อลีนาเข้ามาหามาทินาที่ห้องทำงาน แต่แพรวพราวกลับไปแล้วเพราะรอไม่ไหว
“คุณทีน่ามีธุระอะไรกับเอิงเหรอคะ” หญิงสาวถามหลังจากนั่งลงที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของผู้เป็นเจ้าของห้อง
“คุณแพรวพราวเพิ่งมาหาฉัน” มาทินาบอกเสียงเข้มแล้วยืดหลังตรงอย่างมีอารมณ์ “หรือจะเรียกว่ามาด่าก็ได้”
“ด่าเรื่องอะไรคะ” อลีนาตกใจและเริ่มสังหรณ์ใจว่าเรื่องนี้น่าจะเกี่ยวกับงานของเธอ เพราะไม่อย่างนั้นมาทินาคงไม่เรียกเธอเข้ามาพบด่วนแบบนี้
“เพราะคอลัมน์นี้ของเธอในเว็บไซต์” มาทินาหันหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่เปิดเว็บไซต์หน้าคอลัมน์ ‘Shining Star’ ซึ่งเป็นคอลัมน์แซวชุดออกงานของเหล่าดารา นางแบบและเซเลบคนดัง ซึ่งส่วนมากจะเป็นการเขียนแนวชื่นชมมากกว่าจิกกัดในเชิงลบ
“คอลัมน์นี้ก็เขียนชื่นชมตามปกตินี่คะ คุณแพรวพราวจะไม่พอใจเรื่องอะไรคะ” อลีนากวาดตามองรูปเซเลบสาวคนดังทั้งสี่คนบนหน้าจอ ทุกคนล้วนสวมใส่ชุดราตรีหรูหราสวยงามพร้อมประโคมเครื่องเพชรมาประชันกันอย่างไม่มีใครยอมใคร “ว่าแต่...คุณแพรวพราวคนไหนคะ”
“เอิง!!!” มาทินาตบโต๊ะเสียงดังปังจนอลีนาสะดุ้งโหยง “เธอเป็นคนเขียนคอลัมน์นี้เอง แต่เธอไม่รู้จักคนที่เธอเขียนถึงได้ยังไง!”
อลีนายิ้มแหยยอมรับผิดแต่โดยดี ทุกเดือนเธอต้องเขียนคอลัมน์ถึงสามคอลัมน์ แถมยังต้องดูภาพรวมของเนื้อหาทั้งหมดในเว็บไซต์อีก มันก็ต้องมีลืมกันบ้าง
อีกทั้งเซเลบสาวทั้งสี่คนที่จับกลุ่มกันให้ช่างภาพถ่ายรูปก็ผ่านการ ‘โมหน้า’ มาชนิดที่ว่าแทบจะยกเครื่องใหม่ทั้งหน้า และน่าจะมาจากฝีมือหมอคนเดียวกันด้วย เพราะใบหน้าของทุกคนคล้ายกันมาก ทั้งรูปทรงจมูก ปลายคาง โหนกแก้ม แม้แต่ริมฝีปากก็ฉีดฟิลเลอร์มาจนเต็มอิ่มเซ็กซี่เหมือนกันอีก
“คุณแพรวพราวคนนี้” มาทินาชี้ที่รูปของหญิงสาวรูปร่างผอมเพรียวราวนางแบบซึ่งสวมชุดราตรีเกาะอกสีแดงเบอร์กันดีประดับด้วยคริสตัลระยิบระยับโชว์เนินเนื้อขาวอวบ ชายกระโปรงแหวกสูงถึงโคนขา
“ว่าแต่คุณแพรวพราวไม่พอใจเรื่องอะไรคะ”
“เขาไม่พอใจที่เราเลือกรูปนี้ไปลงเว็บไซต์”
“รูปนี้ก็สวยดีนี่คะ” อลีนามองไม่เห็นความผิดปกติใดในภาพ นอกจากความสวยเซ็กซี่ระดับทำลายล้างของเจ้าของเรือนร่างเย้ายวนใจในแบบที่ผู้ชายส่วนใหญ่ชอบ
“เขาบอกว่ามุมนี้เขาดูขาใหญ่” ถ้ามองไม่ผิด อลีนาคิดว่าเธอเห็นมาทินาแอบกลอกตามองบนพร้อมถอนหายใจเบาๆ
“ขาใหญ่!?” อลีนายื่นหน้าเข้าไปดูที่หน้าจอแบบใกล้มากจนปลายจมูกแทบจะฝังลงไปในจอขนาดสิบห้านิ้ว “ใหญ่ตรงไหนคะ”
“ฉันก็ไม่เห็นว่ามันจะใหญ่ตรงไหน” ก่อนที่อลีนาจะเข้ามา มาทินาก็นั่งจ้องหน้าจอหน้าแบบเดียวกันไม่มีผิด “เขาเห็นรูปนี้แล้วโกรธมาก เขาบอกว่าเขาเป็นเจ้าของคลินิกเสริมความงามและลดน้ำหนัก แต่มีรูปที่เขาขาใหญ่เผยแพร่ออกไปแบบนี้มันทำให้คลินิกของเขาเสียภาพลักษณ์และขาดความน่าเชื่อถือ เขาจะฟ้องหนังสือเรา แล้วก็จะฟ้องเธอในฐานะบรรณาธิการและคนเขียนคอลัมน์นี้ด้วย”
“เรื่องแค่นี้ถึงกับต้องฟ้องกันเลยเหรอคะ” อลีนาอึ้งกับความเล่นใหญ่ของแพรวพราว “เดี๋ยวเอิงเปลี่ยนรูปให้ก็ได้ค่ะ จะส่งรูปไปให้คุณแพรวพราวเลือกเองเลย จะได้หมดปัญหา”
“มันไม่จบง่ายๆ แบบนั้นน่ะสิ” มาทินามีสีหน้าลำบากใจ
“เขายังต้องการอะไรอีกคะ”
“คุณแพรวพราวอยากให้เธอไปกราบขอโทษเขาด้วยตัวเอง และถ่ายคลิปลงเว็บไซต์ของเราและเว็บไซต์คลินิกของเขาด้วย”
“แบบนี้มันมากเกินไปแล้วนะคะ เอิงไม่ผิด แต่ถ้าถ้าเอิงทำให้เขาไม่พอใจ เอิงยอมขอโทษก็ได้ แต่ถึงขั้นกราบและถ่ายคลิปลงเว็บไซต์เอิงไม่ยอม ยังไงเอิงก็ไม่ทำ!”
“เธอต้องทำ!” มาทินาออกคำสั่งเสียงหนัก “ถ้าเธอไม่ทำ เขาจะฟ้องเรา มูลค่าความเสียหายเป็นสิบล้านเลยนะเอิง และฉันก็มั่นใจว่าด้วยคอนเนกชันที่คุณแพรวพราวมี เราแพ้คดีแน่”
“นี่มันเรื่องงี่เง่าที่สุดที่เอิงเคยเจอมาเลยนะคะ”
“ไปทำใจก่อนก็ได้นะเอิง คุณแพรวพราวให้เวลาเจ็ดวัน” มาทินาบอกอย่างเข้าใจความรู้สึกของอลีนา เธอเองก็คิดว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องไม่เป็นเรื่องที่ถูกทำให้เป็นเรื่องใหญ่เพราะความเสียหน้าและความอยากเอาชนะของแพรวพราวเท่านั้นเอง
อลีนาเดินออกจากห้องทำงานของมาทินาอย่างเซ็งสุดขีด เป็นตายร้ายดียังไงเธอก็จะไม่ยอมก้มกราบผู้หญิงประสาทเสียอย่างแพรวพราวแน่ และทันใดนั้น โทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงของเธอก็ดังขึ้น หญิงสาวหยิบโทรศัพท์ออกมาดูและเห็นที่หน้าจอขึ้นชื่อของคนที่โทร. เข้ามาว่า ‘คุณลุงร็อตไวเลอร์’ ก็รีบกดรับสายทันที
“มีอะไรคุณ”
“คุณช่วยมาที่โรงพยาบาลเดี๋ยวนี้เลยได้มั้ย” คิรากรบอกเสียงเครียด โดยมีเสียงร้องไห้ของไออุ่นดังแทรกเข้ามาตลอดเวลา
“เสียงไออุ่นร้องไห้นี่ แกเป็นอะไร” หญิงสาวถามด้วยความเป็นห่วงมากจนดูร้อนรน
“แกตื่นมาไม่เจอคุณก็เลยร้องไห้ ผมไม่เคยเห็นแกร้องไห้หนักขนาดนี้มาก่อนเลย คุณช่วยมาหาแกหน่อยได้มั้ย ผมปลอบไม่ไหวแล้ว” ชายหนุ่มยอมรับอย่างไม่กลัวเสียหน้า เวลานี้จะให้เขาทำอะไรก็ได้เพื่อให้ลูกหยุดร้องไห้
อลีนาอยากจะรีบไปหาไออุ่นทันทีที่วางสายจากคิรากร แต่ก็มีงานสำคัญที่ต้องจัดการให้เรียบร้อยก่อน โชคดีที่มีเจอร์รี่ช่วย งานจึงเสร็จเร็วกว่าที่คิด แต่ก็ใช้เวลาไปเกือบสามชั่วโมง ระหว่างที่ทำงานหญิงสาวก็คอยโทร. บอกไออุ่นเป็นระยะว่ากำลังจะไปหา ทำให้เด็กหญิงหยุดร้องไห้ได้ชั่วคราว แต่ยังคงงอแงสร้างความหนักอกหนักใจให้คิรากรอยู่มาก
“เจ๊ปุยฝ้าย ประชุมสรุปคอนเซปต์ปกเล่มใหม่เอิงขอเลื่อนเป็นพรุ่งนี้นะ บ่ายนี้เอิงมีธุระต้องรีบไปทำ” อลีนาบอกสไตลิสต์ที่กำลังง่วนอยู่กับการเตรียมเอกสารและรูปภาพแฟชั่นประกอบการประชุมอยู่ที่โต๊ะไม้ตัวยาวกลางห้อง ซึ่งปกติจะเอาไว้ใช้สำหรับตรวจบรู๊ฟต้นฉบับก่อนสั่งพิมพ์เล่มจริง
“มีเรื่องอะไรเหรอพี่เอิง ใครเป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมต้องรีบขนาดนั้นด้วย” เจอร์รี่อดสงสัยไม่ได้ “แล้วเมื่อกี้โทร. คุยกับใครตั้งหลายรอบ”
“ลูก...เอ้อ...หลานน่ะ หลานไม่สบายตอนนี้อยู่โรงพยาบาล พี่ต้องรีบไปดู” ตอบเสร็จอลีนาก็คว้ากระเป๋าถือขึ้นมาสะพายไหล่แล้ววิ่งแจ้นออกไป ปล่อยให้เจอร์รี่กับปุยฝ้ายมองตากันปริบๆ ด้วยความงุนงงว่าเธอแอบไปมีลูกมีหลานตั้งแต่เมื่อไร
อลีนากระโดดขึ้นซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่หน้าอาคารสำนักงานแล้วสั่งให้คนขับซิ่งไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด ซึ่งคนขับก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีด้วยการพาเธอมาส่งถึงที่หมายภายในเวลาแค่สิบนาที
“พี่ๆ ถอดหมวกมาคืนผมก่อน” คนขับมอเตอร์ไซค์ตะโกนลั่นเมื่อผู้โดยสารสาวจ่ายเงินแล้วรีบวิ่งเข้าตัวอาคารไปทั้งที่ยังสวมหมวกกันน็อกอยู่
“โทษทีๆ พี่รีบมากไปหน่อย” อลีนาวิ่งกลับมาถอดหมวกกันน็อกคืนแล้วรีบวิ่งกระหืดกระหอบไปขึ้นลิฟต์ แต่ลิฟต์ก็คนเยอะมาก จอดแทบทุกชั้น กว่าจะขึ้นไปถึงชั้นสิบสองที่ไออุ่นพักรักษาตัวอยู่ก็ทำให้หญิงสาวกระวนกระวายจนอยากจะร้องกรี๊ดออกมาดังๆ
ภาพแรกที่อลีนาเห็นเมื่อเปิดประตูห้องพักผู้ป่วยเข้าไปคือคิรากรกำลังหลอกล่อป้อนโจ๊กให้ไออุ่นอยู่ด้วยความยากลำบาก สภาพเขาเหมือนคนที่ผ่านสมรภูมิรบมาอย่างหนักหน่วง เสื้อสูทเนี้ยบกริบที่เห็นเมื่อเช้าถูกถอดทิ้งไว้บนโซฟาที่ตั้งอยู่ชิดผนังห้อง เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวพับแขนขึ้นถึงใต้ศอก กระดุมคอเม็ดแรกปลดออกและปมเนกไทก็คลายออกพอหลวมๆ เพื่อความคล่องตัวในการดูแลลูก
ไออุ่นงอแงมาก ทั้งร้องไห้และปัดมือพ่อไม่ให้ป้อนอาหาร แต่เขาก็ใจเย็นกับลูกได้แบบที่ไม่ต้องใช้ความพยายาม ทุกการกระทำและทุกคำพูดที่เขาปฏิบัติต่อไออุ่นดูอบอุ่นอ่อนโยนอย่างเป็นธรรมชาติ ดูออกเลยว่าเขารักหลานคนนี้เหมือนลูกในไส้ และความตั้งใจในการดูแลไออุ่นทำให้เขาดูน่ารักขึ้นอีกสองขีด
“แม่มาแล้วไออุ่น” หญิงสาวปราดเข้าไปกอดร่างเล็กป้อมของเด็กหญิงในชุดคนไข้ลายการ์ตูนน่ารัก ซึ่งทางโรงพยาบาลจัดทำขึ้นเป็นพิเศษสำหรับคนไข้เด็ก
“คุณแม่มาหาไออุ่นแล้ว” เด็กหญิงยิ้มทั้งน้ำตาแล้วกอดคนที่เธอร้องไห้หามาหลายชั่วโมงไว้แน่นราวกับกลัวว่าแม่จะหายตัวไปอีก “คุณแม่อย่าหนีไออุ่นไปอีกนะคะ”
“แม่ไม่ได้หนีหนูไปไหนลูก แม่ไปทำงานมาแป๊บเดียวเอง” อลีนาเช็ดน้ำตาที่แก้มใสที่แดงแจ๋เพราะพิษไข้ของเด็กน้อยแล้วจูบที่หน้าผากเธอเบาๆ “ไม่ร้องไห้แล้วนะคะคนเก่ง”
“ค่า...คุณแม่อยู่กับไออุ่น ไออุ่นไม่ร้องไห้แล้ว”
“เก่งมากค่ะ”
คิรากรมองสองแม่ลูกกอดกันกลมแล้วแอบระบายลมหายใจอย่างโล่งอกที่เห็นไออุ่นสงบลง เขาไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ก็จริง แต่ก็ต้องยอมรับว่าเธอมีความสำคัญต่อหัวใจดวงน้อยของไออุ่นมาก และถึงแม้ว่าเขาจะไม่อยากให้เธอเข้าใกล้ไออุ่น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าลูกต้องการแม่
“หมอบอกว่าไออุ่นเป็นยังไงบ้าง” อลีนาหันมาถามคิรากรทั้งที่วงแขนยังโอบร่างเล็กป้อมไว้แนบอกอย่างปลอบโยนอยู่
“เป็นไข้หวัดใหญ่” เขาตอบอย่างไม่สบายใจนัก “ผมกำลังพยายามป้อนโจ๊กให้แก จะได้ป้อนยา ถ้าแกไม่ยอมทานข้าวทานยา หมอคงต้องฉีดยาให้”
“ไออุ่นไม่ฉีดยา” เด็กหญิงซุกหน้าเข้าหาอกแม่เมื่อได้ยินคำว่า ‘ฉีดยา’ ที่เธอกลัวนักหนา
“ถ้าไม่อยากฉีดยาก็ต้องทานข้าวทานยานะคะ” อลีนายื่นมือไปขอชามโจ๊กจากคิรากร “แม่ป้อนนะ”
ไออุ่นอิดออดเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยอมให้อลีนาป้อนแต่โดยดี แต่กินไปได้แค่สามสี่คำก็อาเจียนออกมาจนเปื้อนเสื้อผ้าทั้งของตัวเองและอลีนา
คิรากรรีบยกถังขยะข้างเตียงขึ้นมารองอาเจียนลูกที่พุ่งออกมาอีกรอบแล้วช่วยลูบหลังให้ ส่วนอลีนาก็รีบหยิบทิชชูมาเช็ดปากและเช็ดเสื้อผ้าให้เด็กน้อยอย่างไม่รังเกียจและไม่บ่นสักคำที่ไออุ่นทำเธอเลอะเทอะไปทั้งตัว
“คุณเรียกพยาบาลเข้ามาดูลูกซิ” อลีนาหันมาบอกคิรากรหน้าตาตื่น เพราะความไม่เคยเลี้ยงเด็กทำให้เธอไม่รู้จะรับมือกับสถานการณ์แบบนี้ยังไง
“แกแค่อาเจียน เช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ก็โอเคแล้ว” คุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวจำเป็นที่เลี้ยงลูกด้วยตัวคนเดียวมาตลอดเข้าใจธรรมชาติของเด็กป่วยดี
“แน่นะ” อลีนาถามอย่างไม่วางใจ
“ผมอยู่กับไออุ่นมากกว่าคุณ ผมเข้าใจธรรมชาติของแกดี” เขาตำหนิเธอด้วยสายตาอีกแล้ว “ถอยไป ผมจะเช็ดตัวให้ลูก”
“ฉันทำให้แกเอง”
“ทำเป็นเหรอ” ชายหนุ่มถามอย่างดูแคลน
“ก็ไม่ได้ยากป้ะ?” เธอสวนกลับอย่างยียวน
“ถ้าทำลูกผมเจ็บ ผมเอาเรื่องคุณแน่”
“ลูกฉันเหมือนกัน ใครจะทำให้ลูกเจ็บ” อลีนามองเขาตาเขียวแล้วหันมายิ้มหวานกับเด็กน้อยที่นั่งหน้าจ๋อยมองพ่อกับแม่เถียงกัน “แม่จะเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้หนูเองนะ”
“เดี๋ยวผมไปเอาน้ำอุ่นกับผ้าเช็ดตัวมาให้”
คิรากรเดินหายเข้าไปในห้องน้ำครู่หนึ่งแล้วกลับออกมาพร้อมกะละมังพลาสติกใบเล็กที่ใส่น้ำอุ่นและผ้าขนหนูผืนเล็กสำหรับเช็ดตัวเด็กมาวางไว้ให้ที่ปลายเตียง จากนั้นเดินไปหยิบเสื้อผ้าชุดใหม่ของไออุ่นจากในตู้มาเตรียมไว้ให้
ชายหนุ่มยืนมองอลีนาเช็ดตัวให้ลูกสาวเขาอย่างใกล้ชิด เพราะไม่ไว้ใจว่าแม่อย่างเธอจะดูแลลูกได้ แต่เธอกลับทำได้ดีกว่าที่เขาคิดไว้มาก เธอเช็ดตัวให้ไออุ่นอย่างอ่อนโยน ทุกสัมผัสที่แตะลงบนผิวเนื้อบอบบางของเด็กน้อยนั้นแผ่วเบาเหลือเกิน อีกทั้งเธอยังชวนเด็กป่วยคุยจนหัวเราะเสียงใสได้อย่างไม่น่าเชื่ออีกด้วย
หลังจากอลีนาทำให้คิรากรวางใจได้ในระดับหนึ่ง เขาก็ขอตัวลงไปข้างล่าง แล้วกลับขึ้นมาพร้อมชุดออกกำลังกายของตัวเองที่มีติดรถอยู่เสมอเผื่อมีเวลาแวะเข้าฟิตเนส
“เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนสิ”
หญิงสาวมองเสื้อผ้าที่ถูกยื่นมาตรงหน้าแบบงงๆ
“ชุดออกกำลังกายของผมเอง”
อลีนามองเสื้อผ้าของเขาอย่างลังเลใจ ยังไม่กล้ารับมา
“ผมให้เลย ไม่ได้ให้ยืม เพราะถ้าคุณใส่แล้ว ผมก็คงไม่ใส่อีก” เขาบอกหน้านิ่งทำให้คนฟังฉุนกึก
“รังเกียจฉัน แล้วไม่คิดว่าฉันจะรังเกียจคุณบ้างหรือไง”
“หรือคุณจะใส่เสื้อผ้าเปื้อนอ้วกเดินไปเดินมาทั้งวัน” เขาย้อนถามพลางจ้องอกเสื้อที่เต็มไปด้วยคราบอาเจียนของไออุ่น
“มองอะไร” อลีนารีบยกมือขึ้นกอดอกปกปิดทรวงอก
“ผมมองเสื้อที่เปื้อนอ้วกของคุณ ไม่ได้มองอะไรแบนๆ ที่อยู่ใต้เสื้ออย่างที่คุณกำลังคิดหรอกน่า” ว่าแล้วเขาก็จับชุดออกกำลังกายยัดใส่มือเธอ “ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เหม็นไปทั่วห้องแล้ว”
อลีนาเบ้หน้าใส่คนที่บังอาจมาว่าหน้าอกไซซ์ 36B ของแท้แม่ให้มาที่เธอภูมิใจนักหนาว่าเป็น ‘อะไรแบนๆ’ ก่อนจะสะบัดหน้าเดินหนีเข้าห้องน้ำ
หญิงสาวหายเข้าไปในห้องน้ำพักใหญ่แล้วกลับออกมาในชุดออกกำลังผู้ชาย เสื้อของคิรากรตัวใหญ่มาก ใส่แล้วหลวมโคร่ง ชายเสื้อคลุมถึงกลางสะโพก แขนยาวเลยข้อศอก กางเกงขาสั้นสำหรับผู้ชายตัวโตก็ยาวเลยเข่าเธอลงไปจนเกือบครึ่งแข้ง แต่ก็โชคดีที่เป็นแบบเอวยางยืดและมีเชือกผูกอีกชั้นจึงไม่มีปัญหาในการสวมใส่
“ขำอะไร” อลีนาถามเสียงขุ่นเมื่อเห็นคิรากรที่เพิ่งป้อนยาให้ไออุ่นเสร็จมองมาที่เธอแล้วพยายามกลั้นขำอย่างเต็มที่ แต่เห็นแล้วก็ไม่อยากเชื่อว่าอีตาลุงหน้าดุคนนี้จะยิ้มเป็นด้วย
“ขำคุณ” เขาตอบตามตรง “คุณใส่ชุดแบบนี้กับรองเท้าแบบนี้แล้วเหมือนเด็กกะโปโลที่แอบเอารองเท้าส้นสูงของแม่มาใส่เล่น”
“ไม่ต้องมาแซวฉันเลย” หญิงสาวแยกเขี้ยวใส่แล้วเดินไปนั่งที่โซฟา ก่อนจะถอดรองเท้าส้นสูงออก ตั้งใจว่าจะเดินเท้าเปล่า เพราะในห้องก็ไม่ได้สกปรกอะไร
“ในตู้มีสลิปเปอร์” เขาบอกขณะที่จับไออุ่นให้ล้มตัวลงนอนแล้วห่มผ้าให้
อลีนาเดินหยิบสลิปเปอร์มาใส่ตามที่เขาบอกแล้วลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียงของไออุ่น โดยพยายามไม่สนใจสายตาล้อเลียนของชายหนุ่มที่นั่งอยู่อีกฝั่งของเตียง
“นอนนะคะคนเก่ง ตื่นมาหนูก็จะดีขึ้น” เธอลูบผมเด็กน้อยอย่างรักใคร่
“ไออุ่นไม่อยากหลับ เดี๋ยวคุณแม่หายไปอีก”
“แม่จะอยู่กับหนูตรงนี้ ไม่หายไปไหนแล้วค่ะ” อลีนาเอื้อมมือไปกุมมือเล็กไว้ให้เด็กป่วยสบายใจ “ถ้าไม่เชื่อไออุ่นก็จับมือแม่ไว้นะคะ”
ไออุ่นบีบมืออลีนาไว้แน่นจนหญิงสาวรับรู้ได้ว่าเด็กน้อยกลัวเธอจะหายไปมากแค่ไหน
ปลอบกันอยู่พักใหญ่กว่าไออุ่นจะยอมหลับ และทันใดนั้น ท่ามกลางความเงียบเชียบของห้องพักคนไข้อันกว้างขวางก็มีเสียงโครกครากดังขึ้น คิรากรที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเงยหน้าขึ้นมองสบตากับอลีนาทันที
“เสียงท้องคุณร้องหรือเสียงกดชักโครก” เขาถามหน้าตาย แต่นัยน์ตาดำวาวมีแววกวนประสาทอย่างโจ่งแจ้ง
“โหย...นั่นปากเหรอที่พูด” หญิงสาวกัดฟันว่าเสียงเบา เพราะกลัวไออุ่นจะตื่น
“หิวใช่มั้ย” เขาถามหน้านิ่งโดยไม่สนใจท่าทีฟึดฟัดของเธอ
“ไส้จะขาดอยู่แล้ว ตั้งแต่เช้ายังไม่ได้กินอะไรเลย”
คิรากรเหลือบมองเวลาที่นาฬิกาหรูราคาหลายแสนที่ข้อมือ จึงเห็นว่าเกือบบ่ายสองแล้ว “เดี๋ยวผมสั่งอะไรมาให้กิน กินเสร็จแล้วเรามีเรื่องต้องคุยกันอย่างจริงจัง”
“เรื่องอะไร”
“ผมคิดว่า...ผมต้องการคุณ”
คำพูดสั้นๆ ของเขาทำให้อลีนาอึ้งไปเหมือนโดนหมัดน็อก หญิงสาวแปลความหมายของเขาไม่ออก แต่การที่อยู่ๆ ผู้ชายมาพูดแบบนี้ก็คงคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจาก ‘เรื่องอย่างว่า’