บทที่ 1 -แม่ของลูก

4241 Words
“แฮปปีเบิร์ธเดย์ค่ะคุณย่า ขอให้คุณย่ามีความสุขมากๆ สุขภาพแข็งแรง เป็นสาวสวยสองพันปีแบบนี้ตลอดไปนะคะ” เด็กหญิงตัวน้อยวัยสี่ขวบอวยพรเสียงดังเจื้อยแจ้ว โดยมีคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยววัยสามสิบตอนต้นที่ทั้งหล่อและสมาร์ตคอยกระซิบอยู่ข้างหู               ความน่ารักของสองพ่อลูกเรียกเสียงหัวเราะและรอยยิ้มจากแขกเหรื่อที่มาร่วมงานแซยิดของศรียุดาในคืนนี้ได้เป็นอย่างดี ซึ่งแขกส่วนใหญ่ก็เป็นบรรดาญาติในสายตระกูลและเพื่อนสนิทของเจ้าภาพ               “น่าเอ็นดูจริงๆ ไออุ่นหลานย่า” ผู้สูงวัยประคองแก้มของหลานสาวตัวน้อยไว้ด้วยมือทั้งสองข้างแล้วโน้มตัวลงหอมแก้มยุ้ยของเด็กน้อยดังฟอด “ยิ่งเห็นหนู ย่าก็ยิ่งคิดถึงคุณพ่อของหนู”               เด็กหญิงที่นั่งอยู่บนตักคุณพ่อได้ยินแล้วขมวดคิ้วมุ่นด้วยความไม่เข้าใจ “คุณพ่อก็นั่งอยู่ตรงนี้ไงคะ ทำไมคุณย่าต้องคิดถึงคุณพ่อด้วย คุณพ่อไม่ได้หายตัวไปไหนสักหน่อย”               ศรียุดารู้ตัวว่าเผลอพูดเรื่องที่ไม่ควรให้หลานสาวรับรู้ออกไปก็ฝืนยิ้มกลบเกลื่อนความเศร้าที่เอ่อล้นอยู่เต็มอก แต่ยังไม่ทันได้แก้ต่างอะไร ไออุ่นก็พูดขึ้นมาอีกครั้งด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย               “คุณพ่ออยู่กับไออุ่น แต่คุณแม่หายตัวไป ไออุ่นอยากให้คุณแม่กลับมาหา”               คิรากรกระชับวงแขนกอดร่างเล็กบนตักด้วยความสงสารจับใจพลางพูดปลอบเหมือนทุกครั้งที่เธอร้องไห้หาแม่ว่า “คุณแม่ทำงานอยู่ไกลมาก เลยยังมาหาไออุ่นตอนนี้ไม่ได้”               “แล้วเมื่อไหร่คุณแม่จะมาได้คะคุณพ่อขา”               “อีกไม่นานคุณแม่ก็กลับมาค่ะ” คุณพ่อวัยหนุ่มบอกด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล               “คุณพ่อพูดแบบนี้ตลอด แต่คุณแม่ก็ไม่เห็นกลับมาสักที” เด็กหญิงทำจมูกย่นใส่คุณพ่อของเธออย่างแสนงอน “ไออุ่นไม่เชื่อคุณพ่อแล้ว” ทุกวันนี้ไออุ่นได้แต่กอดรูปแม่ที่มีอยู่เพียงใบเดียวก่อนนอนทุกคืน ตอนที่เธอยังแบเบาะ เรื่องการไม่มีแม่ไม่เป็นปัญหาเท่าไร แต่พอเข้าโรงเรียนและได้เห็นเพื่อนๆ มีทั้งพ่อและแม่มารับส่งเด็กหญิงจึงรู้สึกว่าตัวเอง ‘ขาด’ ใจจริงคิรากรไม่อยากเอารูปของผู้หญิงที่เขาจงเกลียดจงชังให้ลูกดูเลย แต่เพราะครั้งหนึ่งตอนที่ไออุ่นอายุสามขวบ เธอเป็นไข้หนักมากและร้องไห้จะหาแม่ทั้งคืน ปลอบยังไงก็ไม่หยุด เขาจึงจำเป็นต้องเอารูปของ ‘ผู้หญิงคนนั้น’ ที่เก็บซุกไว้ในกล่องเก็บของออกมาให้ลูกสาวดู เมื่อเห็นหน้าแม่ แม้จะเป็นเพียงแค่รูปถ่าย แต่เด็กหญิงก็หยุดร้องไห้ทันทีราวกดปุ่มปิดสวิตช์ นับตั้งแต่วันนั้น ไออุ่นก็รบเร้าให้เขาตามแม่กลับมาหาทุกวัน               “แล้วคุณพ่อจะโทร. ไปบอกให้คุณแม่รีบกลับมาหาไออุ่นนะคะ”               “สัญญานะคะ” เด็กหญิงยื่นนิ้วก้อยเล็กป้อมมาเกี่ยวก้อยสัญญากับคุณพ่อด้วยรอยยิ้มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังว่าครั้งนี้คุณแม่จะกลับมาหาเธอจริงๆ สักที               “สัญญาค่ะ” รับปากออกไปแล้วก็นึกสะท้อนใจกับคำสัญญาลมๆ แล้งๆ ที่ใช้ปลอบใจลูกสาวไปวันๆ ความจริงการตามหาผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่เพราะเขาไม่อยากให้ไออุ่นรู้จักแม่ใจร้ายที่ทิ้งลูกไปตั้งแต่ยังแบเบาะจึงไม่ยอมออกตามหา “ไออุ่นอยู่กับคุณย่าก่อนนะคะ คุณพ่อขอไปห้องน้ำแป๊บนึง แล้วเดี๋ยวเรากลับบ้านกัน ดึกมากแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้หนูตื่นไปโรงเรียนไม่ไหว”               “ค่า...” เด็กหญิงตอบรับเสียงใสพร้อมกับร่างเล็กป้อมของเธอถูกอุ้มออกจากตักคุณพ่อแล้ววางลงที่เก้าอี้ว่างข้างตัวคุณย่า               คิรากรเดินตรงไปยังประตูห้องจัดเลี้ยงในโรงแรมหรูเพื่อจะไปห้องน้ำซึ่งอยู่ด้านนอก แต่ยังเดินออกไปไม่พ้นประตู แพรวพราวที่มาร่วมอวยพรวันเกิดของศรียุดาในฐานะลูกสาวของเพื่อนสนิทเจ้าภาพ ก็เดินเข้ามาดักหน้าราวกับรอจังหวะนี้อยู่นานแล้ว               “คุณกระเตงไออุ่นไปด้วยทุกที่จนคนคิดว่าแกเป็นลูกคุณจริงๆ กันหมดแล้วนะคะ”               “ไออุ่นเป็นลูกสาวผม” เขาตอบด้วยน้ำเสียงทุ้มหนักแน่นแฝงความไม่พอใจอยู่ในทีที่ถูกใส่หน้าด้วยท่าทีประชดประชันแบบนั้น               “คุณก็รู้อยู่แก่ใจว่า ‘ไม่ใช่’ ไออุ่นเป็นลูกของน้องชายที่ตายไปแล้วของคุณ ส่วนแม่ก็อาจจะเป็นแค่ผู้หญิงรักสนุกไร้ความรับผิดชอบคนนึง ที่พอคลอดลูกแล้วก็ชิ่งหนีไปสนุกกับผู้ชายอื่นต่อ”               “คุณจะรื้อฟื้นเรื่องนี้ขึ้นมาทำไม” คิรากรกัดฟันพูดเสียงเบา กลัวไออุ่นมาได้ยิน               “เพื่อให้คุณรู้ตัวว่าคุณกำลังให้ความสำคัญกับไออุ่นจนลืมใช้ชีวิตของตัวเอง ถ้าไม่มีเด็กนั่นสักคน ป่านนี้เราสองคนก็อาจจะแต่งงานกันไปแล้ว” จะเรียกว่าแค้นฝังหุ่นก็ได้ เพราะความสัมพันธ์ของเธอกับคิรากรต้องสะดุดลงแบบหัวทิ่มเมื่อเขารับหลานสาวกำพร้ามาเลี้ยงเมื่อสี่ปีก่อน               “ผมจะใช้ชีวิตยังไงมันก็เรื่องของผม” ชายหนุ่มพยายามระงับอารมณ์ที่กำลังกรุ่นโกรธอย่างเต็มที่ เขาไม่ชอบใจที่แพรวพราวโทษว่าเป็นความผิดของเด็กทั้งที่ความจริงความสัมพันธ์ของเขาและเธอในตอนนั้นไม่ได้มีอะไรลึกซึ้งเลย มันเพิ่งเริ่มต้นจากการแนะนำของผู้ใหญ่เท่านั้น ต่อให้ไม่มีไออุ่นก็ไปกันไม่รอดแน่นอน เพราะออกเดตกันแค่ครั้งเดียว คิรากรก็รู้แล้วว่าไลฟ์สไตล์ไม่ตรงกัน อีกทั้งทัศนคติบางอย่างของหญิงสาวก็เป็นขั้วลบเกินกว่าที่เขาจะรับได้               “แต่ที่คุณพูดก็ถูก ตอนนี้ผมโฟกัสที่เรื่องของไออุ่นเรื่องเดียวเท่านั้น”               “คุณคิดจะเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยว เลี้ยงเด็กที่ไม่ใช่ลูกของตัวเองคนเดียวไปจนแก่เลยหรือไงคะ”               “ผมก็ไม่ได้คิดจะเป็นโสดไปจนแก่ตายหรอก” เขาแค่นยิ้ม “แต่ถ้าผมจะแต่งงานกับใครสักคน ก็ต้องเป็นคนที่เข้ากับไออุ่นได้ดี ที่สำคัญ ผู้หญิงคนนั้นต้องรักไออุ่นมากเท่าที่ผมรักด้วย”               “พนันได้เลยว่าคุณไม่มีวันเจอผู้หญิงแบบนั้น”               “ถ้างั้นผมก็อยู่กับลูกแค่สองคนได้”               แพรวพราวแทบอยากกรีดร้อง หลายครั้งที่เธอพยายามเข้าหาเขา แต่ก็ถูกปิดประตูใส่หน้าทุกครั้ง แต่กระนั้นเธอก็ยังไม่ยอมแพ้ เธอต้องลบคำสบประมาทของบรรดาเพื่อนฝูงในแวดวงไฮโซที่จิกกัดเธอไม่เลิกว่าโดนคิรากรเชิดใส่ให้ได้                คิรากรกลับเข้ามาในห้องจัดเลี้ยงอีกครั้งก็พบว่าไออุ่นย้ายจากเก้าอี้ขึ้นไปนั่งหลับอยู่บนตักของศรียุดาเรียบร้อยแล้ว               “แบตหมดแล้วเหรอตัวแสบ เมื่อกี้ยังคุยจ้ออยู่เลย” คุณพ่อยังหนุ่มยกตัวลูกสาวที่หลับตาพริ้มน่ารักขึ้นมาอุ้ม “ผมขอพาไออุ่นกลับบ้านก่อนนะครับคุณแม่”               “ไปเถอะ ถ้าว่างก็พาหลานไปหาแม่ที่บ้านบ้าง” ศรียุดาแต่งงานใหม่กับนักธุรกิจรุ่นใหญ่เมื่อสิบปีก่อนหลังจากพ่อของคิรากรเสียชีวิตไปได้หลายปี และตอนนี้สนธยา สามีใหม่ของเธอก็กำลังทั้งร้องและเต้นเพลงดิสโกรำลึกความหลังสมัยยังหนุ่มอยู่บนเวทีอย่างสนุกสนานกับแขกเหรื่อที่มาร่วมงาน               “พูดเหมือนคุณแม่กับคุณลุงสนอยู่ติดบ้าน เดือนหน้าก็จะไปดูแสงเหนือที่ไอซ์แลนด์กันไม่ใช่เหรอครับ” ชายหนุ่มยิ้มพรายแล้วโน้มตัวลงหอมแก้มที่ยังตึงเปรี๊ยะเพราะเพิ่งไปร้อยไหมที่เกาหลีมาเมื่อเดือนก่อนของมารดา “แฮปปีเบิร์ทเดย์อีกครั้งนะครับคุณแม่ผู้ไม่ยอมแก่ของผม”               “หยาบคาย อย่ามาพูดคำว่าแก่กับแม่” ศรียุดามองค้อนแต่พองาม ก่อนจะพูดต่อด้วยสีหน้าจริงจังขึ้น “เมื่อกี้แม่เห็นคิมยืนคุยอยู่กับหนูแพรว”               “แค่ทักทายกันตามมารยาทครับ” ชายหนุ่มตอบเลี่ยง เพราะไม่อยากเล่ารายละเอียดของเรื่องที่คุยกัน ซึ่งเกี่ยวข้องกันเด็กหญิงตัวน้อยที่มีชะตากรรมน่าสงสาร               “หนูแพรวรอคิมมาหลายปีแล้วนะ คิมจะไม่ลองคิดเรื่องแต่งงานดูอีกทีเหรอ” ศรียุดาตะล่อมลูกชาย               “เลิกพยายามได้แล้วครับคุณแม่ ยังไงผมกับแพรวก็ไม่มีทางเข้ากันได้”               “ที่ไม่ยอมเปิดใจให้หนูแพรวสักทีเนี่ยเพราะคิมรักคนอื่นแล้วหรือเปล่า”               “ใช่ครับ ผมมีผู้หญิงที่ผมรักแล้ว” ชายหนุ่มตอบยิ้มๆ               “ใคร ไปแอบคบกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมแม่ไม่รู้” ศรียุดาตื่นเต้นดีใจ เธออยากให้ลูกชายผู้บ้างานคนนี้แต่งงานมานานแล้ว แต่งกับใครก็ได้ที่เขารัก ไม่จำเป็นต้องเป็นแพรวพราว เธอจะได้หมดห่วงเสียที               “เด็กผู้หญิงคนนี้ไงครับที่ผมรักที่สุด” คิรากรหอมแก้มเด็กที่หลับตาพริ้มอยู่ในอ้อมกอดอย่างแรงด้วยความมันเขี้ยวจนไรเคราครูดผิวบางใสจนเด็กน้อยจั๊กจี้               “ฮื่อ...คุณพ่อแกล้งไออุ่น” เด็กหญิงส่งเสียงอู้อี้พร้อมกับลืมตาขึ้นมาส่งยิ้มสดใสให้คุณพ่อ ไออุ่นเป็นเด็กเลี้ยงง่ายแบบนี้เสมอ เธอไม่ค่อยงอแงเหมือนเด็กวัยเดียวกันคนอื่นๆ มีเพียง ‘เรื่องแม่’ เรื่องเดียวเท่านั้นที่จะทำให้เธอร้องไห้อย่างหนักจนคนเป็นพ่อแทบปลอบไม่ไหว               “เล่นแรงจนลูกตื่นเลยเห็นมั้ย” หญิงสูงวัยแต่หน้าใสปิ๊งส่งสายตาตำหนิลูกชายตัวโตที่ชอบทำตัวราวกับเป็นเด็กชายซุกซนเวลาอยู่กับลูกสาวตัวน้อย “ดึกมากแล้ว รีบพาลูกกลับบ้านไปนอนได้แล้ว”               “ครับคุณแม่” ชายหนุ่มบอกให้ลูกสาวไหว้ลาคุณย่าแล้วอุ้มเจ้าตัวแสบเดินออกไปโดยเลี่ยงที่จะผ่านไปทางโต๊ะที่แพรวพราวนั่งอยู่กับครอบครัว เพราะไม่อยากให้ไออุ่นเห็นคู่ปรับต่างวัย อะไรที่ส่งผลกระทบทางด้านลบต่อจิตใจของลูก เขาจะไม่พาลูกเฉียดเข้าไปใกล้เด็ดขาด               คิรากรปล่อยลูกสาวตัวน้อยที่เพิ่งตื่นเต็มตาให้ลงเดินเมื่อก้าวออกจากลิฟต์บริเวณชั้นจอดรถ สองพ่อลูกเดินจูงมือกันมาตามปกติ แต่แล้วจู่ๆ เด็กหญิงก็ตะโกนเสียงดังลั่น               “คุณแม่ขา!!!” ไออุ่นสะบัดมือออกจากมือของคุณพ่อที่เกาะกุมอยู่แล้ววิ่งหน้าตั้งไปหาหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังเดินไปที่รถซึ่งจอดอยู่ในช่องถัดไป               “ไออุ่นระวังรถ!!!” คิรากรใจหายวาบเมื่อเห็นลูกสาววิ่งตัดหน้ารถที่แล่นออกจากโค้งมุมเสาด้วยความเร็วทั้งที่เป็นลานจอดรถ แต่โชคดีที่คนขับรถเบรกทัน เขารีบค้อมศีรษะขอโทษคนขับรถแล้วรีบวิ่งตามลูกไป               “คุณแม่ขา ไออุ่นคิดถึงคุณแม่ที่สุดในโลกเลย” เด็กหญิงวิ่งเข้ามากอดเอวของผู้หญิงที่เธอคิดว่าเป็นแม่ไว้แน่นพลางร้องไห้โฮด้วยความดีใจ “ไออุ่นอยากกอดคุณแม่”               “ฉันไม่ใช่แม่ของหนูนะ” อลีนาย่อตัวลงแล้วจับร่างเล็กให้ถอยห่างออกจากตัวนิดหนึ่ง เมื่อเห็นใบหน้าเปื้อนน้ำตาของเด็กน้อยชัดๆ หญิงสาวก็รู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด โดยเฉพาะเค้าโครงหน้าและแววตา เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อนแต่นึกไม่ออก               “ใช่ค่ะ ไออุ่นจำคุณแม่ได้ คุณแม่หน้าเหมือนในรูปเปี๊ยบเลย”               “ไม่ใช่นะคะ” อลีนาย้ำด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเพื่อไม่ให้เด็กตกใจกลัว “หนูมากับใครคะ คุณพ่อคุณแม่อยู่ที่ไหน” ถามแล้วก็เห็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามายกตัวหนูน้อยขึ้นอุ้ม               “ไออุ่นวิ่งมาทำไมลูก คุณพ่อตกใจหมดเลย” คิรากรกอดลูกสาวไว้แน่น ถ้าเมื่อครู่นี้เธอถูกรถชนหรือแค่หกล้มหัวเข่าถลอก เขาคงโกรธตัวเองมากที่ดูแลลูกไม่ดี               “ไออุ่นมาหาคุณแม่ค่ะ”               ชายหนุ่มมองตามปลายนิ้วเล็กป้อมที่ชี้ไปยังหญิงสาวที่ยืนอยู่ห่างกันไม่ถึงสองก้าวแล้วก็ต้องชะงัก               ผู้หญิงคนนี้หน้าเหมือนแม่ของไออุ่นมาก!               “คุณคือ...” คิรากรพูดยังไม่ทันจบประโยค เสียงหนักแน่นกดต่ำของผู้ชายคนหนึ่งก็ดังแทรกเข้ามา               “มีปัญหาอะไรหรือเปล่าเอิง” ศิวภัทรเดินเข้ามาโอบไหล่อลีนาอย่างปกป้องพลางจ้องหน้าคิรากรอย่างไม่ไว้วางใจ               “ไม่มีอะไรค่ะพี่พอล เด็กแค่เข้าใจผิดคิดว่าเอิงเป็นแม่”               “ถ้าไม่มีอะไรก็ไปกันเถอะ ดึกแล้วเดี๋ยวที่บ้านเป็นห่วง” ศิวภัทรเลื่อนมือที่โอบไหล่ของหญิงสาวลงมาที่หลังเอวแล้วดันตัวเธอพาเดินไปขึ้นรถ               “คุณแม่อย่าทิ้งไออุ่นไป ไออุ่นคิดถึงคุณแม่ ไออุ่นอยากกอดคุณแม่ คุณแม่ขาอย่าทิ้งไออุ่น”               เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสารของเด็กหญิงทำให้อลีนาที่เดินห่างออกไปไกลแล้วอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมอง แต่แล้วสายตาคมกริบของคิรากรที่จ้องสวนกลับมาราวกับเกลียดชังเธอนักหนาก็ทำให้หญิงสาวต้องรีบหันหน้ากลับไปทันที               “ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่คุณแม่ของหนูนะไออุ่น” คิรากรบอกลูกสาวทั้งที่ในใจคิดว่าน่าจะใช่ เพราะใบหน้าของเธอแทบไม่มีอะไรแตกต่างจากแม่ของไออุ่นที่เขาเห็นในรูปถ่ายเลย แต่จะมีประโยชน์อะไรที่จะบอกลูก ในเมื่อผู้หญิงคนนั้นก็ดูเหมือนจะมีผู้ชายคนใหม่แล้ว และไม่แน่ว่าเธออาจจะมีลูกใหม่แล้วด้วยก็ได้               “คุณแม่ขา อย่าทิ้งไออุ่นไป” ไออุ่นมองตามท้ายรถของอลีนาที่แล่นผ่านหน้าไปทั้งน้ำตา               เสียงร้องไห้ของลูกสาวกรีดหัวใจคนเป็นพ่อให้เจ็บปวดอย่างถึงที่สุด และนั่นก็ยิ่งทำให้เขาเกลียดผู้หญิงใจดำที่ทิ้งลูกอายุไม่ถึงเดือนไว้กับศพพ่อที่นิวยอร์กคนนั้นมากขึ้นร้อยเท่าพันเท่า อลีนานั่งเงียบมาในรถตลอดทางตั้งแต่ออกจากโรงแรมจนเกือบถึงบ้าน               “เหนื่อยเหรอเอิง” ศิวภัทรที่กำลังขับรถถามด้วยความเกรงใจ เขารับเธอมาจากออฟฟิศหลังจากที่เธอเพิ่งเลิกประชุมอันยาวนานตั้งแต่บ่ายสองโมงถึงสองทุ่มครึ่งเพื่อมาดูห้องจัดเลี้ยงสำหรับงานแต่งงานของเขากับ ‘อันนา’ น้องสาวฝาแฝดของเธอ ตอนแรกเขานัดอันนาเอาไว้ แต่พอใกล้ถึงเวลานัด ว่าที่เจ้าสาวของเขาก็โทร. มาบอกว่าติดธุระด่วนมาไม่ได้ให้เขาไปรับอลีนามาช่วยดูสถานที่แทน               “เปล่าค่ะ”               “แล้วเป็นอะไร นั่งเงียบไม่พูดไม่จา” ชายหนุ่มหันมามองใบหน้าสวยหวานของคนข้างตัวด้วยความเป็นห่วงและแอบคิดไม่ซื่อว่าถ้าเปลี่ยนตัวเจ้าสาวจากอันนาเป็นอลีนาได้ก็คงดี               “เอิงคิดถึงเด็กผู้หญิงคนเมื่อกี้ แกร้องไห้น่าสงสารมาก ไม่รู้ว่าแม่แกไปไหนนะคะ”               “แต่แปลกนะที่เด็กจำหน้าแม่ตัวเองไม่ได้หรือไม่แม่แกก็คงหน้าเหมือนเอิงมาก” ศิวภัทรพูดแบบไม่ใส่ใจอะไรขณะเลี้ยวรถเข้าซุ้มหน้าหมู่บ้านของอลีนา               “เอิงคุ้นหน้าแกมาก หน้าเหมือนใครสักคนที่เคยรู้จัก แต่นึกไม่ออก”               “หน้าเหมือนเอิงไง โดยเฉพาะดวงตากลมโตใสแป๋ว ถ้าบอกว่าเป็นลูกเอิงพี่ก็เชื่อ” ศิวภัทรไม่ได้พูดเล่น เขารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ               “จะบ้าเหรอพี่พอล เอิงจะไปแอบมีลูกตอนไหน” ถ้าเป็นน้องสาวฝาแฝดของเธอก็ไม่แน่ เพราะรายนั้นพอเรียนจบมัธยมปลายก็ขอพ่อกับแม่ไปเรียนต่อที่อเมริกา ทั้งที่ฐานะทางบ้านก็เป็นแค่ชนชั้นกลางธรรมดา แต่พ่อกับแม่ก็กัดฟันหาเงินส่งลูกสาวสุดที่รักไปเรียนเมืองนอกจนได้ และด้วยนิสัยรักสนุกถึงขั้นเรียกได้ว่าเป็น ‘ปาร์ตีเกิร์ล’ ของอันนา ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจหากเธอจะแอบมีลูกตอนที่เรียนอยู่ต่างประเทศ               ศิวภัทรขับรถมาจอดส่งอลีนาที่หน้าบ้าน เขาขอบคุณเธอที่ไปช่วยดูสถานที่และบอกจะเอาของชำร่วยงานแต่งงานมาให้ช่วยเลือก เพราะระยะหลังอันนาไม่สนใจเรื่องงานแต่งงานเลย อ้างว่ายุ่งตลอดทั้งที่เพิ่งลาออกจากงานเมื่อสองเดือนที่แล้ว หลังจากรถของศิวภัทรขับออกไปไม่ถึงครึ่งนาที รถสปอร์ตหรูป้ายแดงที่ไม่คุ้นตาคันหนึ่งก็แล่นเข้ามาจอดแทนที่ทำให้อลีนาที่กำลังจะปิดประตูบ้านต้องหยุดมองด้วยความแปลกใจ เธอเห็นอันนาลงจากรถคันนั้นแล้วเดินอ้อมมาเคาะกระจกรถด้านคนขับให้ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ในรถลดกระจกลงแล้วยื่นหน้าเข้าไปจูบที่แก้มของเขาเพื่อบอกลา ทั้งคู่พูดคุยหัวร่อต่อกระซิกกันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ชายคนนั้นจะขับรถออกไป “ผู้ชายคนเมื่อกี้เป็นใครเอย!” อลีนาถามเสียงแข็งเมื่ออันนาเดินตรงมาที่ประตูบ้านด้วยท่าทีมีความสุขมาก “เอิงมายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่” อันนาไม่ได้สะทกสะท้านเลยสักนิดที่พี่สาวฝาแฝดของเธอเห็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม “เอิงถามว่าผู้ชายคนเมื่อกี้เป็นใคร” อลีนาย้ำเสียงแข็งขึ้นกว่าเดิม “เอยรู้ว่าเอิงฉลาดพอที่จะดูออกว่าอะไรเป็นอะไร” “เดือนหน้าก็จะแต่งงานอยู่แล้ว ทำไมยังทำตัวแบบนี้อยู่อีก!” อลีนาโกรธจนเลือดขึ้นหน้า แค่ทำงานเธอก็เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว ยังจะต้องมาวิ่งวุ่นจัดการเรื่องงานแต่งงานให้น้องสาวแทบทุกอย่างอีก เหลืออยู่อย่างเดียวที่เธอยังไม่ได้ทำให้ก็คือไปลองชุดแต่งงานแทนเท่านั้น “ถ้าพี่พอลรู้เข้าจะรู้สึกยังไง คิดบ้างมั้ย”               “จะรู้สึกยังไงก็ช่าง” อันนาไหวไหล่อย่างไม่แคร์แล้วเดินหนีเข้าบ้าน               “นี่เอย! ทำไมพูดแบบนี้” อลีนาปิดประตูบ้านเสียงดังปังแล้ววิ่งตามอันนาเข้าไปในห้องโถงอย่างหัวเสียมากกับความเอาแต่ใจตัวเองแบบสุดโต่งของน้องสาว               “เอยไม่อยากแต่งงานกับพี่พอลแล้ว เอิงแต่งแทนทีได้มั้ย” อันนาบอกหน้าตาเฉย               “ที่พูดออกมานี่บ้าหรือเมา!”               “เอยรู้ว่าพี่พอลยังมีใจให้เอิงอยู่”               “แต่เอิงไม่ได้ชอบเขา ไม่ได้ชอบเลยแม้แต่นิดเดียว” อลีนาย้ำเสียงหนัก ผู้ชายโลเลหลายใจแบบนั้นไม่เคยอยู่ในสายตาเธอเลย               “สรุปว่าเอิงจะไม่แต่งงานกับพี่พอลแทนเอยใช่มั้ย”               “มันไม่ใช่เรื่องที่จะทำแทนกันได้”               “ถ้างั้นก็ไม่ต้องมายุ่งนะถ้าเอยจะทำอะไร”               “จะทำอะไร!”               “ยกเลิกงานแต่งงาน” พูดจบอันนาก็สะบัดหน้าเดินหนีขึ้นชั้นสองโดยไม่สนใจที่จะหยุดตอบคำถามของมารดาที่เดินสวนลงมาในชุดนอนและโรลม้วนผมเต็มศีรษะ               “ทะเลาะอะไรกันอีกแล้วเอิง เสียงดังขึ้นไปถึงข้างบน ดีนะที่พ่อไม่ตื่นขึ้นมาอีกคน” พรกมลถอนใจอย่างไม่พอใจ “แม่บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าขัดใจเอย”               “แม่สปอยเอยจนนิสัยเสียหมดแล้ว เลิกได้แล้วค่ะแม่” อันนาได้รับการประคบประหงมราวไข่ในหินเพราะเป็นลิ้นหัวใจรั่วตั้งแต่แรกเกิด เธอต้องผ่าตัดใหญ่ถึงสองครั้งตอนอายุหนึ่งขวบและตอนอายุสิบสี่ ถึงแม้ตอนนี้อันนาจะแข็งแรงเป็นปกติดีแล้ว แต่พ่อกับแม่ก็ยังเคยชินกับการเอาอกเอาใจลูกสาวที่เกิดมาพร้อมกับความไม่สมบูรณ์ของร่างกายอยู่เหมือนเดิม               “เอิงก็รู้ว่าเอยไม่แข็งแรง แม่ไม่อยากให้มีเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจเอย”               “เอยแข็งแรงดีแล้วค่ะแม่ ไม่เป็นอะไรแล้ว” ทุกวันนี้อันนาใช้ชีวิตเต็มที่มาก ทั้งเที่ยว ทั้งดื่ม และเข้าฟิตเนสออกกำลังกายอย่างหนักหน่วงเพื่อรักษารูปร่างให้คงที่ เพราะเธอเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่าความสวยและความเซ็กซี่เป็นจุดเด่นของตัวเอง และสิ่งนี้จะนำพาเธอไปพบกับผู้ชายดีๆ เพื่อที่จะได้ยกระดับฐานะตัวเองให้ดีขึ้น               “แต่เอิงเป็นพี่ ยังไงก็ต้องยอมน้อง”               “เกิดก่อนแค่สามวินาที ต้องยอมไปตลอดชีวิตเลยเหรอคะ ไม่ยุติธรรมเลย” อลีนาแอบกลอกตามองบน ถ้ารู้ว่าเป็นพี่แล้วต้องยอมน้องแบบไร้เหตุผลแบบนี้ เธอจะไม่ยอมให้หมอดึงตัวออกมาจากท้องแม่ก่อนเด็ดขาด               “เอาน่า ไม่ว่าจะกี่วินาทีก็ถือว่าเป็นพี่ทั้งนั้น” พรกมลบอกด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงแล้วเข้าไปกอดแขนอลีนาชี้ชวนให้ดูรูปถ่ายสมัยที่เธอและอันนาเป็นเด็กในช่วงวัยต่างๆ ตั้งแต่แรกคลอดจนถึงปัจจุบัน ซึ่งใส่กรอบแขวนประดับไว้เต็มผนังห้องรับแขก “เอิงดูสิ ตอนเป็นเด็กเอิงกับเอยรักกันจะตาย ถ่ายรูปกอดกันกลมแทบทุกรูปเลยเห็นมั้ย โตแล้วก็อย่าทะเลาะกันเลยนะ”               อลีนามองรูปของตัวเองและน้องสาวฝาแฝดในวัยต่างๆ แล้วมาสะดุดที่รูปตอนทั้งคู่อายุสี่ขวบ รูปนี้ทำให้เธอนึกถึงใบหน้าเปื้อนน้ำตาของเด็กหญิงตัวน้อยที่เจอในลานจอดรถของโรงแรมขึ้นมาทันที               เด็กคนนั้นหน้าเหมือนเธอกับอันนาในวัยสี่ขวบมากราวกับโขกออกมาจากพิมพ์เดียวกัน! คิรากรหยิบกรอบรูปของหญิงสาววัยประมาณยี่สิบปีที่กำลังเปิดอกเสื้อชุดคนไข้ของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา เพื่อให้นมทารกในอ้อมกอดออกจากมือของไออุ่นที่ร้องไห้หาแม่อยู่นานเกือบสามชั่วโมงกระทั่งหลับไปเมื่อสักครู่ รูปนี้เป็นรูปที่ ‘เปรมอนันต์’ น้องชายของเขาถ่ายภรรยาและลูกสาวในวัยแรกคลอดเก็บไว้ขณะที่ยังอยู่โรงพยาบาล เมื่อย้อนคิดถึงเหตุการณ์เมื่อสี่ปีก่อน ชายหนุ่มก็ทั้งโกรธตัวเองทั้งเสียใจ เพราะกว่าจะรู้ว่าน้องชายที่เรียกได้ว่าเป็น ‘เด็กเนิร์ด’ ที่ไปเรียนต่อต่างประเทศตั้งแต่เรียนจบชั้นมัธยมปลายมีความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยจนมีลูกด้วยกันก็คือวันที่น้องชายของเขาได้จากไปแล้ว คิรากรยังจำวันที่คุณป้าเจ้าของห้องแบ่งเช่าในนิวยอร์กโทร. มาบอกว่าเปรมอนันต์ถูกยิงได้รับบาดเจ็บสาหัสได้ดี วันนั้นเขารีบจองตั๋วเครื่องบินเที่ยวที่เร็วที่สุด แต่กว่าจะไปถึง น้องชายของเขาก็เสียชีวิตแล้ว คุณป้าเล่าให้ฟังว่า หลังจากภรรยาของเปรมอนันต์คลอดลูกสาวได้ราวสามสัปดาห์ก็เริ่มออกเที่ยวกลางคืนจนทั้งคู่ทะเลาะกันเสียงดังหลายครั้งและครั้งหลังสุด เปรมอนันต์เอาไออุ่นไปฝากไว้กับคุณป้าเพื่อจะออกไปตามภรรยาที่ไม่กลับบ้านมาสามวันแล้ว แต่ก็โชคร้ายถูกคู่เดตของภรรยาซึ่งเป็นแก๊งผู้มีอิทธิพลในเมืองรุมทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บสาหัส และไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาลในเวลาต่อมา ตำรวจนิวยอร์กปิดคดีอย่างรวดเร็วด้วยการสรุปว่าเป็นการทะเลาะวิวาทและจับอันธพาลผิวสีสองคนเข้าคุก ซึ่งดูก็รู้ว่าเป็นการรับผิดแทนหัวหน้าแก๊ง ส่วนแม่ของไออุ่นหายตัวไปตั้งแต่วันนั้น               “คุณแม่ขา กอดไออุ่นหน่อย”               เสียงละเมอเศร้าสร้อยของเด็กหญิงทำให้คิรากรต้องรีบวางกรอบรูปในมือลงแล้วขยับตัวจากท่านั่งพิงหัวเตียงลงนอนกอดลูกสาวไว้แนบอก ถึงแม้เธอจะเป็นแค่หลาน แต่เขาก็เลี้ยงดูเธอด้วยตัวเองมาตั้งแต่อายุยังไม่ถึงหนึ่งเดือนเต็ม ถ้าถามว่ารักมากแค่ไหน เขากล้าตอบเลยว่า ‘รักมากกว่าชีวิต’ และเขาจะไม่ยอมให้เธอต้องเสียใจเพราะแม่ใจร้ายอย่างผู้หญิงคนนั้นอีกเด็ดขาด               “คุณพ่อจะกอดหนูเองนะ” คิรากรจูบที่หน้าผากของเด็กหญิงด้วยความรักและสงสารจับใจ เขาได้แต่หวังว่าพรุ่งนี้เช้าพอตื่นขึ้นมา ไออุ่นจะลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้ ลืมว่าเจอแม่ใจร้ายที่ชาตินี้ไม่ควรมาเจอกันอีก!
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD