“ถามจริงๆ นิล เราจะไปทำไม”
“โธ่พี่พลัส! ไหนๆ ก็มาถึงที่ทั้งทีนะ ไปดูสถานที่จริงสักหน่อยจะได้ทำงานได้สะดวกๆ ไง”
“เราเป็นคนออกแบบวางระบบภายในอาคารนะนิล ตัวตึกยังไม่สร้างด้วยซ้ำจะไปดูอะไร” ชายหนุ่มร้องปรามสาวรุ่นน้องที่ออกอาการสนอกสนใจสถานที่ทำงาน
สถานที่แห่งนั้นเต็มไปด้วยอันตรายและโรคระบาด แต่ดูเหมือนเธอจะไม่หวาดหวั่นกับเรื่องนี้แม้แต่น้อย
ให้นั่งทำงานให้ตัวเมืองห่างไกลจากสงครามกลางเมือง ดูท่าทางจะไม่ชอบ
“เกิดเรื่องระหว่างทางมันไม่คุ้มนะ”
“ก็น่านะ...”
หญิงสาวหูตาแพรวพราวอยากรู้อยากเห็นว่าชีวิตของคนต่างแดนเป็นเช่นไร เพราะประเทศที่แสนห่างไกลจากชีวิตของปลานิลนี้ใช่ว่าจะมีโอกาสได้พบเห็นหรือสัมผัสง่ายๆ
ในเมื่อตั้งใจมาทำดีช่วยเหลือมวลมนุษยชาติแล้วเธอก็อยากลงพื้นที่จริงๆ สักครั้ง งานวางโครงสร้างระบบสาธารณูปโภคไม่จำเป็นต้องออกหน้างานจริง สถานที่จริง แต่คนไร้ประสบการณ์ก็อยากเปิดหูเปิดตาตัวเองออกจากกะลามาดูโลกกว้าง
เรียนจบ มีลูก จึงต้องทำงานเลยไม่ได้มีโอกาสใช้ชีวิต
คุณแม่วัยสาวอายุใกล้จะยี่สิบห้าปีใช่ว่าจะไม่มีความเป็นเด็กหลงเหลือ เธอก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งที่สนใจใคร่รู้โลกภายนอก
“พี่พลัสไม่อยากไปเหรอคะ”
“ที่ค่ายนั่นอยู่นอกเมืองนะ ห่างออกไปตั้งแปดชั่วโมงแถมยังต้องผ่านเขตที่เขายิงกัน ทั้งลูกทั้งเมียพี่ก็ยังไม่มี ไม่อยากรีบตาย”
...
“นั่นสินะ...” คนฟังคิดภาพตามพี่พลัส
มันไม่คุ้มเลยนะถ้าเกิดเรื่องร้ายขึ้น ลูกเธอยังเล็กและถ้าคนเป็นแม่เป็นอะไรขึ้นมา ลูกค้าคงแย่แน่ๆ
แต่....
เด็กข้างนอกนั่นก็ไม่ต่ำกว่าแสนที่ต้องขาดทั้งพ่อและแม่และรอใครสักคนยื่นมือเข้าไปช่วย พวกเขาก็ไม่สามารถเลือกชะตาชีวิตตัวเองได้ และถ้าผู้ใหญ่ทุกคนบนโลกนี้คิดแบบนี้กันหมด เด็กๆ จะมีอนาคตอย่างไรกันเล่า
เธอเชื่อมั่นว่าบุญกุศลการเดินทางมาทำงานช่วยสังคมครั้งนี้ทุกอย่างจะต้องราบรื่นและผ่านไปด้วยดี เวลาหนึ่งสัปดาห์ที่ซูดานนี้ ปลานิลคงได้ออกแรงช่วยเหลือเพื่อนๆ มวลมนุษยชน
“ถ้านิลไปแล้วพี่ก็ต้องกลับกรุงเทพคนเดียวสิ”
“งั้นก็ไปค่ายด้วยกันสิคะพี่พลัส”
“โนเว ครับ บาย!!”
“งั้นก็เดินทางโดยสวัสดิภาพนะคะพี่พลัส” เธอบอกลารุ่นพี่และเก็บกระเป๋าพร้อมเสร็จสรรพ อีกคนขึ้นรถทหารไปค่ายพักพิงซูดาน ส่วนอีกคนขึ้นรถแท็กซี่ไปสนามบิน
“คิดดีๆ นะนิล! นอกจากจะต้องฝ่าดงระเบิดแล้วไปถึงที่นั่นโรคก็เยอะนะ”
“แต่เด็กๆ ที่นั่นก็เยอะนะคะ”
“โอ๊ยตามใจ! พี่เตือนแล้วนะ”
“คะ! นิลอยากไปดูให้เห็นกับตาสักครั้ง นิลอาจได้ทำประโยชน์อะไรได้มากกว่านี้” เธอไม่โทษรุ่นพี่ชายที่ชิงหนีกลับบ้านไปก่อน เพราะพี่พลัสเองก็มีภาระมากมายที่รอให้เขากลับไปทำ ส่วนปลานิลเองแม้จะหวาดหวั่น แต่ในใจด้านดีก็บอกว่าในเมื่อมีโอกาสแล้วก็ควรทำให้ดีที่สุด
ใช่ว่าที่นั่นจะไม่มีใครที่ปลานิลไม่รู้จัก ที่นั่นมีหัวหน้าโฟร์แมนและบรรดาวิศวกรที่มาร่วมกันกำกับดูแลการสร้างอาคารที่พักสำหรับเหล่าบรรดาผู้ลี้ภัยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
มีโรงสอนหนังสือและภาษาอังกฤษแก่เด็กๆ และโรงฝึกวิชาชีพ เพื่อให้คนที่ออกจากค่ายนี้สามารถใช้ดำรงเลี้ยงชีพตัวเองต่อไปในอนาคตข้างหน้า
ปลานิลคิดเอาเองว่านอกจากวิชาออกแบบตกแต่งภายในและวางระบบไฟฟ้า ประปา แล้วความสามารถของเธอน่าจะมีประโยชน์อย่างอื่นกับคนที่นี่ได้
อย่างน้อยๆ ก็พอช่วยแม่ครัวทำอาหารได้ เป็นพี่เลี้ยงเด็กช่วยสอนภาษาอังกฤษให้กับคนที่นั่นได้บ้าง และนิลมีใจอยากหาประสบการณ์และช่วยเหลือผู้ได้ยากด้วยใจจริง
ณ ค่ายพักพิงผู้ลี้ภัย
“โอ้โห! ไม่คิดไม่ฝันว่ามันจะ...”
“What!?”
“Not thing! Thanks you so much” หญิงสาวเอเชียผมดำตาดำโค้งคำนับทหารอเมริกันร่างใหญ่ เขาทำหน้าที่เป็นคนขับพาปลานิลและเสบียงมาส่งยังค่ายลี้ภัยแล้วเสร็จก็จะเดินทางกลับ คนมาใหม่ยืนตะลึงอ้าปากค้างกับบรรยากาศตรงหน้า เพราะในชีวิตไม่เคยมีประสบการณ์แบบนี้
นับตั้งแต่เสี้ยววินาทีนี้ต่อไปอีกหนึ่งสัปดาห์ เธอจะทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ สงครามกลางเมือง ความยากจนและโรคระบาดที่เขาว่ากันก็ไม่เห็นน่ากลัวอย่างที่จะจินตนาการไว้
ที่นี่ก็เปรียบเสมือนค่ายลูกเสือสมัยเด็กๆ ตอนที่โรงเรียนเคยนำนักเรียนไปตามต่างจังหวัดเท่านั้น
“เอ..! แล้วคนที่บริษัทเราเขาพักอยู่ตรงส่วนไหนของค่ายนี้นะ” ภาษาอังกฤษของปลานิลก็ไม่ได้ดีมาก ส่วนภาษาถิ่นของคนที่นี่บอกเลยว่าไม่ได้สักคำ หญิงสาวเดินเก้ๆ กังๆ จับต้นชนปลายไม่ถูก และสายตาก็ดันพบกับสัญญาลักษณ์ที่คาดว่าต้องมีคนช่วยเธอได้แน่นอน
?
ป้ายพื้นหลังสีขาวสะอาดมีรูปเครื่องหมายบวกสีแดงอยู่ตรงกลางเข้าใจได้ว่าต้องเป็นศูนย์พยาบาลของค่าย ที่นี่มีคนหลากหลายเชื้อชาติผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาเป็นอาสาสมัคร ปลานิลอาจขอความช่วยเหลือได้จากพวกเขา
ว่าแล้วก็ไม่รอช้าที่จะเข้าไปขอคำแนะนำจากคนในนั้น
สองเท้าก้าวยาวๆ รีบตรงเข้าไปด้านใน แล้วเธอก็พบเข้ากับเขา...
“Hi! Sorry! I need to meet my friend. They are come from Malaysia.”
“Nurse!?”
“No. I'm not”
“Nutritionist,Pharmacist...” คนตอบเอียงคอถามคนมาใหม่ ณ ค่ายพักพิงมีคนหลายเชื้อชาติ และเต็มไปด้วยคนที่เจ็บจากภัยสงคราม เธอจึงคิดว่าทางการส่งคนมาช่วย
“No! I'm Architect...”
“You're Architect!?”
“No! I'm interior”
“Um...”
ในขณะเดียวกันปลานิลก็มองเห็นกลุ่มเด็กตาดำๆ ณ เต็นท์ข้างๆ ที่ตรงนั้นคล้ายกับสถานอนุบาลที่ดูแลเฉพาะเด็กเล็ก
ความเป็นแม่เริ่มสำแดงเดชเธออยากไปพูดคุยกับเด็กน้อย
“Go straight and keep right hand side”
“Thank you so much...”
ก่อนจะเดินตามคำบอกของพยาบาลผิวสีร่างใหญ่จากไป ปลานิลก็ได้เห็นแล้วว่าเธอคิดไม่ผิดจริงๆ ที่อุตส่าห์เสี่ยงชีวิตมาเห็นด้วยตาของตัวเอง
‘อย่าบอกนะว่า ไม่จริง...’