“น้ำริน ตื่นก่อนไหมลูก” เสียงปลุกของแม่ทำให้ฉันอยากงอแงที่ถูกปลุกจากความง่วงงุนที่แสนขี้เกียจ พยายามคว้าตุ๊กตามากอด แต่ก็คว้าไม่ถึง แล้วเมื่อคืนฉันกอดอะไร
กอดโซ่...ใช่กอดในฝัน แต่...ความขัดแย้งในหัวที่ปวดตุบๆ ทำให้ฉันต้องฝืนตื่น หรี่ตาให้ชินกับแสงก็เห็นว่าแม่ยืนอยู่ปลายเตียงกับน้าแซม
หน้าแซมมาได้ยังไง เอ๊ะ ห้องนี้ไม่ใช่ห้องฉัน โซ่...หันไปมองข้างๆ ก็เห็นว่าเขานั่งอยู่ปลายเตียง หัวฉันยิ่งปวดตุบๆ ใจเต้นตึ้กตั้ก นี่มันสถานการณ์อะไร
ฉันมองซ้ายมองขวา มือคลำหาแว่นสายตา ก่อนที่เขาจะหยิบส่งให้มาสวมเพื่อเห็นชัดๆ ว่าแม่กับน้าแซมอยู่ตรงนี้จริงๆ
“แม่ นี่มันสถานการณ์อะไร” แล้วฉันก็แพ้เสี้ยงในหัว
“แม่หรือเปล่าต้องถามเรา ว่าสถานการณ์ตอนนี้คืออะไร ไม่กลับบ้านทั้งคืนแล้วมานอนห้องโซ่”
ฉันรีบก้มมองตัวเองว่าเสื้อผ้ายังอยู่ดีไหม ซึ่งก็อยู่ครบ แต่เรานอนกอดกันจริงๆ ใช่ไหม งั้นเมื่อคืนก็ไม่ได้ฝันสิ ทำยิ่งกว่ากอดเสียด้วย กอด จูบ ซุกไซ้ดอมดม...ถ้าภาพฉันไม่ตัดก่อนเสื้อผ้าอาจจะไม่เหลืออยู่ก็ได้
“เอ่อ เมื่อคืนพี่รหัสพาไปเลี้ยง แล้วน้ำรินดื่มไปนิดหน่อยไม่คิดจะเมาขนาดนี้” ฉันพยายามจะอธิบาย
“แล้วทำไมโซ่ไม่พาน้ำรินกลับบ้าน” แต่เหมือนว่าน้าแซมจะเล็งลูกชายตัวเองมากกว่า
“เพราะคิดว่าพากลับสภาพนั้นไม่ได้ เลยพามาอยู่ห้องให้สร่างเมาก่อน...แต่ผมเองก็ดื่มเหมือนกัน ก็เลยเพิ่งมาตื่นตอนพ่อโทรบอกให้เปิดประตูห้อง” โซ่ไปเปิดประตูให้น้าแซมกับแม่เข้ามานี่เอง
“แล้วมีอะไรจะพูดอีกไหมโซ่” ฉันรู้สึกว่าน้าแซมกำลังกดดันเขา มันเหมือนกำลังถามว่าเขาได้ทำอะไรฉันหรือเปล่า
“พ่อ น้าฝนครับ ผมไม่สามารถพูดได้ว่าผมไม่ได้ทำอะไรน้ำรินในสถานการณ์ตอนนี้ แม้ว่าความจริงผมจะทำหรือไม่ทำก็ตาม ผมต้องขอโทษน้าฝนที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ น้าฝนจะว่าตำหนิหรือจะจัดการผมยังไงผมก็ยอมรับ”
โซ่เป็นคนดีจัง เขายอมที่จะรับผิดชอบในสิ่งที่ก็ไม่มั่นใจว่าได้ทำผิดไปหรือเปล่า แล้วก็ไม่ได้เกิดจากเขาคนเดียวด้วย
“น้าไม่มีอะไรจะตำหนิโซ่หรอกนะ แต่จะให้น้าไม่คิดอะไรเลยมันก็อาจจะใช้เวลา”
“พ่อเข้าใจนะว่าเราสองคนยังวัยรุ่น หรือมันอาจจะเป็นเรื่องธรรมดาของชายหญิงไม่ว่าจะวัยไหนก็ตาม แต่พอคิดว่าจะให้มันแล้วๆ ไปโดยไม่รับผิดชอบอะไรก็ไม่ได้อีก ถ้าสมัยพ่อ พ่ออาจจะถูกจับแต่งงานไปแล้ว”
ประโยคนั้นทำให้ฉันใจหวิวๆ ให้น้ำหนักกับคำว่าแต่งงานในเสี้ยววินาทีแรก ก่อนที่ความหนักใจจะถาโถม โซ่จะไม่เกลียดฉันยิ่งกว่าเดิมเหรอที่หาเรื่องมาให้เขาขนาดนี้
“แต่พ่ออยากให้เราดูแลน้ำรินให้ดี ในระหว่างเรียนสี่ปีนี้ หมั้นกันไว้ก่อนได้ไหมฝน อาจจะไม่ต้องจัดงานหมั้น แต่เป็นสัญญาใจของฉันกับแก”
“จริงๆ ฉันก็อยากพูดแบบนั้น แต่มันจะเป็นการกดดันโซ่มากเกินไปหรือเปล่า”
“ไม่หรอก เอาตามนี้แหละโซ่ น้ำรินก็เหมือนลูกสาวพ่อคนหนึ่ง ก็ให้แกดูแลเขาให้ดีตลอดสี่ปีที่ยังเรียนอยู่ ถ้าเรียนจบแล้ว โตพอที่จะตัดสินใจในชีวิตตัวเองได้ก็ค่อยมาคุยกันอีกที”
“ฉันว่าตอนนี้ลูกๆ ก็น่าจะต้องคุยกันนะ เอาเป็นว่าเราสองคนคุยกันก่อนแล้วกัน น้าไม่ได้บังคับนะโซ่” แล้วแม่ก็สะกิดน้าแซมให้ออกจากห้อง พอบานประตูปิดลง ความอึดอัด กดดันก็โถมถั่งเข้าหาฉันอย่างหนีไม่ออก ฉันจะใช้โอกาสนี้มัดมือชกโซ่ดีไหม แล้วมาลุ้นว่าเขาจะชอบฉันขึ้นมาบ้าง หรือจะยิ่งเกลียดกันไปเลย
ฮือ แค่นี้เขาก็เกลียดจะแย่อยู่แล้วหรือเปล่าที่หาแต่เรื่องให้ ความผิดฉันแท้ๆ มันเครียด มันกดดันจนน้ำตาไหลตอนไหนไม่รู้ มารู้ตัวตอนสะอื้นแล้ว
“ร้องไห้ทำไม ไม่ต้องร้อง” น้ำเสียงนิ่งๆ ทำให้ฉันไม่มั่นใจเลยว่ามันคือคำปลอบโยน เขากำลังโกรธและรำคาญน้ำตาของฉันหรือเปล่า ยิ่งคิดน้ำตาก็ยิ่งไหล หยุดไม่ได้เลย
“เป็นอะไรน้ำริน ร้องไห้ทำไม” เห็นไหม เขาโมโหจริงๆ ด้วย ฉันเบะและปล่อยโฮออกมาเลย ก่อนจะพยายามกลั้นมันเอาไว้ ให้ไหลเงียบๆ
ทุกอย่างมันหยุดนิ่งตอนที่ริมฝีปากอุ่นทาบลงมา หยุดความเจ็บปวด กดดัน ทั้งหมดให้เหลือเพียงเสียงหัวใจที่เต้นรัว เนิ่นนานในความรู้สึกกว่าคนข้างๆ จะถอนจูบบางเบานั้น ให้ฉันเผลอมองตาม
“ก็หยุดร้องไห้ได้นี่” คืออะไร จะบอกว่าที่จูบเพราะโมโหที่ฉันไม่ยอมหยุดร้องงั้นเหรอ...แต่ทำไมฉันไม่รู้สึกถึงความโกรธหรือโมโหของเขาเลยล่ะ หัวใจมันเหมือนได้รับความปลอบโยนมากกว่า
“แล้วตกลงร้องไห้ทำไม”
“ฉัน...ฉันไม่รู้” มันเครียด กดดัน กลัวเขาเกลียดยิ่งกว่าเดิมที่วุ่นวายจนโซ่ต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้
“ไม่ได้ร้องเพราะตกใจที่พ่อฉันกับแม่เธอมาเห็นเรานอนด้วยกัน จนถูกบังคับให้ต้องหมั้นกันเหรอ”
“นายต่างหาก ไม่ใช่เกลียดจนจะบีบคอฉันให้ตายเลยเหรอที่ทำให้นายต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้” เผลอประชดสิ่งที่อัดอั้นตันใจ คนข้างๆ มองด้วยสายตาที่นึ่งขึ้น ดวงตาเหยี่ยวอันแหลมคม ลึกลับคาดเดาความรู้สึกไม่ออก
“หมายถึงเธอเองไม่ได้โกรธหรือเกลียดฉันเลยเหรอน้ำริน ที่ทำให้เธอต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน” ทำไมคำถามนี้ทำให้สมองฉันขาวโพลน หายใจไม่ทั่วท้องเมื่อคิดว่าสายตาคมดุคู่นี้กำลังมองความรู้สึกของฉันได้ลึกแค่ไหน
ฉันชอบเขา...ชอบเข้าไปวุ่นวายกับเขาจนเกิดเรื่อง แต่ไม่เคยบอกชอบเลยสักครั้ง ไม่แม้แต่จะเอะใจเลยว่าโซ่จะสงสัยความรู้สึกนึกคิดของฉันแค่ไหน
ใจมันเต้นรัวเมื่อสายตาคู่นี้ช่างกดดัน ราวกับว่าเขาจะควักหัวใจฉันออกมาค้นหาความรู้สึกเดี๋ยวนี้ แทบจะลืมหายใจตอนที่รู้ตัวว่าใบหน้าใกล้กันเรื่อยๆ จนมือเขาดึงแว่นสายตาออก ภาพตรงหน้าเบลอเล็กน้อย หากความรู้สึกที่ริมฝีปากอุ่นร้อนแนบลงมาอย่างแนบสนิทกลับชัดเจน
หัวใจฉันเต้นแรงมาก มันเป็นจังหวะที่หนักหน่วงจนเหมือนจะทะลุออกมานอกอกได้ เมื่อปากเขากดย้ำ และขบเม้มหลายๆ ทีตอนที่มือแข็งแกร่งประคองลำคอก็แหงนหน้าให้เขาจูบ...เหมือนคุ้นเคยกับจูบแบบนี้ คล้ายๆ ความฝันเมื่อคืน
เขาดูดปากฉัน และเลียริมฝีปากเบาๆ ให้ใจสั่น รู้สึกเหมือนลิ้นของเขาอยากรุกล้ำเข้ามาก็เผลอเผยอปากเล็กน้อย หากโซ่ก็ไม่ได้รุกไปมากกว่านั้น เขาแค่ดูดกลีบปากหนักๆ จนเหมือนจะกลืนลงท้องได้ ตอนที่เขาถอนจูบ ยังรู้สึกว่ามันจะหลุดตามปากเขาได้แบบนั้นเลย
ฉันได้แต่มองเขาตาปริบๆ ด้วยความสงสัย หากพอไม่ได้คำตอบในวินาทีหนึ่งก็ต้องหลุบมองมือตัวเองด้วยความสับสน ปนขัดเขิน...ถ้าก่อนหน้านี้คือจูบปลอบ แล้วเมื่อกี้จูบเพื่ออะไร