อลีนานอนไม่หลับทั้งคืนเพราะพอหลับตาก็เห็นแต่ภาพใบหน้าของเด็กหญิงตัวน้อยที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นและเรียกเธอว่า ‘แม่’ อย่างน่าสงสาร หญิงสาวจะไม่ติดใจเลย หากเด็กคนนั้นไม่ได้หน้าเหมือนเธอกับอันนาในวัยเด็กราวกับโคลนนิงขนาดนั้น
“คนเราจะหน้าเหมือนกันได้ขนาดนั้นเลยเหรอ” อลีนาดีดตัวออกจากเตียงนอนแล้วพุ่งไปเปิดโน้ตบุ๊กที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทำงานมุมห้องเพื่อเซิร์ชหา ‘คนหน้าเหมือน’ ซึ่งก็พบว่าบนโลกนี้มีคนหน้าเหมือนกันราวกับฝาแฝดทั้งที่ไม่ได้เป็นญาติพี่น้องกันทั้งในเมืองไทยและต่างประเทศมากมายเช่น พี่ตูนเซิ่นเจิ้น
หญิงสาวเกือบจะทำใจให้ปล่อยวางได้แล้วถ้าไม่เซิร์ชไปเจอนักแสดงหลายคนที่โพสต์รูปเปรียบเทียบรูปของตัวเองกับรูปของลูกในช่วงอายุที่เท่ากันลงในเฟซบุ๊กและอินสตาแกรม แม่ลูกหรือพ่อลูกแทบทุกคู่ล้วนมีใบหน้าเหมือนกันมากชนิดที่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอุ้มผิดคนออกจากโรงพยาบาล
“อาจจะแค่บังเอิญหน้าเหมือนกันก็ได้มั้ง ไม่น่ามีอะไรเกี่ยวข้องกัน” ร่างบางในชุดนอนแบบเสื้อเชิ้ตแขนยาวเข้าคู่กับกางเกงขายาวผ้าซาตินสีฟ้าสดใส บ่นงึมงำขณะปิดโน้ตบุ๊กแล้วเดินกลับไปทิ้งตัวลงนอนบนเตียงตามเดิม แต่เพียงเสี้ยววินาทีก็เด้งตัวลุกขึ้นมาอีกครั้งเพราะฉุกคิดถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “เอย!”
อลีนากระโดดลงจากเตียงแล้วรีบวิ่งไปหาอันนาที่นอนอยู่ในห้องติดกันโดยไม่สนใจว่าตอนนี้เพิ่งตีห้า
“ตื่นขึ้นมาคุยกันเดี๋ยวนี้เลยนะเอย” อลีนาเขย่าร่างของคนที่นอนหลับอยู่ใต้ผ้าห่มอย่างแรง จนคนถูกปลุกลุกขึ้นมาโวยเสียงดังทั้งที่ยังงัวเงีย
“มีอะไร คนจะนอน”
“ตอนไปเรียนที่เมกาเอยมีลูกใช่มั้ย แล้วตอนนี้เด็กคนนั้นอยู่ที่ไหน!” เคยมีคนไทยที่โน่นส่งรูปอันนาตอนตั้งท้องมาให้ดู ตอนนั้นเธอถามอันนาแล้ว ซึ่งได้รับคำตอบว่าแค่อ้วนขึ้นเท่านั้น แต่ตอนนี้เธอเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าถูกหลอกหรือเปล่า
“ลูกเลิกอะไรที่ไหน ไม่มี้!” คนงัวเงียตาสว่างขึ้นมาทันที เธอเคยทะเลาะกับอลีนามาแล้วครั้งหนึ่งเรื่องท้องหรือไม่ท้อง ตอนนั้นกว่าจะโกหกให้พี่สาวเชื่อว่าไม่ท้องได้ก็แทบแย่ ไม่คิดว่าเหตุการณ์ผ่านไปตั้งหลายปีแล้วอลีนายังจะขุดขึ้นมาถามอีก
“เอิงเพิ่งเจอเด็กผู้หญิงที่หน้าตาเหมือนเราสองคนตอนเด็กๆ มาก”
“แล้วไง? หน้าตาเหมือนเราสองคนแล้วทำไมต้องเป็นลูกเอย ทำไมไม่เป็นลูกเอิง”
“เพราะเอิงไม่เคยท้อง แต่เอยเคย!” อลีนาโต้กลับเสียงดังอย่างมีอารมณ์ เธอรู้ว่าอันนากำลังตั้งใจกวนประสาทเพื่อเบี่ยงเบนความสงสัยของเธอ อาการแบบนี้มันส่อพิรุธชัดๆ
“เบาๆ สิ เดี๋ยวพ่อกับแม่ก็ได้ตื่นหรอก” อันนากลัวพ่อกับแม่ที่นอนอยู่ห้องฝั่งตรงข้ามตื่นมาได้ยินแล้วจะเป็นเรื่องใหญ่ ถึงแม้พ่อกับแม่จะรักและตามใจเธอมาก แต่เรื่องนี้ก็เป็นความผิดร้ายแรงที่พ่อกับแม่คงทำใจยอมรับได้ยาก แค่เธอหนีความผิดเรื่องเปรมอนันต์แล้วกลับมาเมืองไทยก่อนเรียนจบเพียงแค่ปีเดียว พวกท่านก็ผิดหวังมากพอแล้ว
“ถ้าไม่อยากให้พ่อกับแม่รู้เรื่องก็บอกความจริงมา” อลีนาคาดคั้นเสียงแข็ง “ตอนนั้นที่เอยกลับมาเมืองไทยทั้งที่อีกปีเดียวก็จะเรียนจบ มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”
“มันไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น เอยบอกแล้วไงว่าเอยสงสารพ่อกับแม่ที่ต้องหาเงินส่งให้เอยปีละเป็นล้าน” อันนาทิ้งตัวลงนอนแล้วดึงผ้าห่มมาคลุมโปงราวกับต้องการหลีกหนีอดีต ซึ่งเปรียบเสมือนฝันร้ายที่ตามมาหลอกหลอน ตอนนี้เธอมีอนาคตที่สดใสรออยู่ เธอกำลังเดตกับผู้ชายที่ทั้งหล่อทั้งรวยอย่างมาร์ช เธอจะไม่ยอมให้ความผิดพลาดในอดีตมาทำลายชีวิตเธอเด็ดขาด
ขนาดศิวภัทรที่กำลังจะแต่งงานกัน เธอยังคิดจะบอกเลิก แล้วเรื่องอะไรจะต้องแคร์เด็กที่ไม่ได้ตั้งใจให้เกิดด้วย วันที่เปรมอนันต์เสียชีวิต เธอไม่สนใจด้วยซ้ำว่าลูกสาวจะอยู่อย่างไรในมหานครที่ไร้ญาติขาดมิตร จะมีคนมารับไปเลี้ยงดูหรือเปล่า หรือจะถูกทิ้งให้เป็นเด็กเร่ร่อนในนิวยอร์ก
“ถ้าเอยไม่ยอมบอก เอิงก็จะไปถามจากเพื่อนร่วมรุ่นของเอยทุกคน ต้องมีคนรู้เรื่องนี้บ้างแหละ”
คราวนี้อันนาลุกพรวดพราดขึ้นทันทีเพราะรู้ดีว่าพี่สาวไม่ได้ขู่ คนอย่างอลีนาพูดจริงทำจริงเสมอ ลงว่าเธอสงสัยเรื่องเด็กคนนั้น เธอก็จะต้องตามสืบจนกว่าจะรู้ความจริง ทางเดียวที่จะหยุดอลีนาได้ก็คือบอกทุกอย่างที่อลีนาอยากรู้ เพราะถ้าเธอเล่าเอง จะเล่ายังไงก็ได้ แต่ถ้าให้คนอื่นเล่า รับรองว่าความเหลวแหลกสมัยอยู่นิวยอร์กต้องถูกแฉหมดเปลือกแน่ โดยเฉพาะการตายของเปรมอนันต์ ถึงแม้เธอจะไม่ได้เป็นคนลงมือฆ่าเขา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอคือสาเหตุที่ทำให้เขาต้องตายอย่างน่าเวทนา
“เอยยอมบอกก็ได้”
“เอิงขอความจริงนะ” อลีนาดักคอ
“ถ้าไม่เชื่อใจกัน เอยก็จะไม่เล่า” อันนาแกล้งทำเป็นน้อยใจ
“เล่ามา อย่าลีลา”
“ตอนเรียนอยู่ปีสาม เอยไปปาร์ตีวันเกิดเพื่อน วันนั้นเอยถูกเพื่อนนักเรียนไทยคนนึงมอมเหล้า แล้วเขาก็...” อันนาทำเป็นหยุดบีบน้ำตาเรียกความสงสารเมื่อเล่ามาถึงตรงนี้ และก็ได้ผลตามคาด เธอเห็นอลีนาชักสีหน้าไม่พอใจมาก
“เลว!”
“เอยก็ไม่คิดว่าเขาจะทำกับเอยแบบนั้น” อันนาปาดน้ำตาแล้วตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จต่อไป “หลังจากคืนนั้นเอยก็ท้อง พอเอยคลอดเขาก็มาแย่งลูกไปจากเอย เอยไม่ยอมให้ลูกเขาก็ทำร้ายทุบตีเอย แล้วยังขู่ไม่ให้เอยไปยุ่งกับลูกอีก”
“ลูกเอยเป็นผู้หญิงใช่มั้ย”
“อื้อ” อันนาเลือกที่จะไม่โกหกเรื่องนี้เพราะรู้ว่าอลีนาคงไม่เชื่อ เนื่องจากภาพของเด็กผู้หญิงคนนั้นยังติดตาตรึงใจเธออยู่ โกหกไปเดี๋ยวก็ถูกคาดคั้นเอาความจริงจนได้
“เกิดเรื่องขนาดนี้ทำไมเอยไม่บอกคนที่บ้านเลย” เพราะน้ำตาที่ไหลออกมาไม่ขาดสายทำให้อลีนาหลงเชื่อทุกคำพูดของน้องสาวอย่างสนิทใจ
“เอยไม่อยากให้พ่อกับแม่เสียใจ แล้วก็ไม่อยากให้เอิงผิดหวังในตัวเอยด้วย” อันนาร้องไห้น้ำตาไหลพรากราวกับสั่งได้ หากเป็นนักแสดง รับรองว่าเธอต้องกวาดรางวัลจากทุกสถาบันแน่นอน
“ไม่เป็นไรนะเอย เรื่องมันผ่านไปแล้ว” อลีนาบีบมือปลอบใจน้องสาว ถึงแม้จะทะเลาะกันเป็นประจำ แต่ลึกๆ แล้วทั้งคู่ก็รักกันมาก “ตอนนี้เอยแค่บอกเอิงมาว่าพ่อเด็กเป็นใคร บ้านอยู่ที่ไหน”
“เขาชื่อ เปรมอนันต์ นรเศรษฐ์ธาดา” อันนายอมบอกชื่อและนามสกุลจริง เพราะคิดว่าเปรมอนันต์ตายแล้ว อีกอย่าง เธอก็คิดว่าเขาเป็นแค่นักศึกษาทุนฐานะปานกลาง คงไม่มีข้อมูลให้เซิร์ชหาตามอินเทอร์เน็ตทั่วไป ยากที่อลีนาจะตามหาเจอ
เมื่อได้ข้อมูลที่ต้องการแล้ว อลีนาก็วิ่งกลับห้องตัวเอง หญิงสาวคว้าคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กมาเปิดแล้วเข้ากูเกิลเซิร์ชหาชื่อ ‘เปรมอนันต์ นรเศรษฐ์ธาดา’ แต่รูปภาพที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอเกือบทั้งหมดกลับเป็นรูปของชายหนุ่มอีกคนที่มีนามสกุลเดียวกัน
‘คิรากร นรเศรษฐ์ธาดา’ ผู้ชายที่แสดงตัวว่าเป็นพ่อของเด็กหญิงผู้น่าสงสารคนนั้น!
ตามประวัติที่ระบุไว้ในเว็บไซต์ คิรากรเป็นพี่ชายของเปรมอนันต์ อีกทั้งยังเป็นเจ้าของบริษัทค้าปลีกและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยอีกด้วย ศูนย์การค้าชั้นนำหลายแห่งใจกลางกรุงเทพมหานครก็เป็นของเขา และล่าสุดก็เพิ่งเปิดโครงการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชยกรรมแบบผสมริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่จะกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งใหม่ของกรุงเทพมหานคร ซึ่งโครงการนี้ใช้เงินลงทุนสูงที่สุดในประวัติศาสตร์การลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย
“โหย...รวยเว่อร์” อลีนาคลิกอ่านข่าวในแวดวงธุรกิจของตระกูล ‘นรเศรษฐ์ธาดา’ ไปเรื่อยๆ แต่ก็ไม่ได้ข้อมูลอะไรเกี่ยวกับเปรมอนันต์เลย มีแต่ข่าวของคิรากรเต็มไปหมด
นอกจากคิรากรจะได้ชื่อว่าเป็นเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ที่เขี้ยวลากดินแล้ว เขายังได้รับตำแหน่ง ‘Single Dad’ ที่เนื้อหอมที่สุดอีกด้วย มีหญิงสาวมากมายที่เข้าคิวรอขอเป็นแม่ให้ลูกสาวตัวน้อยของเขา
“คิรากรเป็นพ่อของเด็กคนนั้นเหรอ หรือว่าเด็กคนนั้นจะไม่ใช่ลูกเอย” หญิงสาวครุ่นคิดอย่างไม่แน่ใจ “แต่เขาก็เป็นพี่ชายของเปรมอนันต์ เขาอาจจะรับเลี้ยงลูกให้น้องชายก็ได้มั้ง”
อลีนาละมือจากแป้นคีย์บอร์ดแล้วเอื้อมไปหยิบกระดาษโน้ตกับปากกามาจดที่อยู่ทั้งที่บ้านและที่ทำงานของคิรากรเอาไว้เพื่อจะไปสืบต่อให้รู้แน่ชัดว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นใช่ลูกของน้องสาวเธอหรือไม่ ถ้าใช่ เธอคงปล่อยให้หลานสาวมีชีวิตอยู่อย่างว้าเหว่และโหยหาความรักจากแม่แบบนั้นต่อไปไม่ได้
คิรากรยกถ้วยไข่ตุ๋นนมสดทอปปิงด้วยกุ้งตัวโต ซึ่งเป็นของโปรดของไออุ่นที่เขาต้องลงมือทำด้วยตัวเองเกือบทุกเช้ามาวางไว้ที่โต๊ะอาหาร เป็นจังหวะเดียวกับที่พี่เลี้ยงวัยสี่สิบปีจูงเด็กหญิงในชุดนักเรียนชั้นอนุบาลเข้ามาพอดี ชายหนุ่มปลดผ้ากันเปื้อนสีน้ำตาลเข้มที่สวมทับอยู่บนเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวออกมาวางไว้ที่มุมโต๊ะ แล้วเดินไปอุ้มลูกสาวตัวน้อยมานั่งบนเก้าอี้สำหรับเด็กซึ่งเป็นที่นั่งประจำของเธอ
“พรุ่งนี้เปลี่ยนเมนูเป็นข้าวผัดแซมอนดีมั้ยคะ” คิรากรถามพลางหยิบแปรงหวีผมสีชมพูอันเล็กที่พี่เลี้ยงวางไว้ให้ก่อนจะหยิบขึ้นมาหวีผมให้ลูกสาวเพื่อเตรียมถักเปียให้เหมือนทุกเช้า
“ไม่เอาค่ะ ไออุ่นจะทานไข่ตุ๋น”
“ทานแต่ไข่ตุ๋นทุกวันเดี๋ยวก็เบื่อแย่”
“ไม่เบื่อค่ะ คุณพ่อทำอร่อย”
คนเป็นพ่อยิ้มพรายเมื่อเห็นลูกสาวชอบอาหารที่เขาทำให้ “ถ้าไออุ่นไม่เบื่อ คุณพ่อก็จะทำให้ทานทุกวันเลย”
“คุณพ่อขา...” เด็กหญิงเรียกเสียงอ่อยแล้วเงยหน้าขึ้นสบตากับคุณพ่อของเธอแวบหนึ่งเหมือนมีความลังเลใจอะไรบางอย่าง แล้วก้มหน้าลงมองชามไข่ตุ๋นตรงหน้าตามเดิม
“ว่าไงคะ” ชายหนุ่มขานรับน้ำเสียงอ่อนโยนพร้อมกับส่งยิ้มอบอุ่นให้เด็กน้อย ในขณะที่มือก็ยังคงสาละวนอยู่กับการถักเปีย เมื่อเสร็จข้างหนึ่งแล้วจึงย้ายไปถักอีกข้าง
“ไออุ่นอยากไปหาคุณแม่”
มือใหญ่ที่กำลังจะติดกิ๊บรูปตัวการ์ตูนที่หางเปียชะงักไปนิดหนึ่ง เขานึกว่าลูกจะลืมเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้แล้ว แต่เธอไม่ลืม “ไออุ่นไม่อยากอยู่กับคุณพ่อแล้วเหรอคะ” เขาแกล้งถามกลั้วหัวเราะ ทั้งที่ในใจเจ็บแปลบ
“ไออุ่นอยากให้คุณแม่ไปส่งที่โรงเรียนค่ะ”
“คุณพ่อก็ไปส่งหนูทุกวันแล้วไงคะ”
“ไออุ่นอยากให้คุณพ่อกับคุณแม่ไปด้วยกันเหมือนคุณพ่อคุณแม่ของน้ำหอม” เด็กหญิงบอกน้ำเสียงเศร้าสร้อย จริงอยู่ที่เพื่อนในโรงเรียนไม่ได้มีพ่อแม่ไปส่งพร้อมหน้ากันทุกคน แต่น้ำหอม ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของเธอมีพร้อม ที่สำคัญแม่ของน้ำหอมใจดีมากและเผื่อแผ่ความรักมาถึงเธอด้วย นั่นยิ่งทำให้ไออุ่นอยากมีแม่เป็นของตัวเอง
คิรากรติดกิ๊บที่หางเปียทั้งสองข้างให้ลูกสาวเสร็จแล้วจึงนั่งลงที่เก้าอี้ว่างข้างกันก่อนจะเฉไฉเปลี่ยนเรื่องคุย “รีบทานไข่ตุ๋นให้หมดเร็วเข้า เดี๋ยวไปโรงเรียนแล้วอดเล่นเครื่องเล่นในสนามเด็กเล่นกับน้ำหอมนะ”
เด็กหญิงตักไข่ตุ๋นเข้าปากได้สองคำก็วางช้อนแล้วหันมามองสบตากับคุณพ่อของเธอด้วยแววตาหม่นหมองอีกครั้ง “เมื่อคืนนี้ ทำไมคุณแม่ต้องหนีไออุ่นไปด้วย คุณแม่ไม่รักไออุ่นเหรอคะ”
ความสะเทือนใจพุ่งขึ้นมาจุกอกจนชายหนุ่มต้องบังคับเสียงตัวเองไม่ให้สั่น “ผู้หญิงที่ไออุ่นเจอเมื่อคืนนี้แค่หน้าเหมือนคุณแม่ แต่ไม่ใช่คุณแม่นะคะ”
ไออุ่นรับฟังด้วยสีหน้าผิดหวังอย่างรุนแรง แต่ก็ไม่ได้ร้องไห้งอแงเหมือนเมื่อคืน มีเพียงดวงตากลมใสเท่านั้นที่ฉายแววหม่นหมองออกมาอย่างเปิดเผย เพียงเท่านี้ก็ทำให้คนเป็นพ่อรู้แล้วว่าลูกสาวกำลังเจ็บปวดเสียใจมากแค่ไหน
ยิ่งคิดคิรากรก็ยิ่งโกรธผู้หญิงคนนั้น ผู้หญิงที่เป็นต้นเหตุให้น้องชายของเขาต้องตาย และตอนนี้เธอก็ได้ทำลายความสุขที่เคยมีของไออุ่นอีกคน ความสุขที่เขาพยายามเติมเต็มให้หลานกำพร้ามาตลอดสี่ปีเต็มถูกทำลายลงด้วยเวลาเพียงหนึ่งนาทีที่ผู้หญิงคนนั้นก้าวเข้ามา
คิรากรใช้เวลาหลอกล่อไออุ่นให้กินไข่ตุ๋น ขนมปังปิ้งครึ่งแผ่น และนมสดอีกหนึ่งแก้วอยู่นานเกือบครึ่งชั่วโมงกว่าจะหมด จากนั้นจึงเดินจูงมือกันมาขึ้นรถสปอร์ตหรูสีดำวาวที่คนขับรถนำมาจอดไว้ให้ที่หน้าตึก
ปกติชายหนุ่มจะขับรถด้วยตัวเองเป็นส่วนใหญ่เพื่อความคล่องตัวและเพื่อความเป็นส่วนตัว ยกเว้นเวลาที่ต้องพาไออุ่นไปโรงพยาบาลเท่านั้นที่จะต้องมีคนขับรถให้และต้องมีพี่เลี้ยงไปช่วยด้วย เพราะเด็กหญิงกลัวการไปหาหมอมาก ยิ่งถ้ารู้ว่าหมอจะฉีดยาหรือเจาะสายน้ำเกลือให้ เธอจะร้องไห้จนโรงพยาบาลแทบแตก เรียกได้ว่าลูกป่วยแต่ละครั้งนี่คืองานช้างสำหรับคนเป็นพ่อเลยทีเดียว เพราะเธอจะงอแง ไม่ยอมกินข้าว ไม่ยอมกินยาและร้องไห้หาแม่ตลอดเวลา และเหมือนสวรรค์กลั่นแกล้ง เพราะไออุ่นป่วยบ่อยมาก ต้องเข้าโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น ทั้งที่เขาดูแลประคบประหงมเป็นอย่างดี
ทันทีที่รถของคิรากรขับพ้นประตูรั้วอัลลอยบานใหญ่ออกมา อลีนาที่ซุ่มอยู่มุมหนึ่งก็รีบเก็บกล้องส่องทางไกลที่ใช้แอบส่องเข้าไปในบ้านเข้ากระเป๋าถือแล้ววิ่งขึ้นรถของตัวที่จอดแอบไว้หลังพุ่มไม้แล้วขับตามออกไป โดยทิ้งระยะห่างพอสมควรเพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัย แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาของคนช่างสังเกตอย่างคิรากรไปได้
ชายหนุ่มเริ่มแน่ใจว่าถูกสะกดรอยตามเมื่อมาถึงทางแยกก่อนถึงโรงเรียนของไออุ่นราวหนึ่งกิโลเมตรซึ่งไม่มีจุดให้กลับรถหนีจึงจำเป็นต้องขับต่อไปให้เร็วที่สุด เพื่อส่งไออุ่นเข้าโรงเรียนอย่างปลอดภัย เนื่องจากเขาไม่รู้ว่าคนที่สะกดรอยตามมาจะเป็นศัตรูทางธุรกิจหรือฝ่ายไหนกันแน่
คิรากรจอดรถที่หน้าโรงเรียนแล้วอุ้มไออุ่นเข้าไปส่งในโรงเรียนอย่างรวดเร็ว อลีนาอยากตามเข้าไป แต่ติดที่ว่าคนที่จะเข้าไปส่งเด็กในโรงเรียนได้ต้องเป็นผู้ที่มีบัตรผู้ปกครอง ซึ่งทางโรงเรียนเป็นผู้ออกให้เท่านั้น จึงทำได้แค่เฝ้าสังเกตการณ์อยู่ด้านนอก แต่เท่าที่เธอเฝ้าติดตามมาตั้งแต่เช้า ก็พอเดาได้ว่าคิรากรรักและดูแลหลานสาวของเธอเป็นอย่างดี
คิรากรส่งไออุ่นจนถึงมือครูประจำชั้น ก่อนกลับเขาได้กำชับกับครูให้ช่วยดูแลไออุ่นเป็นพิเศษ ซึ่งระบบการรักษาความปลอดภัยของโรงเรียนนานาชาติแห่งนี้ก็แน่นหนาพอที่เขาจะวางใจฝากลูกสาวเอาไว้ในวันที่สถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจ อีกทั้งเขาคิดว่าคนที่สะกดรอยตามมาน่าจะมีเป้าหมายที่เขา ไม่ใช่ไออุ่น การที่ไออุ่นอยู่ห่างจากเขาน่าจะปลอดภัยกว่า
“เลิกเรียนแล้วคุณพ่อจะมารับเหมือนเดิมนะคะ” ชายหนุ่มรูปร่างสูงในชุดสูทเนี้ยบกริบสีเทาเข้มย่อตัวลงหอมแก้มลูกสาวเพื่อบอกลาเหมือนที่เคยทำทุกวัน แต่แล้วก็สัมผัสได้ว่าแก้มของเด็กหญิงร้อนผ่าว อีกทั้งริมฝีปากเล็กจิ้มลิ้มก็แห้งผากและแดงจัดเหมือนจะมีไข้ แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไร ไออุ่นก็หันไปเห็นน้ำหอมที่กวักมือเรียกให้ไปเล่นด้วยกันเสียก่อน เด็กหญิงรีบวิ่งไปหาเพื่อนสนิทด้วยท่าทีร่าเริง เมื่อเห็นลูกสาวยิ้มได้คิรากรจึงวางใจในระดับหนึ่ง
“ผมฝากดูไออุ่นด้วยนะครับ แกตัวรุมๆ เหมือนจะไม่สบาย” คิรากรบอกกับครูประจำชั้นชาวต่างชาติของไออุ่นเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกันคล่องปรื๋อแล้วเดินออกมา
ชายหนุ่มกลับมาที่รถของตัวเองที่จอดอยู่หน้าโรงเรียน ระหว่างนั้นเขายังรู้สึกเหมือนถูกสะกดรอยตามอยู่ จึงแกล้งเดินไปที่มุมถนนแล้วเลี้ยวเข้าซอยเล็กๆ ที่อยู่ห่างโรงเรียนออกไปสองช่วงตึกซึ่งเป็นซอยตันและปลอดคน หากเกิดการต่อสู้หรือมีอะไรรุนแรงเกิดขึ้นจะไม่ส่งผลกระทบถึงความปลอดภัยของเด็กนักเรียนจำนวนมากที่กำลังทยอยเดินเข้าโรงเรียนแน่นอน
อลีนาแอบตามคิรากรไปด้วยความสงสัยว่าเขาจะเข้าไปทำอะไรในซอยนั้น โดยไม่เฉลียวใจเลยว่ากำลังถูกล่อเข้ามุมอับเพื่อปิดประตูตีแมว หญิงสาวเดินเข้ามาถึงกลางซอยแล้วก็ต้องแปลกใจ เพราะไม่เห็นแม้แต่เงาของคิรากร เธอหันซ้ายหันขวากวาดตามองไปรอบๆ ก็ไม่เห็น ยิ่งพบว่าซอยนี้เป็นซอยตันก็ยิ่งแปลกใจ และทันใดนั้น เสียงห้าวทุ้มของคนที่เธอกำลังมองหาก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง
“ตามผมมาทำไม”
อลีนาสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันมามองเจ้าของเสียงที่ยืนหรี่ตามองเธออย่างเอาเรื่อง สายตาที่เขามองมา มันไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย
“ใครบอกว่าฉันตามคุณมา” เธอปฏิเสธหน้าตายแล้วจะเดินหนีออกจากซอยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ถูกเขาคว้าหมับเข้าที่ต้นแขน “ปล่อยฉัน ไม่งั้นฉันจะตะโกนเรียกให้คนช่วย”
“เอาสิ...ผมจะได้จับคุณส่งตำรวจ”
“ข้อหาอะไรไม่ทราบ” หญิงสาวลอยหน้าถาม เพราะแน่ใจว่าเขาไม่มีหลักฐานเอาผิดเธอได้
“สะกดรอยตาม และคุณก็อาจจะเป็นตัวอันตรายสำหรับผมกับลูก” เมื่อเห็นอลีนาทำท่าจะเถียง คิรากรก็รีบพูดขัดขึ้น “ไม่ต้องห่วงเรื่องหลักฐาน หน้าบ้านผมมีกล้องวงจรปิด หน้าโรงเรียนก็มี CCTV ตามทางหลวงก็มี ถ้าเช็กดูตำรวจต้องรู้แน่ว่าคุณแอบตามผมมาตั้งแต่หน้าบ้าน”
“ฉันยอมรับก็ได้ว่าฉันแอบตามมาคุณมา” เมื่อหมดทางแถ ก็มีทางเดียวคือต้องรับสารภาพ และอีกอย่างเธอก็ไม่ได้ตั้งใจจะมาทะเลาะกับเขา เธอแค่อยากมาดูความเป็นอยู่ของหลานสาว
“คุณต้องการอะไร” คิรากรยอมปล่อยมือเมื่อเห็นว่าหญิงสาวไม่คิดหนีแล้ว
“ฉันแค่อยากมาดูว่าไออุ่นเป็นยังไงบ้าง” เธอรู้ชื่อหลานเพราะเมื่อคืนนี้ได้ยินคิรากรเรียก
“อย่ามายุ่งกับลูกสาวผม” ชายหนุ่มบอกด้วยน้ำเสียงกดต่ำน่ากลัว
“ไออุ่นไม่ใช่ลูกคุณ” หญิงสาวแย้งทันทีเพราะต้องการหลอกล่อเอาข้อมูลที่ต้องการ “ฉันเช็กประวัติคุณมาแล้ว คุณไม่เคยแต่งงาน ไม่เคยมีลูก ไออุ่นน่าจะเป็นลูกของน้องชายคุณ และคุณก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจว่าฉันเป็นใคร ระหว่างคุณกับฉัน ใครกันแน่ที่มีสิทธิ์ในตัวไออุ่นมากกว่ากัน”
คิรากรจ้องหน้าหญิงสาวตรงหน้าตาแข็ง สันกรามบดเข้าหากันแน่นอย่างโกรธจัด แน่นอนว่าเขารู้ว่าเธอคือแม่ของไออุ่น เพราะหน้าตาเธอแทบไม่ต่างจากในรูปที่เขามีอยู่เลย “ผมเลี้ยงไออุ่นมาด้วยตัวคนเดียวตั้งแต่แกอายุยังไม่ถึงเดือน ถึงจะเป็นแค่หลาน แต่ผมก็รักเหมือนลูก ผมไม่มีวันยอมให้แม่แบบคุณเข้าใกล้แก”
อลีนาแอบยิ้ม เขาคงคิดว่าเธอเป็นอันนาจริงๆ “เมื่อคืนคุณก็เห็นแล้วว่าไออุ่นต้องการแม่มากแค่ไหน คุณจะมากีดกันไม่ให้แม่ลูกเจอกันไม่ได้”
“คุณยังกล้าเรียกตัวเองว่าแม่อีกเหรอ!” เขาต่อว่าดุดัน “คุณทิ้งลูก ทิ้งสามีไปอย่างเลือดเย็น ผู้หญิงอย่างคุณไม่สมควรเป็นแม่หรือเป็นเมียใครทั้งนั้น!”
เมื่อถูกตะโกนใส่หน้า อลีนาก็มีอารมณ์ขึ้นมาเหมือนกัน “ถ้าน้องชายคุณไม่นิสัยแย่ ทำร้ายลูกเมียก่อน ใครจะทิ้ง”
“อย่าโยนบาปให้คนตาย” คิรากรขบกรามแน่นอย่างโกรธจัด
“เดี๋ยวนะ…เมื่อกี้คุณพูดว่า ‘ตาย’ เหรอ” อลีนาอึ้ง
“ไม่ต้องมาตีหน้าซื่อ” ชายหนุ่มแค่นยิ้มด้วยความขมขื่น “เปรมถูกแฟนใหม่ของคุณยิงตายที่นิวยอร์กเพราะไปตามคุณกลับมาหาลูก อย่าคิดว่าทำอะไรไว้ที่โน่นแล้วคนที่นี่จะไม่รู้”
อลีนาทั้งอึ้งทั้งงงไปหมด นี่อันนาโกหกเธออีกแล้วเหรอ!
แต่ก่อนที่หญิงสาวจะได้ถามซักถามอะไรเพื่อความกระจ่าง ครูประจำชั้นของไออุ่นก็โทร. มาบอกคิรากรว่าไออุ่นอาเจียนและมีไข้ ให้รีบมาพาไปโรงพยาบาล
“ฝากคุณครูช่วยดูไออุ่นไว้ก่อนนะครับ ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้”
“ไออุ่นเป็นอะไร” อลีนารีบถามร้อนรนเมื่อคิรากรกดวางสาย
“ไออุ่นไม่สบาย ผมต้องรีบพาแกไปหาหมอ” พูดจบเขาก็วิ่งออกไปโดยไม่สนใจว่ากำลังคุยเรื่องอะไรค้างอยู่
“ฉันไปด้วย”
“ไม่ต้อง” ชายหนุ่มหยุดวิ่งกะทันหันแล้วหันกลับมาห้ามเสียงดุ ทำให้คนที่วิ่งตามหลังมาพุ่งเข้าชนแผงอกกว้างอย่างจัง ถ้าเขาไม่ตวัดวงแขนโอบรอบเอวบางไว้ เธอคงร่วงลงไปกองกับพื้นแล้ว
“ปล่อยฉัน” หญิงสาวดันตัวเองออกจากการถูกโอบกอดอย่างเก้อเขิน นับเป็นครั้งแรกที่เธอได้แนบกายอย่างสนิทชิดเชื้อกับผู้ชายขนาดนี้
“ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้น ผมแค่ช่วยไม่ให้คุณล้ม ไม่ได้อยากกอดคุณ”
“ฉันทำหน้ายังไง” อลีนาตีหน้าขรึมเพื่อกลบเกลื่อนความเขินอาย แต่ดูเหมือนว่าแก้มทั้งสองข้างของเธอจะไม่ให้ความร่วมมือ เพราะมันร้อนวูบวาบไปหมด และเธอก็แน่ใจว่าตอนนี้มันต้องแดงจัดฟ้องความรู้สึกที่พยายามเก็บซ่อนไว้ในใจหมดแล้วแน่นอน
“ผู้หญิงแบบคุณไม่ใช่ไทป์ผม ไม่ต้องเขิน” คิรากรกัดฟันบอกทั้งที่ตัวเองก็แอบใจสั่นหวั่นไหวกับสัมผัสใกล้ชิดเมื่อครู่นี้เช่นกัน ก็ร่างกายเธอทั้งนุ่มนิ่มและหอมกรุ่น เป็นกลิ่นหอมละมุนชวนให้ชื่นใจ ไม่เหมือนกลิ่นน้ำหอมฉุนๆ ที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ที่เขารู้จักใช้กัน
“แล้วผมก็ไม่มีทางคิดอะไรกับผู้หญิงของน้องชายตัวเองเด็ดขาด” เขาบอกหนักแน่นราวกับต้องการย้ำกับตัวเองให้หยุดรู้สึกร้อนวูบวาบกับผู้หญิงที่ไม่ควรรู้สึกด้วยเดี๋ยวนี้
“ฉันก็ไม่สนใจคุณเหมือนกัน ฉันสนใจแค่ไออุ่นคนเดียว” เธอตอกกลับให้เท่าเทียมกับที่เขาหยามเธอ “อย่ามัวแต่ว่าฉันอยู่เลย รีบไปดูไออุ่นกันดีกว่า”
“เพราะคุณนั่นแหละที่ทำให้ผมเสียเวลา” คิรากรต่อว่าเสียงเข้มแล้วรีบก้าวเร็วๆ จนเกือบจะกลายเป็นวิ่งนำหน้าออกไป
“ดุมว้ากค่ะ คุณลุงขา...” อลีนาบ่นเสียงเบาขณะรีบวิ่งตามไป เธอไม่คิดว่าเขาจะได้ยิน แต่เขากลับเหลียวหลังมาขึงตาใส่อย่างไม่พอใจ ถ้าไม่ติดว่ากำลังเป็นห่วงไออุ่นอยู่ เธอมั่นใจว่าเขาต้องวิ่งกลับมาจับเธอหักคอแน่