห็นเธอตั้งแต่ที่เธอเดินเข้ามาในร้าน เพราะการแต่งตัวของหญิงสาวมันสามารถเรียกสายตาใครต่อใครให้หันไปมองเธอได้ ไม่ต่างจากเขาเช่นกัน
แต่ไม่ได้โผล่หน้าหรือเข้าไปให้เห็นในระยะสายตา เพียงแค่มองผ่านกล้องวงจรปิดสักพักก็นั่งทำงานจนกระทั่งเห็นสิ่งผิดปกติดังกล่าวนี่แหละ
“พี่สองมีคนมาขอพบ” เสียงลูกน้องคนสนิทดึงให้สายตาเขามองไปยังหน้าประตูแล้วพยักหน้าลง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครเป็นคนอยากเจอเขาในเวลานี้ ใช้เวลาไม่นานร่างบางก็เดินเข้ามาโดยใช้สีหน้าเศร้าสอย ตากลมโตหลุกหลิกไปมาอย่างมีพิรุธ
“มีอะไร” เป็นครั้งแรกที่เขาเปิดปากถามเธอ เอนกายลงไปยังเก้าอี้ตัวใหญ่อย่างผ่อนคลาย
“หมวยรู้มาว่าพี่สองเป็นเจ้าของร้านนี้” คนก่อเหตุพูดอย่างเป็นธรรมชาติที่สุดเท่าที่จะทำได้ “พอดีหมวยขับรถเหยียบตะปูตรงลานจอดรถ รถมันใช้งานไม่ได้แล้ว”
“…”
“พี่สองไปส่งคอนโดฯ หน่อยได้ไหม”
“รู้จักกัน?” คิ้วเข้มยกขึ้นในขณะที่สีหน้ายังคงเดิม “ถึงขนาดไปส่งได้แล้ว?”
หมวยกลอกตาไปมาก่อนจะเปิดปากพูด “รู้จักกันวันดูตัวแล้วไง หรือพี่อยากรู้จักมากกว่านี้ล่ะ”
ดวงตากลมโตสบมองหน้าสองอย่างจริงจังและไม่คิดหลบตาหนี ไม่ได้เกรงกลัวเพราะนั่นไม่ใช่นิสัยของเธอ ไม่ต่างจากสองยกคิ้วขึ้นน้อย ๆ ก่อนปากจะกระตุกยิ้มบางเบา
“ดูจากกล้องวงจรเมื่อครู่เหมือนตั้งใจทำให้รถยางรั่ว”
ฉิบหาย… ไอ้หมวยเอ๊ยโง่อีกแล้ว!
คนตั้งใจก่อเหตุบ่นในใจ แต่ไม่นานหน้าก็เชิดขึ้นสู้ “ไม่รู้แหละ รถหมวยยางรั่วแล้วพี่ต้องไปส่งหมวย”
“ไม่ไป”
“ไร้น้ำใจ”
“ตามนั้น”
“ได้ หมวยหาคนไปส่งเองก็ได้” ไหล่บางไหวอย่างไม่ยี่หระ “ไม่เห็นง้อ”
“…”
“ลาค่ะ”
ไม่ใช่แค่คำพูดลอยมาแล้วลอยไป มนัสนันท์ทำตามที่ตัวเองพูดทุกประโยคคำที่ว่าจะหาคนไปส่ง ด้วยความสวยของเธอจึงไม่ยากต่อการตกเหยื่อให้ติดกับ เพียงแค่ส่งสายตาเหยื่อก็รับรู้และพร้อมตะครุบเบ็ดตัวนี้แล้ว
สองถอนหายใจเมื่อตาจดจ้องภาพหน้าจอเล็ก ๆ แล้วเห็นคนร่างบางกำลังพูดคุยหัวเราะร่ากับชายต่างชาติคนหนึ่งซึ่งเป็นลูกค้าประจำของร้าน พลางสมองฉายภาพเด็กสาวอายุยี่สิบเอ็ดปีมีความสดใสร่าเริงในแบบไม่มีพิษมีภัยมาให้เห็น ต่างจากตอนนี้ที่เปลี่ยนไปราวกับคนละคน
“มึงดูแลร้านแทนกู” ทันทีที่ก้าวขาออกมาจากห้องทำงานจึงเอ่ยบอกลูกน้องคนสนิท “มีปัญหาอะไรโทรมา”
“พี่สองจะกลับแล้วเหรอ”
“…”
“อ้อ… ไปส่งน้องหมวย ๆ สินะ”
“…”
“ว่าแต่ไม่ทันแล้วมั้ง…”
“ถ้าไม่ทันกูจะหักเงินเดือนมึง” สองว่าจบก้าวเดินไปยังโซนร้านข้างล่างโดยไม่สนใจลูกน้องคนสนิทอีก ซึ่งมันทำให้อีกคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวได้แต่เกาหัวแกรก ๆ อย่างไม่เข้าใจ
อยู่ดี ๆ ก็งานเข้าทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้ทำอะไร
สงสัยลูกพี่จะเป็นเมนส์