ถึงจะไปรับเพื่อนโซ่ช้าแต่เราไปถึงร้านตรงเวลา มันเป็นร้านอาหาร มีดนตรีสด ซึ่งตอนนี้มีแค่พี่เบสกับพี่ยีนส์ที่รอพวกเราอยู่ พี่ๆ ปีสองปีสามยังไม่มา
“พี่เบสพี่ยีนส์สวัสดีค่ะ”
“สวัสดี ชื่ออะไรบ้างนะ”
“น้ำรินค่ะ นี่โซ่ แล้วก็...” ฉันเว้นให้เธอแนะนำตัวเอง
“อ๊ะอายค่ะ”
“นั่งเถอะ ปีหนึ่งนั่งกับพวกพี่นี่แหละ” จริงๆ วันนี้ต่อโต๊ะยาว น่าจะนั่งได้ราวๆ สิบห้าคน แต่พวกฉันก็ต้องนั่งใกล้พี่ปีสี่ตามมารยาทนั่นแหละ
แต่ก็นั่งถัดมาอีกหน่อย เพราะเห็นว่าตรงข้ามพี่เขาสองที่ถูกจองแล้ว ส่วนโต๊ะถัดมาก็ถูกจองต่ออีกสองที่ ฉันกับอ๊ะอายเลยนั่งต่อจากพี่เบส ส่วนโซ่เขานั่งโต๊ะถัดไป เป็นเก้าอี้ตัวที่ติดกับอ๊ะอายพอดี บ้าจริง ฉันไม่น่ารีบนั่งก่อนเลย
มันเลยอารมณ์ขุ่นตั้งแต่เริ่มเลย แต่ก็ต้องรีบจัดการตัวเอง และยิ้มรับพี่ผู้หญิงสองคนที่เดินมาพร้อมกัน
“นี่พี่แมงมุมแฟนพี่ แล้วคนนั้นพี่ยี่หวาแฟนไอ้ยีนส์มัน”
“สวัสดีค่ะ” ฉันสามคนก็ทักทายพี่ๆ ซึ่งทั้งสองคนก็ย้ายมานั่งเป็นเพื่อนฉันกับอ๊ะอาย โดยการนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
ผ่านไปสักห้านาทีพี่ปีสองปีสามก็มากันครบ แล้วก็ตบท้ายด้วยรุ่นพี่ปีสี่อีกสองคน ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นพี่บาสกับพี่ฟอนต์ แก๊งๆ พี่เขาแหละ
“เออ สายพวกมึงนี่มันสายคนหน้าตาดีจริงๆ นะไอ้เบสไอ้ยีนส์ มีทั้งเดือนคณะ ดาวสาขา” พี่บาสเปิดประเด็นด้วยการแซวโซ่กับอ๊ะอาย แล้วพี่ๆ คนอื่นๆ ก็คุยแต่เรื่องดาวเดือนอะไรนั่นไปพักใหญ่ๆ จนฉันรู้สึกตัวลีบๆ เหมือนเป็นส่วนเกินยังไงไม่รู้
“น้อง ดื่มได้ไหม” พี่บาสที่เริ่มจะกรึ่มๆ แล้วยื่นแก้วเหล้าให้ฉัน ด้วยอารมณ์ที่มันเศร้าๆ อึนๆ เลยอยากดื่มย้อมใจ
ฉันเคยลองดื่มแอลกอฮอล์บ้าง แบบนานๆ ครั้งในโอกาสพิเศษ แล้วก็ดื่มได้แค่นิดเดียว เพราะไม่ชอบ แต่วันนี้ฉันรู้สึกอยากดื่มเยอะๆ ให้เมาไม่รู้เรื่องไปเลย
แต่ฉันไม่ทำแบบที่คิดหรอก...เพียงแต่การดื่มไปสามสี่แก้วที่คิดว่าไม่เยอะ มันทำให้ฉันเมาได้...แต่ก็พอประคองสติตัวเองให้นั่งนิ่งๆ แล้วคุยโต้ตอบกับคนอื่นๆ ได้บ้าง
ซึ่งส่วนใหญ่พี่ๆ ก็ถามฉันเรื่องเรียน ส่วนคนข้างๆ อย่างอ๊ะอายก็เอาแต่หันไปถามโซ่...จนพี่บาสคนดีคนเดิมกลับมาแซวทั้งคู่อีกรอบ
“เอ๊ะ สองคนนี้ยังไงกันนะ จะเกิดตำนานเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อเหมือนพี่สายหรือเปล่า”
“คืออะไรเหรอคะพี่บาส”
“ก็พี่แมงมุมกับพี่ยี่หวาไง ก็เริ่มจากเป็นเพื่อนๆ กันทั้งนั้น”
มันยิ่งทำให้ฉันงอน ที่พี่ๆ มองข้ามฉันไปได้ ฉันกับโซ่เป็นเพื่อนกันมาก่อนด้วยซ้ำ ถ้าจะแซวประเด็นนี้ทำไมไม่นึกถึงฉันล่ะ เพราะไม่ใช่ดาวสาขาใช่ไหม
“น้ำรินจะหลับหรือยังน่ะ เลยเวลาเข้านอนหรือยัง หรือต้องรีบกลับไปอ่านหนังสือไหม” พอจะแซวฉันก็มาแซวอะไรแบบนี้ ลุคฉันมันไม่มีอะไรให้แซวนอกจากเรื่องเรียนแล้วเหรอ
อืม ก็เข้าใจอยู่หรอก ถึงเทรนด์สาวแว่นจะมาแรงแต่ฉันไม่ใช่แนวใส่แล้วน่ารักเหมือนในการ์ตูนขนาดนั้น...มันแว่นหนาๆ คงแก่เรียนจริงๆ นั่นแหละ
“ไอ้บาส น้องกูสอบเสร็จแล้วมึงจะให้เขาอ่านหนังสืออยู่นั่น” พี่เบสโพล่งขึ้น อยากขอบคุณที่ด่าเพื่อนให้ฉันจริงๆ
“น้องรหัสมึงเรียนสาขาอะไรนะ” พี่บาสหันมาถามฉัน
“ไฟฟ้าค่ะ”
“ออ ดูเข้ากับเราดี แล้วนี่รู้จักกับเพื่อนอีกสองคนบ้างหรือยัง”
“ก็รู้จักค่ะ” ฉันตอบแบบทั่วๆ ไป แล้วก็ไม่คิดว่าคนที่ไม่อยากจะเป็นเพื่อนกับฉันแล้วจะตอบพี่บาสไปแบบนั้น
“เรียนมอปลายด้วยกันครับพี่บาส”
“อ้าวเหรอ” ถึงจะเพิ่งมาสนใจฉัน ซึ่งจริงๆ ฉันควรจะรีบอวดให้ละเอียดกว่านี้ แต่ตอนนี้มันเมา...มันซึม เพราะถูกมองข้ามอยู่นาน ทนฟังเขาถูกแซวกับคนอื่นอยู่นานเกินไป
“พี่ก็เพิ่งรู้นะ” พี่เบสถามขึ้น
“ครับ จริงๆ ก็รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กๆ พ่อแม่เราเป็นเพื่อนกัน พ่อผมกับแม่เขาก็ทำธุรกิจด้วยกัน แต่เมื่อก่อนผมอยู่ภูเก็ต เพิ่งย้ายมาตอนมอสี่”
“สนิทกันนี่เอง ถึงว่าทำไมมาด้วยกัน เห็นพี่ปีสองบอกว่าปกติ น้ำรินมีคนมารับมาส่ง” พี่เบสหันมาแซวฉัน
“ค่ะ แม่ไม่ยอมให้ไปไหนมาไหนเอง”
“ลูกคุณหนูเลยนะเนี่ย” พี่บาสคนดีคนเดิมอีกแล้ว
“ก็ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ แม่แค่ห่วงเพราะตอนอนุบาลเคยถูกพ่อขโมยจากโรงเรียน” ฉันพยายามพูดติดตลก
“แล้ววันนี้กลับยังไง มีคนมารับไหม” ฉันหันไปมองโซ่
“ไม่รู้ว่าโซ่เขาจะไปส่งได้ไหมนะคะ” เขาน่าจะดื่ม แต่ดูแล้วไม่น่าเมา ฉันเนี่ยเมากว่าอีก
พอถึงตอนที่ต้องแยกย้ายกลับตอนสี่ทุ่ม หลายๆ คนไปต่อแต่ฉันไปกับเขาไม่ไหว โซ่ก็เลยต้องพาฉันกลับด้วย ฉันนั่งหลับบนรถ แบบฝืนลืมตาไม่ได้เลย แต่หูยังพอได้ยินอะไรอยู่บ้าง
“ขอบใจนะโซ่ เจอกันวันจันทร์” แค่ประโยคธรรมดาฉันยังหมั่นไส้ที่เขานัดเจอกัน หัวใจมันเจ็บจี๊ดๆ อีกแล้ว
ฉันไม่สามารถลืมตาได้เลย จนมารู้สึกตัวว่าเหมือนจะถูกอุ้มลงจากรถ ฉันยกมือกอดคอเขาไว้ ไม่รู้ว่าเขาจะพาไปไหน จนถึงเตียงนุ่มๆ ก็ขอนอนก่อนแล้วกัน
นอนไปนอนมาก็ไปกอดก่ายอะไรบางอย่างที่ไม่ควรอยู่บนเตียง มันอุ่น...เหมือนร่างกายคนเรา แต่ฉันกลับไม่ได้รู้สึกตกใจ...มันอุ่นใจด้วยซ้ำ
“โซ่เหรอ”
“คิดว่าใครล่ะ” ใช่เขานั่นแหละ ฉันจำเสียงเขาได้ จำได้แม้แต่กลิ่นกาย จนต้องสูดดมฟุดฟิดให้มั่นใจ
“โซ่ ทำไม แบบ” รู้สึกมีอะไรที่คับข้องใจเหลือเกิน แต่คิดเป็นคำพูดไม่ทันตอนนี้
“แบบไหน หืม” เหมือนโซ่จะดมฉันฟุดฟิดคืน ดมผม ดมหัว...ชอบจัง
“ถ้านายจะอยากมีเพื่อนเป็นแฟนตามพี่ๆ แซวทำไมไม่คิดถึงฉันล่ะ ฉันเป็นเพื่อนนายมาก่อนนะ”
“แล้วเธอคิดว่าฉันไปคิดถึงใคร”
“อ๊ะอาย”
“ฉันไปคิดตอนไหน”
“เมื่อกี้”
“เพ้อเจ้อ” พอถูกเขาด่าคำคุ้นหูก็เจ็บจี๊ดในอก จนร้องไห้สะอึกสะอื้น
“ฮื่อ ชอบด่า ใจร้าย”
“น้ำริน เธอเมาขนาดนี้ได้ยังไง” เขาด่าแต่น้ำเสียงอ่อนโยน ทั้งยังลูบผมลูบหลังปลอบฉันอีก พยายามฝืนความง่วงความเมาเงยหน้ามองเขา ทั้งมึนทั้งไม่มีแว่นอีก แต่ความรู้สึกที่นิ้วเขาเกลี่ยผมที่ปรกหน้าให้อย่างอ่อนโยนนั้นชัดเจน
ฉันฝันหรือเปล่า ฝันแน่ๆ มั่นใจตอนที่ริมฝีปากอุ่นร้อยจรดบนหน้าผาก ไล้ลงมาตามจมูก...และจูบที่ปากฉัน เพราะคิดว่ามันเป็นความฝันเลยผวากอดเขา ดูดริมฝีปากนั้นกลับ...ให้เขายิ่งดูดกลับคืนมาแนบแน่นและลึกซึ้งกว่า
เป็นความฝันที่ใจสั่นมากที่เราจูบกันด้วยความเรียกร้องโดยหาจากส่วนลึกของจิตใจ ดูดดื่มลึกซึ้งที่ปลายลิ้น
เราจูบกันเหมือนจะไม่ยอมหยุดจูบสักวินาทีเลย หากก็สิ้นสุดในวินาทีหนึ่ง แต่ริมฝีปากร้อนผ่าวก็ยังจูบที่ปลายคาง จูบลำคอที่ฉันก็แหงนให้เขาดูด หรือกัดจนรู้สึกเจ็บแปลบๆ ไปหลายจุด
“โซ่” ฉันกอดเขาไว้แน่น กลัวเหลือเกินว่าตัวเองจะหลับใหลในความฝันจนไม่สามารถรับรู้ถึงฝันหวานๆ นี้ได้อีก และมันก็ถึงที่สุดก่อนที่ทุกอย่างจะมืดดับลงไปจริงๆ