ลมหายใจหอบของเธอดังขึ้นมาอย่างหนักหน่วง ความเจ็บปวดวิ่งแล่นทั่วร่างเมื่อสติเริ่มกลับมา ดวงตาเรียวค่อย ๆ เปิดออก เผยให้เห็นขื่อไม้และกระเบื้องหลังคาที่ไร้เพดาน
“อึก...”
ริมฝีปากแห้งผากของเธอขยับเล็กน้อยก่อนจะรู้สึกถึงรสฝาดของเลือดที่มุมปาก พยายามยันตัวขึ้นจากพื้นที่เย็นเฉียบ แต่ร่างอรชรกลับไร้เรี่ยวแรงในการเคลื่อนไหว
‘เกิดอะไรขึ้น ไม่ใช่ว่าฉันถูกรถชนตายไปแล้วเหรอ’ เจียงซูเหยาวัยยี่สิบเจ็ดปีคิดในใจ ภาพสุดท้ายที่จำได้คือรถบรรทุกพุ่งเข้ามาตอนที่เธอปั่นจักรยานไปตามเส้นทางสำหรับจักรยาน
เธอรู้สึกเจ็บปวดราวกระดูกแหลกสลายจากแรงปะทะ ก่อนทุกอย่างจะดับวูบไป
แต่ตอนนี้เธออยู่ที่ไหนกัน?
“ตื่นได้แล้ว! ยังจะนอนอู้ไปถึงไหนกัน” เสียงแหลมของหญิงวัยกลางคนดังขึ้นตามมาด้วยแรงกระชากที่แขน ดึงเธอลุกขึ้นยืนจนต้องเซไปพิงผนังห้องเอาไว้
ภาพเหตุการณ์บางอย่างไหลบ่าท่วมท้นเข้ามาในหัว ความทรงจำที่ไม่ใช่ของเธอแต่กลับชัดเจนราวกับเป็นของตัวเอง
“มัวแต่เหม่ออะไร หกล้มแค่นี้อย่ามาทำเป็นสำออย เธอยังไม่ได้เตรียมข้าวเย็นเลย รีบไปเร็วเข้า”
มือหยาบนั้นผลักเธอไปทางห้องครัวแบบโบราณมีเตาไฟที่เต็มไปด้วยขี้เถ้า เจ้าของประโยคที่ออกคำสั่งเป็นหญิงวัยกลางคนที่มีสีหน้าไม่สบอารมณ์ ทั้งที่ไม่รู้จักกันทำไมเธอถึงต้องมาพูดจาแบบนี้ใส่ด้วย
“โอ๊ย” หญิงสาวเซไปเล็กน้อยก่อนจะกุมขมับด้วยความหนักอึ้ง หัวใจเต้นรัวเมื่อภาพความทรงจำที่เหลือค่อย ๆ หลั่งไหลเข้ามาในสมองมากขึ้นเรื่อย ๆ ทว่าพร้อมกันนั้น เปลวเพลิงของความโกรธราวกับว่าเจอเหตุการณ์เหล่านั้นด้วยตนเองก็เกิดขึ้นในใจ
“ยุคไหนกันถึงได้กดขี่ขนาดนี้” เธอพึมพำเบา ๆ พลางมองมือตัวเองที่เต็มไปด้วยรอยแผลและรอยสากจากการทำงานหนัก
“เสี่ยวเหยา เธอบ่นอะไร รีบไปทำงานซะ อย่ามัวแต่นั่งอู้” หญิงวัยกลางคนตวาดอีกครั้ง ในความทรงจำผู้หญิงคนนี้คือจางหมิ่น แม่สามีของผู้หญิงที่ชื่อว่า หลินเสี่ยวเหยา สะใภ้สกุลหลี่ที่แสนรันทด
‘ฉันทะลุมิติเหมือนในนิยายสินะ’ เจียงซูเหยา หรือบัดนี้เธอคือหลินเสี่ยวเหยาคิดในใจจากสิ่งที่เกิดขึ้น
“ลูกสะใภ้คนนี้ นับวันยิ่งเหิมเกริม บอกให้ทำอะไรก็จะไม่เชื่อฟังแล้วใช่ไหม” จางหมิ่นตวาดลั่น ตระกูลหลี่ของเธอตบแต่งหลินเสี่ยวเหยาเข้ามาเพราะสินเดิมที่พ่อแม่เธอทิ้งเอาไว้ให้
หลินเสี่ยวเหยามองแม่สามีด้วยความไม่พอใจ แม้จะไม่อยากทำแต่เธอก็ไม่มีทางเลือก อย่างน้อยตอนนี้เธอยังไม่รู้ว่าอยู่ในสถานการณ์แบบไหน และที่สำคัญที่สุด ความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมบ่งบอกว่าเธอไม่อยากถูกไล่ออกจากบ้านโดยเธอไม่มีที่ไป
“ทำก็ทำ” หญิงสาววัยถอนหายใจ ก่อนจะก้าวไปที่เตาไฟ อาศัยความทรงจำจากร่างเดิมหยิบฟืนขึ้นมาเริ่มก่อไฟ แม้หัวใจจะเต็มไปด้วยความสับสน แต่เธอก็รู้ดีว่าถ้าอยากเอาตัวรอดในโลกนี้ เธอต้องอดทนและหาทางเอาคืนให้ได้ในสักวันหนึ่ง
เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากหน้าประตู ก่อนที่มันจะถูกผลักเข้ามาอย่างแรง
“เฮ้อ! เหนื่อยเป็นบ้า” ชายร่างสูงโปร่งในวัยยี่สิบสองปีเดินเข้ามา พลางบิดคอและไหล่ไปมาราวกับทำงานหนักมาทั้งวัน
หลี่ต้าซานทรุดตัวลงบนม้านั่งไม้เก่าอย่างไม่ใส่ใจ ใบหน้าของเขาดูหงุดหงิดราวกับแบกโลกทั้งใบเอาไว้
หลินเสี่ยวเหยาชะงักมือจากการคนข้าวต้มในหม้อ หันไปมองชายตรงหน้าด้วยสายตาเรียบเฉย พินิจดูชายที่บ่นเหนื่อยแล้วได้แต่ถอนใจ
หลี่ต้าซานเป็นลูกชายคนเดียวของสกุลหลี่ แม้จะเป็นหัวหน้าครอบครัวแต่กลับไม่ได้ดูมีราศีผู้นำสักนิด
เสื้อผ้าเขาเต็มไปด้วยฝุ่นแต่ไม่ได้ดูเปื้อนโคลนเหมือนคนที่ตรากตรำทำงานหนัก และที่สำคัญมือของเขาสะอาดสะอ้านจนน่าสงสัยว่าออกไปทำงานหาอาหารมาจริงหรือไม่
“อาหารล่ะ” เสียงของหลี่ต้าซานแทรกขึ้นขณะที่เธอกำลังมองสำรวจเขา
“ข้าวต้มกำลังเดือด เดี๋ยวก็ได้กิน” หญิงสาวตอบเสียงเรียบ
“แค่ข้าวต้มอีกแล้วเหรอ ทำไมไม่มีเนื้อ ไม่มีกับข้าวดี ๆ เลย ฉันเหนื่อยจะตายอยู่แล้วนะ”
‘เหนื่อย?’ หลินเสี่ยวเหยาเลิกคิ้ว พลางกวาดตามองเขาอีกครั้ง
คนที่กลับมาจากการทำงานควรมีเหงื่อซึมตามไรผม แขนเสื้อเปื้อนฝุ่นหรือมีเศษดินเศษหญ้าติดตามเสื้อผ้าบ้าง แต่ชายคนนี้ดูเหมือนใช้เวลาไปกับการนั่งคุยเล่นมากกว่าเสียอีก
‘ไม่มีอะไรติดมือกลับมาแม้แต่นิดเดียว แต่กลับบ่นเหมือนตัวเองตรากตรำแทบตาย’ เธอแค่นหัวเราะในใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“ยังจะชักช้าอะไรอีก รีบตักข้าวมาเร็ว ๆ” หลี่ต้าซานเร่งภรรยาของตน เขาแต่งเธอมาตั้งแต่สามปีที่แล้วโดยไร้ซึ่งความรัก
หลินเสี่ยวเหยาถอนหายใจ แม้จะขัดใจแต่ก็ต้องทำตามไปก่อน
“ที่ต้าซานถึงดวงตกขนาดนี้ กลับบ้านมือเปล่าทุกวัน ก็เพราะผู้หญิงดวงซวยอย่างแก”
หลินเสี่ยวเหยาเงยหน้าขึ้นจากชามข้าวต้มที่เพิ่งตักเสร็จ ดวงตาเรียบเฉยมองไปยังนางหลี่ที่วางมือเท้าสะเอว สายตาเต็มไปด้วยความดูแคลนและเกลียดชัง
‘มาแล้วสินะ บทแม่ผัวใจร้าย’
ต่อให้เธอจะไม่ได้มีความทรงจำทั้งหมดของหลินเสี่ยวเหยา แต่แค่เห็นสีหน้าและท่าทางของแม่สามี เธอก็พอเดาได้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นประเภทไหน
“แม่พูดอะไร” เธอถามเสียงเรียบ
“ยังจะมาทำหน้าซื่อ ตั้งแต่แกแต่งเข้าบ้านเรา ต้าซานก็หางานทำได้ยากลำบากขึ้นเรื่อย ๆ ไปทำอะไรก็ไม่ขึ้น มีแต่เรื่องซวย นี่มันเวรกรรมของบ้านเราแท้ ๆ ที่ต้องรับผู้หญิงอับโชคอย่างแกมาเป็นสะใภ้!”
“ใช่ ๆ แม่ดูสิ ขนาดวันนี้ผมออกไปตั้งแต่เช้า พยายามหาทางทำเงินแทบแย่ ยังไม่ได้อะไรกลับมาเลย ถ้าไม่ใช่เพราะอาเหยาเป็นตัวกาลกิณี จะเป็นเพราะอะไรอีก” หลี่ต้าซานรีบเสริมคำพูดของมารดา
หลินเสี่ยวเหยารู้สึกสมเพชกับตรรกะวิบัติของสองแม่ลูก ตัวเองเอาแต่นั่งอู้ไม่ทำงาน แต่กลับโทษว่าเป็นเพราะภรรยาดวงซวย
“แล้วแม่คิดว่า ฉันควรทำยังไงดี” เธอถามเสียงเรียบ
“ออกไปหางานทำสิ เข้าป่าล่าสัตว์เอาไว้กินเนื้อบ้าง จะให้เป็นหน้าที่ของต้าซานคนเดียว เธอมันไร้ค่า”
“ใช่ ๆ เธอออกไปล่าสัตว์ไปขุดมันบ้างสิ อยู่แต่บ้าน วัน ๆ เอาแต่งอมืองอเท้า” หลี่ต้าซานเสริมหน้าตาเฉย ไม่มีความคิดจะปกป้องภรรยาแม้แต่น้อย
หลินเสี่ยวเหยากำช้อนในมือแน่น คำพูดพวกนี้คงทำให้หลินเสี่ยวเหยาคนเดิมเจ็บปวดจนอยากหนีไปจริง ๆ แต่เธอไม่สามารถหนีไปไหนได้ และยินยอมรับการกดขี่ข่มเหงจากสองแม่ลูก
“งั้นก็ให้แม่ทำงานบ้าน ซักผ้า ทำอาหาร ผ่าฟืน ส่วนฉันจะติดตามสามีออกไปขุดเผือกขุดหน่อไม้ในป่า แล้ววางกับดักเอาไว้ล่าสัตว์ อยากรู้เหมือนกันว่าฉันไปด้วยจะได้อะไรติดไม้ติดมือมาหรือไม่” หลินเสี่ยวเหยาพูดเสียงเรียบ จ้องหน้าสามีที่เริ่มเลิ่กลั่กเมื่อเธอจะตามเขาเข้าป่า
“หรือไม่ก็หย่าให้ฉัน” เธอพูดประโยคต่อไป ประโยคที่ครั้งหนึ่งเจ้าของร่างเดิมเคยพูดแล้วถูกลงมือตบตีจนไม่กล้าคิดจะพูดมันซ้ำอีก
************************